ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 825 อวัยวะ (1)
แอนดี้หันมามองลู่เซิ่งที่อยู่ใกล้ๆ
“คุณล่ะ มีอะไรอยากจะพูดไหม”
ลู่เซิ่งมองเขาก่อนจะขบคิด
“นายคิดว่าคำถามนี้มีประโยชน์หรือ”
แอนดี้อึ้ง
“เอ่อ…ไม่…”
“ก็ตามนั้นแหละ กลับไปนอนเถอะ อย่าคิดมาก คิดให้ดีว่านายมาที่นี่ทำไม” ลู่เซิ่งพูดจบก็หมุนตัวเดินไปยังชั้นที่ห้องของตัวเองอยู่โดยไม่สนใจเขาอีก
แอนดี้อึ้งอยู่กับที่
เขาหวนนึกถึงแม่และน้องสาวที่ถูกสาวกเทพนอกรีตบวงสรวง รวมถึงพ่อกับสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ที่ไล่ล่าเหล่าสาวกนอกรีตไปทั่ว
เขาคือคนในตระกูลล่าปีศาจที่โด่งดังที่สุดในยุโรป ดังนั้นจึงรู้ข้อมูลลับมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป
“ทำไมถึงมาที่นี่เหรอ...” แอนดี้สูดหายใจลึก ก้มหน้าลง “ไอ้โลกบ้าบอแบบนี้ ความโกลาหลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว หรือจะต้องรอความตายอยู่ด้านนอก ปล่อยให้ถูกฆ่าโดยไม่ทำอะไร”
เขาส่ายหน้าเล็กน้อย มองดูเงาหลังที่ออกห่างไปของลู่เซิ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังห้องของตัวเอง เพียงแต่ขณะกำหมัดแน่นเล็บของเขาฝังเข้าไปในเนื้อโดยไม่รู้ตัว
…
ลู่เซิ่งบิดลูกบิดประตูห้องของตัวเอง ขณะกำลังจะเข้าไป
“ขอบอกความจริงกับคุณอย่างหนึ่ง” ทันใดนั้นเสียงของหญิงสาวผมดำคนก่อนก็ดังมาจากด้านข้างเขา
เขาเงยหน้าขึ้นมอง หญิงสาวคนนั้นยืนอยู่ที่ประตูห้องทางฝั่งขวามือที่อยู่ไม่ไกลออกไป ระหว่างห้องของทั้งสองมีห้องว่างสองห้องคั่นอยู่ ถือว่าใกล้กันมากทีเดียว
“อะไรหรือ” ลู่เซิ่งรับคำเสียงเบา รอคอยให้เธอพูดขณะมองอีกฝ่าย
หญิงสาวผุดสีหน้าเย็นชา ดวงตาฉายความหยิ่งทะนงที่สูงส่งออกมาตามธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่าเป็นคุณหนูที่ปกติอยู่ในสังคมระดับค่อนข้างสูง น้ำเสียงสั่งคนที่เป็นไปเองของเธอ คือสิ่งที่คนธรรมดาเลียนแบบไม่ได้
“พยายามเข้าเถอะ คุณสามัญชน” เธอเว้นเล็กน้อย “ผลงานจากการสอบสัมภาษณ์กับการสอบเบื้องต้นของคุณไม่เลว ถ้าหากผ่านการปลูกถ่ายไปได้ จงมาหาฉัน ตระกูลซีเฟอลุสจะเป็นตัวเลือกและที่พึ่งที่ดีที่สุดของคุณ”
เธอพิจารณาลู่เซิ่ง
“อีกไม่นานคุณจะรู้เองว่า โลกที่คุณพบเจอโหดร้ายขนาดไหน หากไม่อยากตาย ก็จงคว้าพลังทั้งหมดเพื่อเติบโตเถอะ”
โครม
เธอเปิดประตูเดินเข้าไป ก่อนจะปิดล็อกอย่างผ่าเผย
ลู่เซิ่งกะพริบตา เข้าใจความหมายของหญิงสาวคนนี้แล้ว
ดูเหมือนเธอจะมีความเกี่ยวพันกับใครสักคนในมหาวิทยาลัย จึงทราบผลสอบของเขา เลยพูดจาชักชวนเขา
‘ดูเหมือนผลประเมินในมหาวิทยาลัยของเราจะไม่เลว’ เขายิ้มๆ แล้วเดินเข้าไปพักผ่อนเช่นกัน
พรุ่งนี้ พรุ่งนี้สมควรเริ่มสัมผัสกับระบบพลังหลักบนโลกใบนี้ได้อย่างแท้จริงแล้ว
หลังจากเข้าห้อง ลู่เซิ่งก็ปรับลมหายใจเล็กน้อย ก่อนจะอาบน้ำเข้านอน
หนึ่งคืนผ่านไปโดยไร้ความฝัน
วันต่อมาฟ้ายังไม่ทันสว่าง เขาก็ลืมตาขึ้นบนเตียง แล้วลุกขึ้นพร้อมเลิกผ้าห่ม
ห้องที่อยู่ด้านข้างมีเสียงทุบพื้นอย่างเจ็บปวดดังมา เหมือนมีผู้ชายกำลังตะโกนอย่างทรมาน จึงอาศัยความเจ็บปวดจากการทุบพื้นมาข่มบางสิ่งบางอย่างไว้
ลู่เซิ่งสวมเครื่องแบบที่แจกมา ปลดกระดุมสองเม็ดบน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่กำยำล่ำสันส่วนหนึ่ง เครื่องแบบนี่ตัวเล็กไปอยู่บ้าง เกรงว่าถ้าเขาทำขาดคงไม่มีเปลี่ยนแล้ว
มหาวิทยาลัยแจกให้สองชุด
ลู่เซิ่งยืนสระผมอยู่หน้ากระจก เขาจำได้ว่าเขาสระผมล่าสุดเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ตอนนี้คิดไปคิดมาก็รู้สึกคิดถึงบ้างจริงๆ นั่นเป็นช่วงเวลาที่เฉินอวิ๋นซียังอยู่
เมื่อจัดการแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ลู่เซิ่งก็แบกกระเป๋าเรียนเดินออกจากห้อง
เขาลงจากหอพัก หยิบเครื่องเงินที่ได้มาเมื่อคืนออกมากลัดไว้กับหน้าอก จากนั้นก็สาวเท้าไปหาหัวหน้าหอพักเม็นเดิลส์โซนที่ยืนอยู่หน้าตึก
ด้านหน้าชายวัยกลางคนชาวเยอรมันหัวโบราณคนนี้ มีนักศึกษาในหอพักยืนอยู่มากกว่าครึ่งแล้ว
ลู่เซิ่งรออยู่กับคนอื่นๆ สักพัก ในที่สุดคนก็มากันครบ ทั้งหมดมีสามสิบสองคน นี่เป็นนักศึกษาทั้งหมดของหอพักแล้ว
“ไปเถอะ ตามฉันมา ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉันจะรับหน้าที่จัดการเรื่องเร่งด่วนมากมายที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ของพวกคุณ ถ้าพวกคุณทำสำเร็จ อย่างนั้นฉันจะขออวยพรให้พวกคุณ ถ้าพวกคุณล้มเหลว ฉันจะจัดการพวกคุณ ง่ายดายแค่นี้เอง” เม็นเดิลส์โซนเอ่ยอย่างราบเรียบ
คนส่วนใหญ่ในหมู่นักศึกษาสามสิบกว่าคนเป็นคนธรรมดา ต่างก็ขลาดกลัวเล็กน้อยเพราะคำพูดนี้ของเขา
แต่ก็มีนักศึกษาที่เตรียมใจมาแล้วไม่กี่คนที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแค่มองเขาอย่างสงบและจริงจังเท่านั้น
ลู่เซิ่งเห็นแอนดี้ในหมู่คน หนุ่มหล่อผมทองคนนี้กำลังเคี้ยวบุหรี่ที่ไม่ได้จุดมวนหนึ่งด้วยใบหน้าเกียจคร้านอยู่
ยังมีคุณหนูผมดำคนนั้น เธอกำลังฟังคำพูดของหัวหน้าหอพักด้วยสีหน้าติดเย็นชา
หลังจากการพูดคุยสั้นๆ จบลง เม็นเดิลส์โซนก็พาทุกคนเดินไปตามเส้นทางหลักของสวนในมหาวิทยาลัย มุ่งหน้าไปยังเขตมหาวิทยาลัยที่อยู่ลึกที่สุด
ลู่เซิ่งจดจำแผนที่ของมหาวิทยาลัยได้ ตอนนี้จึงเริ่มนึกทบทวนเส้นทางที่สอดคล้องกัน
เพียงแต่หลังจากเดินไปได้สักพัก เขาก็ค้นพบความผิดปกติทันที รอบข้างปรากฏสิ่งก่อสร้างแบบเดียวกันจำนวนไม่น้อยตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เส้นทางแยกจำนวนมากที่เขาคิดว่าเดินมาจนสุดทางแล้ว ถึงกับยังเดินต่อจากปลายทางไปได้อีกระยะหนึ่ง
ไม่นานเขาก็สลัดแผนที่ในความทรงจำทิ้งโดยสมบูรณ์
ผ่านไปราวยี่สิบนาที นักศึกษาส่วนหนึ่งถึงขั้นเริ่มเหงื่อออก เม็นเดิลส์โซนค่อยพาพวกเขาเลี้ยวเข้าไปในป้อมเตี้ยสามชั้นที่ดูเก่าแก่ถึงขีดสุดแห่งหนึ่ง
รูปปั้นสำริดสิบตัวยืนตั้งแน่นขนัดอยู่หน้าประตูของป้อมเตี้ยแห่งนี้ พวกมันดูสมจริง ไม่มีคนมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ หากแต่เหมือนลักษณะทางธรรมชาติของสามัญชนคนธรรมดาที่พบเห็นได้โดยทั่วไปแล้วถูกบันทึกไว้อย่างกะทันหันมากกว่า
เหล่านักศึกษาทยอยเดินตามเม็นเดิลส์โซนเข้าไปในตัวลานด้านหน้าป้อมเตี้ย
ประตูเปิดอ้าอยู่
ด้านในมีไอเย็นยะเยือกทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้มีคนไม่น้อยเดินอยู่ด้านใน แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มแรกที่มาถึง
ไม่มีใครพูดอะไร ที่นี่เหมือนมีพลังแห่งความเงียบที่อธิบายไม่ได้ชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้ทุกคนเงียบเสียงโดยไม่ได้นัดหมายอยู่ด้วย
เม็นเดิลส์โซนเดินเข้าไปขอพวงแขวนป้ายกุญแจที่ทำจากสำริดมาพวงหนึ่ง บนพวงห้อยป้ายเล็กๆ ทรงรีจำนวนไม่น้อยที่เขียนหมายเลขเอาไว้มากมาย
เขาแจกป้ายเหล่านี้ให้ทุกคน
“เห็นตัวเลขบนนั้นไหม ไปเถอะ ไปยังห้องที่ตรงกับหมายเลข เดินเข้าไปนั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง อีกประเดี๋ยวจะเริ่มการทดสอบอย่างเป็นทางการ นี่เป็นกระบวนการที่ผู้ยื่นคำร้องขอเรียนวิชาเฉพาะจะต้องผ่าน” เม็นเดิลส์โซนกำชับเสียงแหบพร่า
“จงอย่าลืมยืนหยัดและพยายาม จงอย่าได้ยอมแพ้ หากยอมแพ้เมื่อไร สิ่งที่พวกคุณจะสูญเสียไปอาจจะไม่ใช่เพียงปัจจุบัน ยังมีอนาคตของพวกคุณ และทุกสิ่งทุกอย่างของพวกคุณ” คำพูดท่อนสุดท้ายของเขาไม่ได้แสดงการปลอบโยนใดๆ กลับทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกตกใจกลัวยิ่งกว่าเดิม
ลู่เซิ่งแขวนป้ายเข้ากับข้อมือ แล้วตามคนอื่นเข้าไปในป้อมเตี้ย
ด้านในป้อมปราการขนาดเล็กฉบับย่อส่วนนี้ มีนักศึกษาเบียดเสียดกันเนืองแน่น
บ่อยครั้งจะมีคนพุ่งขึ้นตึกอย่างร้อนรน และมีคนวิ่งลงมาตามหาหมายเลขอย่างเร่งรีบ
แต่สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ เห็นแค่คนเข้า ไม่เห็นคนออก
ลู่เซิ่งหรี่ตามองป้ายหมายเลขของตัวเอง หมายเลข 35
เขาเดินวนดูรอบชั้นหนึ่งก่อน หมายเลขห้องของชั้นหนึ่งมีถึงแค่ห้องสามสิบเท่านั้น ดังนั้นห้องของเขาจึงอยู่บนชั้นสอง
ลู่เซิ่งเดินขึ้นบันไดวนเล็กๆ ทางซ้ายขึ้นไปถึงชั้นสอง แล้วเร่งฝีเท้าเดินย่ำพรมผืนหนาไปตามทางระเบียงสีเหลืองเข้มเล็กแคบ
ไม่นานเขาก็เจอห้องหมายเลข 35
ในห้องเงียบสงัด แม้แต่ห้องที่อยู่รอบๆ รวมถึงห้องทั้งหมดสิบกว่าห้องที่เหลือในระเบียงทางเดิน ก็เงียบงันไปบ้าง
ลู่เซิ่งหยีตา แล้วยื่นมือไปบิดลูกบิดแผ่วเบา
หลังจากเปิดประตู ก็เห็นเก้าอี้โลหะสีดำที่วางหันหน้าเข้าหากันสองตัว
นอกจากนี้แล้ว ห้องทั้งห้องก็เหลืองมัวซัว ไม่มีอะไรเลย
ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีเครื่องเรือน ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีลวดลาย นอกจากกำแพงและพื้นที่ทั้งเรียบและแข็งแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก
ลู่เซิ่งเดินเข้าไป มองที่พักแขนของเก้าอี้สองตัว บนเก้าอี้ทางขวามือเขียนเลข 35 อันเป็นหมายเลขของเขาเอาไว้
เขานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม สองแขนวางบนที่พักแขน หลังพิงกับพนักเก้าอี้
สิ่งของที่เย็นเยียบและแหลมคมบนพนักเก้าอี้จ่อกับท้ายทอยของเขา
ฉึก
ความเจ็บปวดเล็กๆ ปรากฏขึ้นตรงท้ายทอยแล้วหายไป ความเจ็บปวดแค่นี้ถึงขั้นทำให้ลู่เซิ่งคิดว่าตัวเขาคิดไปเองหรือไม่
ถ้าไม่ใช่คุณสมบัติร่างกายกับอวัยวะทั้งห้าของเขาได้รับการเสริมความแข็งแกร่งถึงขั้นอลังการถึงขีดสุด เขาก็ไม่มีทางสัมผัสความเจ็บปวดเพียงเท่านี้ได้
“หือ” เขาเอื้อมมือลูบท้ายทอย
ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องอื่น
ท้ายทอยของนักศึกษาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลายคน ถูกฝังอวัยวะเนื้อเยื่อใหม่เข้าไป
นักศึกษาหลายคนลังเลอยู่สองสามวินาที จากนั้นสองตาก็เริ่มกลายเป็นสีน้ำเงิน
เส้นเลือดสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนเริ่มแผ่ขยายด้านในนัยน์ตาของพวกเขา ย้อมดวงตาเป็นสีน้ำเงิน
ร่างกายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของพวกเขาดิ้นสะบัดอย่างรุนแรงโดยไร้สุ้มเสียง
ฟู่…
ลู่เซิ่งพ่นไอร้อนออกมาเฮือกหนึ่ง
ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเล็กน้อย แต่ยังอีกห่างไกลนักที่สีฟ้าจะกระจายเต็มดวงตา
ในฐานะมารสวรรค์มายาพิศวงที่ควบคุมตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ เขาค้นพบของสิ่งนั้นในทันทีที่เนื้อเยื่อชนิดนั้นสำแดงผล
เขายกแขนขวาขึ้นมอง บนแขนมีก้อนเนื้อขนาดเท่าผลท้องอกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ เหมือนกับช่อดอกที่กำลังจะผลิบาน ผิวของเนื้องอกมีลวดลายเรียวยาวหลายสายกระจายอยู่
ของเหลวเย็นเยียบที่ไม่เสถียรถึงขีดสุดเริ่มไหลออกมาจากก้อนเนื้อ ผสมกับระบบต่อมไร้ท่อภายใน แล้วไหลเวียนไปทั่วร่าง
‘เป็นพลังที่สุดยอดจริงๆ…ถึงกับเล็ดรอดผ่านการจับตาดูของเราไปได้…’ ลู่เซิ่งเพิ่งจะเคยเห็นพลังที่หลั่งไหลเข้าสู่กายเนื้อร่างที่ถูกครอบครองโดยมารสวรรค์มายาพิศวงได้อย่างเงียบเชียบเช่นนี้เป็นครั้งแรก
เขาเดาออกแล้วว่า จักรวาลแห่งนี้เป็นจักรวาลพลังงานสูงเช่นเดียวกับจักรวาลมารสวรรค์
กล่าวถึงแล้ว แม้โลกมารสวรรค์จะได้ชื่อว่าเป็นจุดจบของหมื่นโลกา แต่นี่เป็นเพียงสำหรับจักรวาลระดับพลังงานต่ำโดยรอบที่ถูกค้นพบแล้วเท่านั้น
จักรวาลระดับพลังงานสูงของแท้ไม่มีจักรวาลไหนที่ธรรมดาสามัญ
การไหลเวียนของพลังงานสีฟ้าเร่งรุดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ของเหลวที่เย็นเยียบชนิดนี้ให้ความรู้สึกเหมือนฉีดน้ำเกลือเข้าเส้น ทำให้เลือดที่ตอนแรกไหลเร็วอยู่บ้างของลู่เซิ่งเชื่องช้าลง
ผ่านไปราวสิบนาที
“เสร็จแล้ว คุณออกมาได้” ด้านนอกประตูมีเสียงพูดดังเข้ามา เหมือนว่าจะมีผู้หญิงยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูมาโดยตลอด
ลู่เซิ่งหลับตา ปรับสภาพทั่วร่างอย่างนิ่งเงียบ มองดูก้อนเนื้อบนแขน น้ำพลังงานที่ไหลเวียนในร่างกายเหมือนกับกำลังส่งผลต่อสิ่งที่อยู่บนแขน
เขาสัมผัสได้ว่าพลังงานที่บิดเบี้ยวและแปลกประหลาดสายหนึ่งค่อยๆ จับตัวขึ้นในก้อนเนื้อก้อนนี้