ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 997 ขีดจำกัด (1)
“บ้าไปแล้วเหรอไง รีบหนีสิ!”
มือข้างหนึ่งยื่นมาจับตัวสการ์เล็ตไว้อย่างฉับพลัน แล้วลากเธอพุ่งเข้าไปในวังวนมิติที่เปิดออก
สการ์เล็ตพลันรู้สึกตัว ดิ้นหลุดจากมือ
“ปล่อยข้า ข้าเดินเองได้!” เธอหันไปมอง คนที่ฉุดเธอวิ่งคือแพลทินัมนั่นเอง
“กลัวอะไรกัน อย่างไรพวกเราก็ตายไม่ได้”
“ไม่มีดวงตาแห่งความเลวทรามเหลือแล้ว เจ้ายังบอกว่าเจ้าไม่ตายอีก” แพลทินัมเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“หา” สการ์เล็ตตะลึงทันที
เธอหวนนึกถึงแสงขาวที่ร่วงลงมาอย่างมืดฟ้ามัวดินเมื่อครู่ จู่ๆ จิตใจก็เย็นเฉียบ
เทพแห่งการทำลายล้างอย่างพวกเขาไม่ใช่ไม่มีวันตาย แต่ดวงตาแห่งการทำลายล้างไม่อาจถูกทำลาย พวกเขาจึงซ่อนอยู่ด้านในและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ชั่วนิรันดร์
พูดอีกอย่างก็คือ ดวงตาแห่งความเลวทรามเป็นเกราะป้องกันของพวกเขา มีแต่ต้องทะลวงเกราะป้องกัน ถึงจะมีโอกาสฆ่าพวกเขาได้
แต่ถ้าดวงตาแห่งความเลวทรามหายไปล่ะ…
ทั้งสองตัดผ่านวังวนสีฟ้าก่อนพุ่งออกจากปลายอีกด้านหนึ่ง
ด้านนอกวังวนคือลานจอดเฮลิคอปเตอร์ยักษ์ที่มีเฮลิคอปเตอร์จอดอยู่ เฮลิคอปเตอร์รบขนาดหนักหลายลำบินขึ้นบินลงไม่ขาดสาย บนลานจอดมีพนักงานภาคพื้นดินโบกธงเป็นรูปตัวยู
“ที่นี่คือที่ไหน” สการ์เล็ตรีบมองไปยังแพลทินัม
คาดไม่ถึงว่าตอนนี้แพลทินัมก็ทำหน้างงเช่นกัน
“ข้ากำหนดที่หมายไว้ที่บ้านข้านี่…!?” แพลทนัมผุดสีหน้าไม่เข้าใจ
“เชิญทางนี้ขอรับ แม้ราชาเทพจะลืมพวกท่านไว้ในนั้น แต่ในฐานะบริวาร การรับแขกและชดเชยข้อผิดพลาดของเจ้านายก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลเช่นกัน”
ชายชราผมขาวที่สวมสูทสีขาวคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังคนทั้งสอง เหมือนกับยืนอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรก
แพลทินัมกับสการ์เล็ตตกใจ รีบหันไปมอง ตอนพวกเขามาถึงที่นี่เมื่อก่อนหน้านี้ ถึงกับไม่พบการดำรงอยู่ของชายชรา
นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อสำหรับเทพแห่งการทำลายล้างเช่นพวกเขา
“บริวารของข้าเล่า” แพลททินัมเอ่ยเสียงเย็นทันที
ในฐานะเทพแห่งการทำลายล้าง เขาย่อมมีบริวารของตัวเองเป็นจำนวนไม่น้อย ค่ายกลเคลื่อนย้ายจากแดนรกร้างในครั้งนี้เป็นสิ่งที่เหล่าบริวารของเขาช่วยสร้างขึ้น
“ไม่ต้องห่วง พวกเขาไม่เป็นไร” ชายชราเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“มาเถอะ ข้าจะพาพวกท่านไปพบราชาเทพ” เขาหมุนตัวเดินไปยังทางหอบังคับการที่อยู่ด้านข้าง
แพลทนัมกับสการ์เล็ตแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนจะไล่ตามไป
พวกเขาเดินเข้าหอบังคับการแล้วขึ้นไปบนชั้นสอง
ลู่เซิ่งยืนถือแก้วกาแฟอยู่ข้างหน้าต่าง มองเฮลิคอปเตอร์ที่บินขึ้นบินลงอยู่เงียบๆ
พอสัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามา เขาก็ค่อยๆ หมุนตัวมา
“ขออภัยอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ทิ้งเธอไว้ที่นั่นคนเดียว ดีที่บริวารของฉันพบเธอทันเวลา เลยแก้ไขทัน” ลู่เซิ่งยิ้มให้สการ์เล็ตอย่างรู้สึกผิด
“เชิญนั่ง” เขาชี้โซฟาในห้อง
สการ์เล็ตกับแพลทินัมค่อยๆ นั่งลงบนโซฟาอย่างทำอะไรไม่ถูกนัก
“ตกลงแล้วเจ้าเรียกพวกเรามาเพราะเรื่องอะไร ถ้าไม่มีอะไร ข้าว่าพวกเราไม่มีอะไรให้พูดกันหรอกมั้ง” แพลทินัมเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“คืออย่างนี้ ฉันจะไปจากโลกใบนี้แล้ว ดังนั้นเลยคิดจะถามพวกนายก่อนว่าอยากจะติดตามฉันไปไหม ขอบอกก่อนนะว่า ดวงตาแห่งความเลวทรามถูกทำลายทิ้งแล้ว ตั้งแต่นี้ความเป็นอมตะของพวกนายจะไม่มีผลอีกต่อไป” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงแผ่ว
พอพวกแพลทินัมได้ยินข่าวว่าดวงตาแห่งความเลวทรามถูกทำลาย ใบหน้าก็ฉายแววยินดีเจือด้วยความเสียดาย
“เจย์ลา” เมื่อเห็นสีหน้าของคนทั้งสอง ลู่เซิ่งก็เรียกบริวาร
หญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลที่มีรูปร่างสะโอดสะอง ขาเรียวก้นงอนคนนึ่งเดินเข้าห้องมา ก่อนวางเอกสารปึกหนึ่งลงบนโต๊ะด้านหน้าโซฟา
เจย์ลาเป็นลูกน้องที่ถูกลู่เซิ่งฝังกาฝากเอาไว้คนนั้น และเป็นคนที่ถูกพลังเทพนอกรีตแพร่เชื้อใส่อย่างหมดจดที่สุดในโลกใบนี้
จิตวิญญาณของเธอในตอนนี้ถูกพลังเทพนอกรีตที่คลุ้มคลั่งบิดเบือน ขอแค่ลู่เซิ่งสั่งคำเดียวก็จะทำให้เธอทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขาได้
ลู่เซิ่งชี้เอกสารบนโต๊ะ
“ลองอ่านดู ถ้าไม่มีปัญหาค่อยเซ็น”
แม้โลกใบนี้จะมีพื้นที่ไม่ใหญ่ แต่เขาก็เตรียมจะพัฒนามันให้กลายเป็นโลกกองหนุนของตัวเองเช่นกัน
ไม่เพียงแต่แบบแผนกฎเกณฑ์มีส่วนคล้ายกันมาก ขณะเดียวกันยังมีอีกเหตุผลคือ ที่นี่เป็นแนวหน้าที่อยู่ใกล้พลังแห่งความรกร้างที่สุด และลู่เซิ่งก็ได้รับหลักฐานแห่งราชันของที่นี่มาแล้ว
กล่าวได้ว่าหลักฐานแห่งราชันเป็นบัตรประจำตัวสำหรับลูกรักแห่งฟ้าดิน
ขอแค่ลู่เซิ่งอยู่ที่นี่หนึ่งวัน ก็จะได้รับการดูแลจากโลกใบนี้ตลอดเวลา
แม้สการ์เล็ตกับแพลทินัมจะเป็นเพียงเทพแห่งการทำลายล้างที่มีกำลังรบต่ำ แต่จุดเด่นของพวกเขาคือต้านทานพลังแห่งความรกร้างได้อย่างแข็งแกร่งถึงขีดสุด เหมาะกับการดึงตัวมาเฝ้ารักษาในระยะยาวอย่างสมบูรณ์แบบ
อย่างไรการให้ตัวตนอย่างพวกเขาไปจัดการในขอบเขตของพลังแห่งความรกร้างก็ถือว่าเหมาะสมที่สุด
“พวกนายน่าจะรู้แล้วว่าฉันไม่ใช่คนของที่นี่ ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วที่นี่จะต้องมีผู้ดูแลในความเป็นจริงส่วนหนึ่ง” ลู่เซิ่งบอกเป้าหมายของตัวเองตามตรง
แพลทินัมกับสการ์เล็ตหยิบเอกสารขึ้นพลิกอ่าน ก่อนจะพบว่าไม่เข้าใจสักตัวอักษรเดียว
“อ่านไม่ออกก็ไม่เป็นไร ปั๊มรอยนิ้วมือก็พอ” ลู่เซิ่งเตือน
เจย์ลาที่อยู่ด้านข้างบิดบั้นท้ายงามงอน ส่งหมึกปั๊มไปถึงข้างมือของคนทั้งสองอย่างเอาใจใส่
แพลทินัมกัดฟัน ทราบว่าสถานการณ์บีบบังคับ จึงนำหมึกปั๊มมากดนิ้ว แล้วปั๊มรอยนิ้วมือของตัวเอง
สการ์เล็ตกลับมองลู่เซิ่งอย่างล้ำลึก ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็กดนิ้วกับหมึกปั๊ม ก่อนจะปั๊มรอยนิ้วมือลงบนเอกสาร
…
ณ โลกมารสวรรค์
วงแสงสว่างไสวสีน้ำเงินกลุ่มหนึ่ง ขยายใหญ่ขึ้นกลางนภาดาวอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ จางหายไป
บันไซยืนอยู่บนสะพานเรือสีเงินอันกว้างใหญ่ มองการระบิดอย่างรุนแรง ณ นภาดาวไกลออกไป พร้อมกับถอนใจเฮือกหนึ่ง
เขาไว้หนวด ท่าทางเป็นผู้ใหญ่กว่าวันวาน
บันไซจัดเครื่องแบบสีขาวสง่างามบนตัว ขยับตราสมาคมวิจัยตรงหน้าอกให้ตรง
สมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ภายใต้การสนับสนุของผู้ยิ่งใหญ่อนธการคนหนึ่ง กอปรกับเจ้านครตราชั่งและผู้ปกครองจันทราแดงคอยช่วยเหลือ สมาคมวิจัยจึงดึงดูดยอดฝีมือพเนจรจำนวนมากได้ในเวลาสั้นๆ
หลังผ่านการพัฒนาช่วงหนึ่ง มันก็ค่อยๆ กลายเป็นระบบสมาชิกสมาคมแบบกึ่งทางการ
เดิมทีลู่เซิ่งก่อตั้งสมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับขึ้นมาเพื่อแก้ไขปริศนาความเป็นอมตะของความประหลาดลี้ลับ
เพียงแต่ แม้สมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับในตอนนี้จะยังพัฒนาไปยังทิศทางเดิมเป็นหลัก กระนั้นมันกลับค่อยๆ กลายเป็นสมาคมช่วยเหลือกันและกันมากขึ้น
สมาคมวิจัยไม่ผูกมัดสมาชิกคนใด อีกทั้งทุกๆ ระยะเวลาหนึ่งกลับมอบทรัพยากรของสมาคมวิจัยให้สมาชิกใช้ร่วมกัน
หัวหน้าสมาคมย่อยไม่มีอำนาจใช้งานสมาชิกใต้สังกัด สมาชิกต่างก็มีอิสระของตัวเอง
หน้าที่เพียงอย่างเดียวของพวกสมาชิกคือรายงานข้อมูลของตัวเอง เพื่อที่จะให้อินเอ้อสือเจีย สมองคำนวณแกนกลางที่บันไซสร้างขึ้นช่วยคำนวณ
และการช่วยสมาชิกคนอื่นจะยกระดับสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลและใช้การคำนวณได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ได้รับข้อมูลและการช่วยเหลือมากกว่าเดิม
แน่นอนว่า จะลงมือช่วยเหลือหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวสมาชิกเอง
สมาคมวิจัยที่ไม่มีข้อผูกมัดแบบนี้กลายเป็นที่ต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งของระบบดาวรอบๆ ในเวลาไม่นาน
โดยเฉพาะในช่วงสงครามใหญ่ระหว่างพันธมิตรดาวกับสัตว์โบราณ ข้อมูลคือชีวิต หากเร็วกว่าก้าวหนึ่ง ไม่แน่ว่าจะช่วยสิ่งมีชีวิตได้นับไม่ถ้วน
ข้อมูลของสมาคมวิจัยพึ่งพาสำนักนทีคราม นครตราชั่ง และลัทธิจันทราแดง บวกกับเครื่องคำนวณแบบผสมผสานของอินเอ้อสือเจียเร็วถึงขีดสุด
ดังนั้นจึงดึงดูดยอดฝีมือให้มาเข้าร่วมเป็นจำนวนมากได้โดยใช้เวลาไม่นาน แม้พวกเขาจะเข้มงวดต่อการตรวจสอบคุณสมบัติสมาชิกอย่างยิ่ง แต่กลับมีคนขอเข้าร่วมมากมาย
ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้น ถึงขั้นวิญญาณดาวกับสัตว์โบราณที่รักสงบบางส่วน รวมถึงเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่ไม่ยอมเข้าร่วมสงคราม ก็อาศัยข้อมูลของพวกเขาหลีกเลี่ยงสงครามได้ในระดับหนึ่งเช่นกัน
บันไซได้ข้อมูลที่มีค่าไม่น้อยจากตัวตนระดับอนธการซึ่งมีนิสัยเป็นมิตรและรักสงบเหล่านี้ เขาใช้สิ่งนี้เป็นข้อมูลหลักในการเจาะลึกลงไปเป็นชั้นๆ ไม่นานก็พัฒนาระบบอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครคาดคิดออกมาได้
ในช่วงที่ลู่เซิ่งไม่อยู่ สมาคมวิจัยพัฒนาเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ
บันไซข้ามสะพานเรือ เดินเข้าประตูก้นหอยหลายบาน ก่อนจะมาถึงโถงใหญ่สีดำทรงรีแห่งหนึ่ง
“เฮ้ เจ้าหนูบันไซ วันนี้ก็มารายงานอีกแล้วเหรอ แต่ละวันขาดเจ้าไม่ได้เลยนะ”
ชายหล่อเหลาที่สวมเสื้อแขนยาวสีขาวคนหนึ่งยืนพิงเคาน์เตอร์บาร์ซึ่งอยู่ด้านข้างโถงใหญ่ เขาฟุบอยู่บนเคาน์เตอร์ ถือแก้วสุรางดงามที่เป็นสีม่วงแวววาวไว้ใบหนึ่ง ขณะยิ้มแย้มอย่างเกียจคร้านและอ่อนโยน
“เป็นผู้อาวุโสอันซีนี่เอง…” บันไซโค้งตัวให้อีกฝ่ายอย่างเคารพ
อีกฝ่ายดูเหมือนหนุ่มแน่น แต่ความจริงเป็นวิญญาณดาวเก่าแก่ที่ไม่ทราบมีอายุมากี่ร้อยล้านปีแล้ว พลังจึงล้ำลึกไม่อาจหยั่งคาด
ว่ากันว่าเพราะเขารังเกียจกลิ่นอายแผนการร้ายในเผ่า บวกกับน้องชายและน้องสาวตายในสงคราม เขาจึงชิงชังสงคราม เลยออกมาจากเผ่าเพียงลำพัง
ด้วยวาสนาความบังเอิญ หลังจากวิญญาณดาวที่แข็งแกร่งท่านนี้อาศัยข้อมูลของสมาคมวิจัยหลายครั้ง เขาก็คร้านจะไปที่อื่นอีก หมกตัวดื่มสุราอยู่ที่นี่ทั้งวัน
ที่บันไซจำข้อมูลของท่านนี้ได้ เพราะเป็นข้อมูลที่ผู้อาวุโสผู้ลึกลับไม่อาจหยั่งคาดอีกคนบอกเขา
สมาคมวิจัยค้นพบผู้อาวุโสท่านนั้นบนดาวเคราะห์ที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดสูญพันธุ์ เขาในตอนนั้นเร่งรีบตามหาตำแหน่งของบ้านเกิดในความทรงจำ จึงอาศัยข้อมูลของสมาคมวิจัย
ภายหลังอาศัยพลังการคำนวณและเครือข่ายข้อมูลของสมาคมวิจัยจนเจอศัตรูคู่อาฆาตของตน หลังจากแก้แค้นเสร็จก็ปล่อยวางทุกอย่าง เขาผู้ที่ชีวิตขึ้นสูงสุดลงต่ำสุดและไม่เหลือที่ให้ไป เลยถือโอกาสเข้าร่วมกับสมาคมวิจัย กลายเป็นหนึ่งในระดับสูงของสมาคม
บันไซได้สติกลับมา เห็นวิญญาณดาวอันซีที่กำลังมองตนอย่างสนอกสนใจ
เขารีบยิ้มอย่างรู้สึกผิด
“ขออภัย ครั้งนี้ไม่ใช่” เขาจัดระเบียบความคิด “ครั้งนี้หัวหน้าสมาคมอาจกลับมาแล้ว”
“หัวหน้าสมาคมหรือ” อันซีงุนงง จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น “จะว่าไปข้ามาสมาคมวิจัยได้สิบกว่าปีแล้ว แต่ยังไม่เห็นเลยว่าหัวหน้าสมาคมของที่นี่เป็นอย่างไร”
“หัวหน้าสมาคม…จะว่าอย่างไรดี” บันไซยิ้ม ผุดสีหน้าอ่อนโยน “เป็นคนที่พึ่งพาได้มากคนหนึ่ง แม้ภายนอกจะดูดุไปบ้าง แต่ความจริงปฏิบัติกับคนอื่นดีมาก” เงื่อนไขคือท่านต้องเชื่อฟัง…ประโยคนี้เขาไม่ได้พูด
“อย่างนั้นหรือ ข้าอยากจะพบหน้าแล้วสิ” อันซียิ้มตาม
สมาคมวิจัยมีบรรยากาศเท่าเทียมและเป็นอิสระ ระหว่างทุกคนไม่มีการแบ่งสูงต่ำ ต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือกัน บรรยากาศเลยผ่อนคลายมาก
บันไซเดินไปยังส่วนลึกของโถงใหญ่ ระหว่างทางเจอระดับสูงแกนกลางที่มีพลังไม่อาจหยั่งคาดหลายคน
ระดับสูงพวกนี้ต่างก็เข้าร่วมสมาคมวิจัยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
พวกเขาบ้างก็มาจากสายธารอื่น บ้างก็เป็นผู้ต่อต้านสงครามระหว่างสัตว์โบราณกับวิญญาณดาว
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ตัวตนเหล่านี้ล้วนมีจุดร่วมกันสองสามอย่าง
ข้อแรกพวกเขารังเกียจการฆ่าฟันและรักสงบ
อีกข้อคือพลังของพวกเขาแข็งแกร่งมากๆ…อย่างไรหากตัวตนที่รอดจากสงครามของวิญญาณดาวกับสัตว์โบราณได้หากมีพลังไม่แข็งแกร่ง ป้องกันไม่ได้แม้แต่คลื่นหลงเหลือ ก็คงตายไปกลางทางแล้ว
……………………………………….