ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2081 เรียกกลับ / ตอนที่ 2082 ปล้นชิง
ตอนที่ 2081 เรียกกลับ
“ท่านประมุข ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่”
เว่ยเค่อหานเอ่ยสอบถามอย่างเป็นกังวลพลางกวาดสายตามองสำรวจเว่ยเจ๋อรอบหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าลมปราณในกายของเว่ยเจ๋อถดถอยลงไปหลายส่วน เขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด
ดูแล้วสถานการณ์คงไม่ราบรื่นเหมือนอย่างที่จินตนาการไว้
เว่ยเจ๋อนิ่วหน้า
“มรดกของถังเคอถูกซั่งกวนเยว่ชิงไปแล้ว”
เว่ยเค่อหานถึงกับใจหล่นวูบ
“ซั่งกวนเยว่? เจ้าของท่าเรือดอกท้อผู้นั้นหรือ?”
ระยะนี้นามนี้โด่งดังระบือไกลอย่างมาก เกรงว่าไม่ได้อยากได้ยิ่งคงทำได้ยากยิ่งนัก
“จะเป็นไปได้อย่างไร? มิใช่ว่าท่านถือครองง้าวว่านเฟิงของผู้อาวุโสถังเคอไว้ในมือหรอกหรือ? อีกอย่าง ท่านยังมี…”
สีหน้าของเว่ยเจ๋อเย็นเยียบขึ้นมาทันใด เขาตวัดสายตาไปมองเขาเป็นเชิงปรามแวบหนึ่ง
เว่ยเค่อหานเงียบปากในทันที
สีหน้าเว่ยเจ๋อค่อยๆ ผ่อนคลายลง ก่อนจะกล่าวว่า
“ง้าวว่านเฟิงยอมรับหรงซิวเป็นเจ้านายแล้ว ส่วนเรื่องอื่น… คงอธิบายให้ฟังสั้นๆ ไม่ได้ เอาเป็นว่าตอนนี้ผลลัพธ์ถูกกำหนดไว้เรียบร้อย พูดสิ่งใดไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว“
เว่ยเค่อหานเปี่ยมด้วยความตื่นตะลึงระคนสงสัย ทว่าเมื่อเห็นเว่ยเจ๋อไม่คิดอยากพูดไปมากกว่านี้ ก็ไม่ซักไซ้ไล้เลียงต่ออย่างรู้ความ
“นี่… ตราบที่ท่านปลอดภัยไร้อาการบาดเจ็บก็ยอดเยี่ยมแล้ว”
เว่ยเจ๋อสาวเท้าก้าวไปด้านหน้า
“สถานการณ์ในตระกูลเป็นอย่างไรบ้าง”
“เช่นนั้นก็ดี”
ยามได้ยินคนทั้งสองพูดคุยโต้ตอบกัน คนตระกูลเว่ยที่ตามเว่ยเจ๋อมาทีหลังพลันตกใจกันทั่วถ้วน ต่างคนต่างลอบสบสายตากันด้วยความตกตะลึง
นี่…ท่านประมุขส่งข่าวแจ้งท่านผู้อาวุโสเว่อเค่อหานก่อนจะออกมาอย่างนั้นรึ?
เว่ยเค่อหานกวาดสายตามองคนเหล่านี้คราหนึ่ง
“ท่านประมุข คนเหล่านี้…”
ยามคนเหล่านี้ได้ยินเช่นนั้น ความกระวนกระวายอย่างรุนแรงพลันแล่นปราดขึ้นมาในใจ
“ท่านประมุข…”
เว่ยเจ๋อมิได้หยุดฝีเท้า กระทั่งศีรษะยังไม่หันกลับไปมอง เขากล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบไร้ความรู้สึก
“จัดการให้เรียบร้อย บอกไปว่าตายอยู่ในป่าศิลาแล้ว”
“ขอรับ!”
เว่ยเค่อหานรับคำสั่งทันที ชายเสื้อคลุมของเขาสะบัดไหว!
คนเหล่านั้นยังไม่ทันได้ร้องขอความเมตตา ก็ล้วนถูกปาดคอเรียบร้อยจนหมดสิ้น
โลหิตสดสาดกระเด็นไปทั่วสี่ทิศ!
ในไม่ช้า คนเหล่านี้ก็ทยอยล้มลงบนพื้นในสภาพร่างไร้ลมหายใจ
เว่ยเค่อหานหยิบขวดหยกใบเล็กออกมา ก่อนจะเทของเหลวสีใสไร้กลิ่นลงไป
ซากไร้วิญญาณของคนเหล่านั้นแปรสภาพกลายเป็นคราบของเหลวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ระเหยไปในทันที กระทั่งคราบเลือดแม้แต่หยดเดียวก็ไม่ทิ้งไว้ให้เห็น
การเคลื่อนไหวต่อเนื่องเป็นชุดทำอย่างเป็นธรรมชาติ ดูแล้วชำนิชำนาญอย่างมาก เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำเช่นนี้
หลังจัดการจนเสร็จเรียบร้อย เขาก็ก้าวตามฝีเท้าของเว้ยเจ๋อไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้า เงาร่างของคนทั้งสองก็หายวับไป
เว่ยเจ๋อลัดเลาะไปตามเส้นทางอย่างชำนาญ ก่อนพุ่งเข้าไปในถ้ำตรงไหล่เขา
ส่วนเว่ยเค่อหานจัดการปิดบังพรางตัวตน รับหน้าที่คอยเฝ้าอยู่ด้านนอกปากถ้ำ
เว่ยเจ๋อสาวเท้าเดินมุ่งหน้าลึกเข้าไปในถ้ำ
ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไร ความมืดมืดก็ยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นเท่านั้น
แต่เว่ยเจ๋อดูราวกับคนที่เคยมาหลายครั้งแล้วก็มิปาน ความเร็วของเขาไม่ลดลงแม้แต่น้อย พุ่งทะยานเร็วรี่เข้าไปในถ้ำ
ตึ๋งตึ๋ง
ตึ๋งตึ๋ง
เสียงน้ำหยดค่อยๆ แว่วดังขึ้นมาให้ได้ยิน
เมื่อเว่ยเจ๋อได้ยินเสียงนี้ก็รู้สึกลิงโลดใจนัก รีบเร่งความเร็วของตนทันที
ยามเดินผ่านทางโค้งไปอีกหนึ่ง แสงสว่างเลือนรางก็ปรากฏขึ้น
สระน้ำเล็กๆ สระหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขา
แสงสว่างนั่นแผ่ออกมาจากหินย้อยแท่งหนึ่งเหนือสระน้ำ
มีหยดน้ำเกลือกกลิ้งลงมาจากด้านบนอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะหยดลงไปในสระน้ำ
เว่ยเจ๋อผ่อนลมหายใจออกมาโดยพลันพลางรีบสาวเท้าก้าวไปด้านหน้า หยิบเอาเถี่ยฉุยสีดำแกมม่วงออกมาหย่อนลงไปในใจกลางสระน้ำ
ตึ๋งตึ๋ง
น้ำหยดหนึ่งหยดลงบนเถี่ยฉุยพอดิบพอดี
ลวดลายด้านบนค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นมา
เว่ยเจ๋อเองก็รู้สึกได้ทันทีว่าพลังภายในร่างที่เหือดแห้งไปได้รับการเติมเต็มขึ้นมาทันที
“ยังดี…”
ยังดีที่กลับมาทันเวลา!
“ซีผิง เจ้าสบายดีหรือไม่”
“ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าไม่เป็นไรขอรับ”
หากหรงซิวและฉู่หลิวเยวาอยู่ที่นี่ย่อมต้องฟังออกอย่างแน่นอนว่านี่คือเสียงของเว่ยซีผิง!
เมื่อเว่ยเจ๋อได้ยินดังนั้นก็พรูลมหายใจออกมายาวเหยียดในที่สุด ทว่าเมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ใจที่ยังคงวูบโหวงจึงยังไม่ผ่อนคลายดี
“ต้องโทษพ่อที่ไร้ความสามารถ เกือบทำให้เจ้า…”
“หาใช่ความผิดของท่านพ่อไม่”
สุ้มเสียงของเว่ยซีผิงฟังดูอ่อนแออยู่หลายส่วน ทว่าก็แฝงแววหดหู่ไม่น้อย
“เป็นสองคนนั้นต่างหากที่มันเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อน!”
มิเช่นนั้นแล้ว ผู้ที่ได้รับสืบทอดมรดกของถังเคอก็คงเป็นเขากับท่านพ่อไปแล้ว!
ตอนนี้แผนที่พวกเขาตระเตรียมกันมาอย่างดีล้วนถูกทำลายลงจนไม่เหลือซาก!
ยามเอ่ยถึงเรื่องนี้ เว่ยเจ๋อเองก็ใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“สองคนนั้นมันเจ้าแผนการกันจริงๆ…ซีผิง ช่วงนี้เจ้าพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ไปก่อน พ่อรู้สึกมาตลอดว่าหรงซิวเหมือนจะเจอสิ่งใดบางอย่าง…ประจวบเหมาะกับที่เจ้าจะได้ใช้โอกาสนี้ฟื้นฟูร่างกายให้ดี…”
“ท่านพ่อวางใจเถิด เรื่องที่ท่านพูดลูกล้วนเข้าใจดี แม้ครั้งนี้จะกระทำไม่สำเร็จ แต่ดีร้ายอย่างไรก็ได้ดูดซับพลังทัณฑ์สวรรค์ไปไม่น้อยแล้ว ใช้เวลาอีกไม่นาน พลังของลูกก็จะสามารถพัฒนาไปได้อีกขั้น”
เว่ยเจ๋อจึงนับว่าวางใจลงได้โดยสิ้นเชิง
“ดี ระยะนี้พ่อจะคอยเฝ้าเจ้าไปก่อน รอพวกซั่งกวนเยว่ออกมาจากป่าศิลา พวกเราค่อยหาทางแก้แค้นก็ยังไม่สาย!”
…
การจากไปของพวกเว่ยเจ๋อไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อทุกคนมากนัก
หลังพวกเขาจากไป ป่าศิลาก็ฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
บรรดาฝูงชนจึงเริ่มกลับรอกันอีกคราหนึ่ง
เวลาแบบนี้ช่างยาวนานและทรมานยิ่ง แต่พวกเขาต่างก็สงสัยใคร่รู้ในสถานการณ์ของฝั่งฉู่หลิวเยว่กันมากจริงๆ ดังนั้นจึงทำได้แค่รั้งรอต่อไป
เมื่อซูหลี่กล่าวจบ ฉู่หลิวเยว่ก็ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
จะอย่างไรนางก็คาดไม่ถึงว่าเบื้องหลังของสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่จะยังซ่อนความลับสะเทือนฟ้าเช่นนี้เอาไว้!
หากบอกว่า สมบัติศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ล้วนพึ่งพาพลังจากโล่ผสานนภาในการตีหลอมขึ้น เช่นนั้นตัวโล่ผสานนภาเองเล่า?
การมีอยู่ของมันคืออะไรกันแน่!
มือของซูหลี่ลูบไล้แผ่วเบาไปบนแผ่นจารึกสุสานอย่างเชื่องช้า อักษรโบราณที่สลักลงไปนั้นขรุขระไม่ราบเรียบเสมอ ทั้งหยาบกระด้างด้วยผ่านร้อนผ่านหนาวมา
“แม้พวกเราจะตีหลอมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ออกมาห้าชิ้น แต่พวกเราก็ต้องจ่ายราคามหาศาลเพื่อสิ่งนี้ ร่างเนื้อของข้าแหลกสลาย วิญญาณก็จวนเจียนจะสูญสิ้น แม้นสถานการณ์ของถังเคอจะดีกว่าข้าอยู่บ้าง แต่การตั้งจารึกสุสานสองอันนี้ขึ้นมาก็สูบพลังทั้งหมดของเขาไปจนสิ้น”
ฉู่หลิวเยว่ที่ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ถามขึ้นมาว่า
“เช่นนั้น…เหตุใดผู้อาวุโสถังเคอถึงต้องแบ่งอักษรโบราณบนโล่ผสานนภาออกเป็นสองส่วน แล้วสลักไว้บนจารึกสุสานแต่ละอันด้วยเล่า”
ซูหลี่หันศีรษะกลับมา
“แน่นอนว่าเป็นเพราะ…มีเพียงการกระทำเช่นนี้เท่านั้นจึงทำให้โล่ผสานนภายอมรับเป็นเจ้านายได้ในวันนั้น”
นางชี้ไปทางสมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามชิ้น
“ตอนนั้นพลังภายในโล่ผสานนภาถูกพวกข้าสองคนแบ่งออกเป็นสองส่วน หลังจากนั้นก็ปันส่วนถ่ายทอดลงไปในสมบัติศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น หากเจ้าคิดจะปลุกให้โล่ผสานนภาตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์ ก็ต้องนำพลังส่วนที่ว่ามานี้ถ่ายเทกลับเข้าไปเหมือนเดิม!”
ตอนที่ 2082 ปล้นชิง
“ปลุกโล่ผสานนภาหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจอยู่บ้าง
ในสายตาของนาง ตอนที่โล่ผสานนภาทำให้เกิดจลาจลเพลิงภูเขาที่ท่าเรือดอกท้อในคราแรกนั้นก็ปลุกตื่นโดยสมบูรณ์แล้วนี่
อีกทั้ง มันก็รับนางเป็นนายแล้ว
“เจ้านั้นเป็นนายของโล่ผสานนภาจริงๆ ไม่ผิด แต่วันในเวลานี้ ไม่ได้อยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์ที่สุดอย่างคราแรกแล้ว ยามนี้ข้าไม่อาจใช้วาจามาอธิบายแก่เจ้าได้ว่า โล่ผสานนภาที่ระเบิดพลังออกมาได้อย่างแท้จริงนั้น ที่สุดแล้วมีพลังอำนาจน่าสะเทือนขวัญผู้คนเช่นไร…แต่ หากเจ้าคิดอยากจะแข็งแกร่งขึ้น นี่ก็คือก้าวย่างหนึ่งที่เจ้าจำเป็นต้องย่ำเดิน”
สีหน้าของนางจริงจังถึงที่สุด
ฉู่หลิวเยว่ชะงักงัน แล้วเอ่ยถาม
“หากว่าเป็นเช่นนี้…เช่นนั้น สุดท้ายแล้วสมบัติศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะเป็นเช่นไร ถ้าเกิดว่ามันถูกสูบพลังออกไป เช่นนั้น…”
เช่นนั้นไม่ใช่ว่าก็จะกลายเป็นเศษทองแดงซากโลหะกองหนึ่งหรือ
“เรื่องเจ้าไม่ต้องกังวล แม้ว่าภายในของสมบัติศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะกักเก็บพลังอำนาจของโล่ผสานนภาเอาไว้ แต่การปลุกโล่ผสานนภา ไม่จำเป็นต้องสูบพลังเหล่านี้ออกมา จำเป็นเพียงแค่นำพวกมันทั้งหมดมารวมกัน…ในตอนที่สมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบชิ้นเรียงกันจนครบ โล่ผสานนภาย่อมจะตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์”
ฉู่หลิวเยว่ถึงได้วางใจลง
สมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นอื่นนางไม่ทราบ แต่สำหรับหลายชิ้นที่นางมีครอบครองอยู่บนมือตรงหน้านี้แล้ว ทั้งหมดล้วนล้ำค่าทั้งยังร้ายกาจถึงที่สุด
หากต้องทำลายพวกมันจริงๆ ล่ะก็ นางรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากจริงๆ
“เช่นนั้น สิ่งที่ข้าจำเป็นต้องทำ ก็คือรวบรวมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบชิ้นหรือ”
ซูหลี่พยักหน้า
ฉู่หลิวเยว่นวดขมับอย่างปวดศีรษะอยู่บ้าง
“เช่นนั้นท่านก็มองข้าสูงเกินไปแล้ว…”
เรื่องยามพูดนั้นง่ายดาย แต่ยามทำกลับไม่รู้ว่ามีความยุ่งยากมากเพียงใด!
นางใช้เวลาไปมากมายถึงเพียงนี้ ออกเรี่ยวแรงไปมากมายถึงเพียงนี้ กลับเพิ่งจะได้มาเพียงสามชิ้นอย่างไม่ง่ายดายนัก
นอกจากง้าวว่านเฟิงของหรงซิวแล้ว ก็ยังมีอีกหกชิ้น
นางจะไปเสาะหาจากที่ใด
หากว่าเดาไม่ผิดละก็ สมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือหลายชั้นนั้น ในเวลานี้จะต้องล้วนกระจายกันไปอยู่ในตระกูลใหญ่ทั้งหลายของอาณาจักรเสิ่นซวี่แน่
“แม่นางซั่งกวน นี่สำหรับผู้อื่นแล้ว อาจจะยากเย็นยิ่ง แต่สำหรับท่านแล้ว กลับสามารถทำได้จริง อย่าลืมเล่าว่า โล่ผสานนภา ในเวลานี้ก็อยู่ในมือเจ้า”
ฉู่หลิวเยว่ความคิดแล่นปราด
“ความหมายของท่านซูคือ…”
“สิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่หยิบยืมพลังอำนาจของโล่ผสานนภา จึงได้ทำลายพันธนาการ แล้วถือกำเนิดเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์! หากโล่ผสานนภาเรียกหา พวกมันย่อมตอบรับ!”
หนังตาของฉู่หลิวเยว่พลันกระตุกอย่างรุนแรง
“ท่านซู นี่ท่าน…ให้ข้าไปปล้นชิงหรือ!”
ซูหลี่กะพริบตาแล้วยิ้ม ลักยิ้มตื้นต่ำ อบอุ่นดั่งลมวสันต์ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนนิ่มนวล
“จะบอกว่าแย่งได้อย่างไรเล่า ใต้หล้านี้เดิมทีผู้แข็งแกร่งถือว่าเป็นนาย ผู้ใดมีความสามารถ ผู้นั้นก็ชนะ พูดอีกอย่างก็คือ เวลานี้แม้แต่โล่ผสานนภาก็ล้วนเป็นของท่านแม่นางซั่งกวน ไยต้องกังวลกับสมบัติศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นด้วยเล่า”
“นั่น…เดิมทีก็เป็นของเจ้านะ”
…
ด้านนอกประตูสำริด
หรงซิวยืนมือไล่หลัง
ถังเคอคุกเข่าอยู่ที่ด้านหลังเขาไม่ไกล
ภายในห้วงอากาศอันไพศาล ล้วนเป็นความเงียบสงัดผืนหนึ่ง
มีเพียงทัณฑ์สวรรค์นับไม่ถ้วนด้านบนเท่านั้นที่ยังเคลื่อนขยับอย่างนิ่งสงบ
แสงสว่างเรืองรอง กะพริบวาบเนืองนอง
ทันใดนั้น สีหน้าของหรงซิวพลันเปลี่ยน แล้วหมุนกายไป
หัวใจถังเคอกระตุกวาบโดยพลัน
“ฝ่าบาท…”
หรงซิวมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ยืนขึ้นเถิด”
ถังเคอพลันตะลึงงันก่อน แล้วจู่ๆ ก็ฉุกคิดถึงอะไรบางอย่างได้ในฉับพลัน แววตื่นเต้นล้นทะลักออกมาจากในดวงตา
“ฝ่าบาท ท่านจะบอกว่า…”
สำเร็จแล้ว!
ดูท่าด้านในจะสำเร็จแล้วเป็นแน่!
เพราะหรงซิวอยู่ที่นี่ เขาจึงไม่กล้าตรวจสอบสถานการณ์ที่ด้านในเป็นการส่วนตัว เวลานี้ก็นับได้ว่าหัวใจดวงนี้สามารถวางลงได้แล้ว
“ความเมตาของนายท่านเยว่ ไม่อาจลืมเลือน! รอนายท่านเยว่ออกมาอย่างปลอดภัย ผู้น้อยจะอุทิศมรดกทั้งหมดให้แน่นอน!”
สิ่งที่เขาพูด ย่อมหมายถึงทะเลอัสนีบาตไร้ขอบเขตที่เก็บสะสมทีละเล็กน้อยมานานนับหมื่นปีเหล่านี้!
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงนิ่ง
“สิ่งของอันเล็กจ้อยนี้ของเจ้า ไม่ได้อยู่ในสายตานาง”