ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 543 ความสูญเสียของแผ่นดิน
เฉิงเซิงและหมิ่นเจียมองตามสายตาของพวกนางไปก็เห็นชิงเฟิ งและอู๋เซียนเซิงเช่นกัน
เพียงแต่ว่าเฉิงเซิงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ กล่าวกับโจวเสาจิ่นยิ้มๆ ว่า “มีแขกมาอีกแล้วหรือ”
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น กล่าวยิ้มๆ อย่างคลุมเครือว่า “คงจะใช่กระมัง!”
ทว่าหมิ่นเจียเติบโตขึ้นมาจากตระกูลขุนนาง อีกทั้งยังเป็นบุตรสาวคนโตของภรรยาเอก
เติบโตมากับย่าทวดตั้งแต่เด็ก ได้รับการปลูกฝังการเป็นภรรยาเอกของตระกูลมา จึงพอจะเห็น
ความผิดปกติ การเข้าหาของเฉิงเซิงวันนี้ทําให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจ รู้สึกสนิทสนมกับเฉิงเซิงมากขึ้น
หลายส่วนอย่างช่วยไม่ได้ ได้ยินเช่นนั้นก็แอบดึงแขนเสื้อเฉิงเซิงเบาๆ กระซิบกล่าวว่า
“สถานการณ์ดูแปลกๆ เล็กน้อย ตอนนี้พวกเราอย่าเพิ่งออกไปดีกว่า รอดูสถานการณ์แล้วค่อยว่า
กันอีกที”
เฉิงเซิงรู้สึกสะดุดใจ เขย่งเท้าขึ้นมองไป เห็นเพียงชิงเฟิงพาอู๋เซียนเซิงผู้นั้นเข้าไปในศาลา
ไม่นานคนในศาลาล้วนลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเฉิงฉือส่งเฉิงเซ่าและอู๋เซียนเซิงผู้นั้นออก
จากศาลาไป สาวเท้าออกไปจากสวนดอกไม้อย่างรีบร้อน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านปู่รองใช่หรือไม่” นางพึมพํากล่าว
ความสนุกสนานของทุกคนล้วนจืดจางลงหลายส่วน
มีเพียงเด็กๆ ที่ยังร้องเสียงดังโหวกเหวกเจื้อยแจ้วอยู่บนเรืออย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านอารองทางด้านโน้นหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่ทุกคนกลับไม่มีอารมณ์
รื่นเริงกันแล้ว เป็นเช่นนี้ต่อไม่ได้การเป็นแน่!
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าจะให้คนไปสอบถาม ดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านอารอง
หรือเปล่า”5035
เฉิงเจิงและคนอื่นๆ รีบพยักหน้าเห็นด้วย
โจวเสาจิ่นรีบเรียกซางมามาเข้ามาสั่งการลงไป
ซางมามาไปที่ศาลาทันทีแล้วก็กลับมาอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “ในวังส่งคนมา บอกว่าองค์
ชายเจ็ดทําให้องค์ฮ่องเต้ไม่พอพระทัย องค์ฮ่องเต้มีรับสั่งให้นายท่านผู้เฒ่ารองเข้าวังไปเดินหมาก
ด้วยเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
บริเวณทะเลสาบถึงได้กลับมาครึกครื้นเหมือนเมื่อครู่อีกครั้ง
คนในศาลากลับไม่ได้รื่นเริงเท่าบรรดาสตรี
หยวนหมิงกล่าว “…ตกลงเรื่องขององค์ชายเจ็ดจัดการอย่างไรกันแน่ แม้แต่คนของ
กรมการตรวจตราก็ไม่กล้าฟ้องร้อง กล่าวคือ ขุดลึกลงไป อาจกล่าวได้ว่าเป็นการก่อกบฏ หาก
เพียงผิวเผิน อาจกล่าวได้ว่าเป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวง ตอนนี้ทุกคนไม่ว่าสูงตํ่าล้วนแล้วแต่มองสี
พระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้ถึงขยับเขยื้อนกันทั้งนั้น พี่ใหญ่ ท่านว่าท่านปู่รองเข้าวังไปเดินหมากกับ
องค์ฮ่องเต้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่ เวลานี้ผู้ใดจะรู้ว่าองค์ฮ่องเต้จะทรงตรัสถามอะไรบ้าง
คําตอบไม่ถูกพระทัยหนึ่งคําตอบ อาจถึงขั้นถูกลงโทษทั้งตระกูลก็เป็นได้นี่นา!”
ความจริงแล้วพวกเขาเป็นสามีพี่ภรรยาและสามีน้องภรรยากัน เพียงแต่ว่าเพราะพวกเฉิง
เจิงสามพี่น้องสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยนับญาติเป็นพี่ชายน้องชายเรียงลําดับตามสามพี่
น้อง ทําให้ดูสนิทสนมกันมากขึ้น
กู้ซวี่ได้ยินแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีการลงโทษทั้งตระกูลมากมายเพียงนั้นที่ไหนกัน จากการ
สํารวจราชวงศ์ปัจจุบัน นอกจากตอนเริ่มก่อตั้งแผ่นดินในยุคไท่จงที่เคยมีการฆ่าล้างทายาทของ5036
ตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมาแล้ว ฮ่องเต้พระองค์ถัดจากนั้นเคยลงมือกับครอบครัวบัณฑิต
ขุนนางด้วยหรือ”
หยวนหมิงเป็นบุตรหลานของตระกูลหยวน เป็นหลานชายของหยวนซื่อ เป็นญาติที่ห่าง
จากหยวนเหวยชางยังไม่เกินสามรุ่น บิดาก็เป็นบัณฑิตผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง เพียงแต่ว่าเพราะ
ร่างกายอ่อนแอ สอบจวี่เหรินผ่านแล้วก็ไม่ได้ลงสนามสอบอีก พูดถึงความรู้แล้ว นับว่าเป็นลําดับ
ต้นๆ ของตระกูลหยวนเลยทีเดียว เมื่อก่อนหยวนหมิงติดตามเรียนหนังสือกับบิดาของตนมาโดย
ตลอด แม้แต่บุตรชายหลายคนของหยวนเหวยชางก็ล้วนแล้วแต่ให้บิดาของเขาสอนสั่ง
เช่นเดียวกัน เป็นคนที่พูดจามีนํ้าหนักในตระกูลหยวน มารดามาจากครอบครัวคหบดีรํ่ารวยของ
หรงเฉิง เป็นเพราะมีบุญคุณต่อตระกูลหยวนถึงได้มีการเกี่ยวดองนี้เกิดขึ้น เวลานั้นสินเจ้าสาวจึง
มีถึงสิบลําเรือเต็มๆ หลังจากแต่งเข้าตระกูลหยวนแล้วก็คลอดบุตรชายอย่างหยวนหมิงได้เพียง
คนเดียวเท่านั้น นอกจากนี้บิดามารดารักใคร่ เฉลียวฉลาดตั้งแต่เด็ก อยู่ที่ตระกูลหยวนแม้แต่
หยวนเหวยชางก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างเป็นพิเศษ เลี้ยงดูเขาให้กลายเป็นคนจริงใจและตรงไปตรงมา
ได้ยินกู้ซวี่ตอบเช่นนี้ เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “มิใช่ว่ากฎเกณฑ์ล้วนถูกทําลายหมดแล้วหรอก
หรือ! แรกเริ่มองค์ฮ่องเต้ไท่จงยังทรงตรัสว่าไม่มีการเก็บภาษีเพิ่ม แต่ท่านดูตอนนี้ เปรียบเทียบกับ
ตอนก่อตั้งประเทศแล้ว ภาษีนี้ย้อนกลับไปกี่ครั้งแล้ว อย่างไรก็ตามข้าไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่
แล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าเป็นอย่างท่านอาสี่นั้นดี เวลาอยากทําการค้าก็ทําการค้า เวลาอยากเข้ารับ
ราชการก็เข้ารับราชการ…เพราะฉะนั้นข้าจึงชื่นชมท่านอาฉือเป็นที่สุดแล้ว ข้าเองก็อยากเรียนรู้
จากเขา…”
กู้ซวี่และเผิงเจ่าต่างหัวเราะฮ่า
เฉิงสวี่กลับก้มหน้าลง ค่อยๆ จิบชาคําหนึ่ง ตอนเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็ทิ้งสายตาไว้ที่ผิว
นํ้าทะเลสาบกว่าครู่ใหญ่5037
ในที่นี้ทุกคนล้วนอาวุโสกว่าเฉิงรั่ง เฉิงรั่งรู้สึกว่าหยวนหมิงพูดได้น่าขบขันยิ่ง แต่ก็ไม่กล้า
พูดคุยหัวเราะอย่างพวกเขา ได้แต่กลั้นยิ้มรินนํ้าชาให้กู้ซวี่เท่านั้น
ท่านปู่ และบิดาของเผิงเจ่าล้วนเป็นจิ้นซื่อขั้นสองทั้งสิ้น แต่ครอบครัวของพวกเขาไม่ต่าง
กับครอบครัวของโจวเสาจิ่น รุ่นก่อนหน้าท่านปู่ ของเขามีทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาสู่ขอ
เฉิงเซิงได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะท่านปู่ และบิดาของเขาล้วนเป็นคนมีเกียรติปฏิบัติตนอย่าง
ถูกต้องเหมาะสมทั้งสิ้น ส่วนตัวเขาไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือความรู้ความสามารถล้วนเป็นคนโดด
เด่นของคนในยุคนี้ เมื่อเปรียบเทียบบุตรเขยทั้งสามคนของตระกูลเฉิงแล้ว เขาทั้งไม่ได้ประสบ
ความสําเร็จและมีชื่อเสียงเท่ากู้ซวี่และไม่ได้มาจากตระกูลมีอํานาจเหมือนหยวนหมิง ยามพูดจา
จึงค่อนข้างระมัดระวัง ไม่ค่อยเอ่ยปากพูดเท่าไรนัก แต่เมื่อได้เอ่ยปากพูดก็มักจะมีพลังและ
นํ้าหนัก แต่คุณลักษณะเช่นนี้ไม่เพียงเฉิงจิงที่ชอบ เฉิงเซ่าและเฉิงฉือเองก็พึงพอใจยิ่ง
เขาหัวเราะเสร็จแล้วก็กล่าวว่า “มิใช่ว่าท่านลุงใหญ่อยู่กับท่านย่าหรอกหรือ ประเดี๋ยว
กลับมาลองสอบถามท่านลุงใหญ่ดูก็ได้แล้ว!”
หยวนหมิงหัวเราะฮ่า กล่าวว่า “มิใช่เพราะข้าเห็นว่าผู้ใหญ่ไม่อยู่ จึงแสร้งทําตัวเป็น
จักรพรรดิหรอกหรือ”
ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงกู้ซวี่แล้ว แม้แต่เฉิงรั่งก็หัวเราะขึ้นมาด้วย
เฉิงฉือจึงกลับมาถึงท่ามกลางเสียงหัวเราะของพวกเขา
หยวนหมิงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาสี่ ท่านปู่ รองได้บอกอะไรหรือไม่ เรื่ององค์ชายเจ็ด
กรมการตรวจตรามีข่าวคราวอะไรบ้างหรือยังขอรับ”
เมื่อครู่เฉิงเซ่าอยู่ที่นี่ด้วย ทุกคนต่างสงวนท่าทีไม่กล้าพูดจาเหลวไหล ตอนนี้เหลือเพียง
เฉิงฉือที่อายุใกล้เคียงกับพวกเขาเพียงผู้เดียว เมื่อก่อนตอนที่ไม่ได้คบหาสมาคมด้วยจึงไม่รู้5038
นับตั้งแต่มาอยู่เมืองหลวงแม้ไม่ค่อยพูด ทว่าปฏิบัติกับผู้คนด้วยความใจกว้าง เวลาหยวนหมิงพูด
จาจึงไม่ค่อยวิตกกังวลอะไรสักเท่าไรแล้ว
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อครู่ท่านอารองยังอยู่กับพวกเราอยู่เลย เรื่องที่พวกเราไม่รู้เขา
เองก็ย่อมไม่รู้เช่นกัน จะบอกอะไรได้! ส่วนเรื่องขององค์ชายเจ็ด ช่วงนี้ข้าได้รับคําสั่งให้ตรวจสอบ
บัญชีเก่าก่อนหน้านี้ของสํานักข้าหลวงฝ่ายจัดการนํ้าที่กรมโยธา จึงยังไม่ได้ใส่ใจจริงๆ”
หยวนหมิงได้ยินเรื่องนี้แล้วก็ดูร่าเริงขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านอาฉือ ได้ยินว่าที่บ้านของ
ขุนนางใหญ่ชวีนั้นแค่พริกไทยก็ค้นออกมาได้ถึงหนึ่งพันกว่าจิน เป็นเรื่องจริงหรือขอรับ”
เฉิงฉือกระแอมไอ กําลังเตรียมจะใช้กลยุทธ์เงินสองเหลี่ยงพิชิตทองพันชั่งจัดการหยวนห
มิง ทว่าภายในศาลากลับมีเสียงของเฉิงจิงดังขึ้นมาเสียก่อน “อาฉือของเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ของ
กรมการตรวจตรา ราชสํานักไม่มีเรื่องติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานอื่นอย่างเป็นทางการ หากเขาพูด
ออกมา นั่นเป็นการผิดวินัย เจ้าเองก็ไม่เด็กแล้ว เรื่องอะไรควรพูด เรื่องอะไรไม่ควรพูดก็น่าจะรู้จัก
มีขอบเขตถึงจะถูก”
สั่งสอนหยวนหมิงจนเหมือนกับสุนัขเลือดท่วมหัวไปครั้งหนึ่ง
หยวนหมิงหน้าแดง ขานรับคําอย่างอับอาย
กู้ซวี่และเผิงเจ่าล้วนได้แต่แสร้งทําเป็นไม่ได้ยิน
เฉิงฉือมองแล้วจึงตัดบทคําพูดของเฉิงจิงว่า “ท่านแม่นอนพักผ่อนไปแล้วหรือ ท่านอารอง
ถูกองค์ฮ่องเต้รับสั่งให้เข้าวัง ตรัสว่ารู้สึกไม่สบายพระทัยต้องการเดินหมากกับท่านอารอง ไม่รู้ว่า
องค์ฮ่องเต้จะทรงตรัสเรื่ององค์ชายเจ็ดกับท่านอารองหรือไม่”
เฉิงจิงเข้าใจความหมายของเฉิงฉือ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถิด! ท่านอารองของเจ้า
กระทําเรื่องใดล้วนเชื่อถือได้มาโดยตลอด สองวันก่อนขุนนางใหญ่หลี่เพิ่งจะถามถึงเรื่องขององค์5039
ชายเจ็ด องค์ฮ่องเต้ยังทรงคลุมเครืออยู่ คาดว่าทรงไม่คิดจะจัดการองค์ชายเจ็ด เรื่องที่แม้แต่ข้ายัง
รู้ ท่านอารองก็ย่อมรู้อย่างแน่นอน”
เฉิงฉือพยักหน้ายิ้มๆ
เฉิงรั่งช่วยรินชาให้เฉิงจิง
บรรยากาศพลันดูหม่นหมองขึ้นมา
เฉิงจิงมองแล้วรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เห็นเฉิงฉือนั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าสบายๆ นึกถึง
คําพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่พูดกับเขาเมื่อครู่ขึ้นมา เขาอดไม่ได้กล่าวขึ้นว่า “จื่อชวน เจ้าลองพูด
มาว่า องค์อ่องเต้ทรงเตรียมการจัดการเรื่องนี้อย่างไรบ้าง”
เรื่องในราชสํานัก ผู้ใดมีความสามารถเดินหนึ่งก้าวคิดพิจารณาสามก้าวได้ อย่างน้อยก็
ได้เข้าไปเป็นสมาชิกในสํานักราชเลขาธิการอย่างแน่นอน
เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อยที่เฉิงจิงวกกลับมาที่คําถามข้อนี้อีกครั้ง แม้นนี่จะเป็นเรื่อง
ของสํานักพระราชวัง แต่ก็ยิ่งเป็นเรื่องส่วนตัวของราชวงศ์ด้วย
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “มิใช่ว่าทุกคนล้วนกําลังรอดูพระราชดําริขององค์ฮ่องเต้อยู่หรอกหรือ”
เฉิงจิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็เพียงพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวเท่านั้น!”
พี่ใหญ่กลายเป็นคนเล่นๆ เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
ผู้อื่นอาจจะพูดคุยเป็นการส่วนตัวกันได้ แต่เขาเป็นขุนนางใหญ่ คําพูดที่พูดคุยเป็นการ
ส่วนตัวก็อาจจะถูกผู้คนเข้าใจผิดได้5040
ตอนแรกเฉิงฉือคิดว่าจะพูดไม่กี่ประโยคให้พอเป็นพิธีก็พอ แต่เมื่อหวนนึกถึงความ
ผิดปกติของเฉิงจิง ก็นึกถึงเมื่อครู่ที่มารดาเรียกพี่ใหญ่ไปหาเป็นเวลานานนั้นขึ้นมา พลันยิ้มหยัน
อยู่ในใจ
ไม่รู้ว่าตอนอยู่กับมารดาพี่ใหญ่โดนต่อว่าอะไรมา จึงต้องการหาที่ปลดปล่อยอารมณ์สัก
ที่หนึ่ง
แต่เขาไม่ใช่พี่รอง ที่เป็ นน้องชายที่เป็นมิตรจิตใจดี เขาอดทนกับหยวนซื่อมาเป็น
เวลานานแล้ว…เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพวกเจ้ากําลังคาดหวังอะไรกันอยู่
องค์ฮ่องเต้นั้นแค่มองก็รู้แล้วว่าทรงไม่อยากจัดการองค์ชายเจ็ด แต่ฮ่องเต้ก็เป็นตําแหน่งที่ได้มา
ยากยิ่ง ไม่จัดการองค์ชายเจ็ด มีแต่จะทําให้จริยธรรมพังทลาย ต่อไปใครๆ ก็ละเลยอํานาจของ
พระราชวังได้ ตอนนี้องค์ฮ่องเต้ทรงยื้อเวลา เพียงเพราะว่าทรงอยากจะไว้ชีวิตองค์ชายเจ็ดสักครั้ง
หนึ่ง แล้วก็ทรงมีความคิดจะหยั่งเชิงดูองค์รัชทายาทด้วย ข้าว่าตอนนี้ผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ที่
ยากลําบากที่สุดคือองค์รัชทายาท ถวายฎีกาขึ้นไปขอให้จัดการองค์ชายเจ็ด ก็กลัวองค์ฮ่องเต้จะ
ทรงคิดว่าเขาไม่มีความรักให้พี่น้อง ไม่ถวายฎีกาขึ้นไปขอให้จัดการองค์ชายเจ็ด ก็กลัวองค์ฮ่องเต้
จะทรงคิดว่าเขาไม่มีความสามารถของตําแหน่งรัชทายาท ต่อให้ไม่สนใจอยู่เช่นนี้ สุดท้ายองค์
ฮ่องเต้ก็อาจจะทรงคิดว่าเขามีจิตใจเจ้าเล่ห์อยู่ดี…”
เฉิงฉือมองออก แน่นอนว่าเฉิงจิงก็ย่อมมองออก เฉิงจิงถามเฉิงฉือ ก็เพียงเพราะไม่รู้ว่า
เฉิงฉือมองออกหรือไม่ก็เท่านั้น
เฉิงจิงได้ยินแล้วก็ยิ้มขื่นออกมา กล่าวว่า “ตอนนั้นถ้าเจ้าเข้าร่วมการคัดเลือกเป็นบัณฑิต
ซู่จี๋ซื่อก็คงดี!”
เฉิงฉือกลับไม่เห็นด้วยกล่าวขึ้นว่า “การเข้าใจโลกเป็นความรู้แท้ และการเข้าใจมนุษย์ก็
เป็นหัวใจแห่งปัญญา ข้ารู้สึกว่าข้าในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรไม่ดี”5041
ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ กู้ซวี่ที่อยู่ข้างๆ กลับมองเฉิงฉือด้วยดวงตาสุกใสทั้งคู่เป็น
เวลานานแล้ว จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ท่านอาฉือ เรื่องขององค์ชายเจ็ด ท่านมีความคิดอะไรดีๆ หรือไม่
ขอรับ”
สายตาของทุกคนล้วนเคลื่อนไปตกอยู่บนร่างของกู้ซวี่
กู้ซวี่กลับมองเฉิงฉืออย่างไม่หลบเลี่ยง
ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่ากู้ซวี่เป็นขุนนางในวังบูรพา
ความจริงเฉิงฉือคิดจะเข้าหาพูดคุยกับกู้ซวี่เป็นทุนเดิม อยากดึงกู้ซวี่มาอยู่บนเรือลํา
เดียวกับตน เมื่อเขาถาม เฉิงฉือย่อมไม่อยู่เงียบอยู่แล้ว
“ข้าคิดว่าเวลานี้องค์รัชทายาทควรจะถวายฎีกาขึ้นไปให้องค์ฮ่องเต้ หนึ่งเพื่อหวนรําลึกถึง
ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของตนกับองค์ชายเจ็ด และสองเพื่อโจมตีการกระทําความผิดของ
องค์ชายเจ็ด กล่าวคือ ในฐานะเชษฐาคนโต เขาเห็นใจสงสารองค์ชายเจ็ดที่กระทําผิด แต่ในฐานะ
องค์รัชทายาท เขาไม่อาจบิดพลิ้วกฎหมายเพื่อช่วยเหลือพี่น้องตามใจได้ สุดท้ายเสนอให้องค์
ฮ่องเต้ถอดยศองค์ชายเจ็ดเป็นสามัญชน ไว้ชีวิตเขาสักครั้งหนึ่งก็ได้แล้ว”
กู้ซวี่ได้ยินแล้วดวงตายิ่งสว่างวาบ เขากล่าว “ข้าคิดเช่นเดียวกับท่านอาฉือ เพียงแต่ว่า
ฎีกาฉบับนี้ไม่รู้ว่าควรจะถวายขึ้นไปดีหรือไม่ ช่วงนี้องค์รัชทายาททรงพระอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก”
“ถวายขึ้นไปเถิด!” เฉิงฉือคิดว่าถ้าองค์รัชทายาทเสด็จสวรรคตด้วยเรื่องนี้ ไม่แน่ว่าองค์
ชายสี่อาจจะต่อต้านพระราชนัดดาองค์โต เมื่อเป็นเช่นนี้ นํ้าย่อมจะต้องขุ่น เขาจะได้หาประโยชน์
จับปลาจากนํ้าขุ่นนี้ได้พอดี
กู้ซวี่พยักหน้าอย่างใช้ความคิด
หยวนหมิงมองเฉิงฉือด้วยสายตาชื่นชมเป็นอย่างมาก5042
แต่จิตใจของทุกคนล้วนหนักอึ้ง ฝืนอยู่ต่อไปจนรับประทานอาหารคํ่าเสร็จแล้วจึงแยก
ย้ายกันไป
วันต่อมา องค์ฮ่องเต้ทรงไม่เข้าประชุมเช้า เฉิงเซ่าเองก็ไม่ได้ออกมาจากวังหลวง
กู้ซวี่ให้คนที่ไว้ใจได้มาบอกเฉิงฉือว่า เมื่อวานองค์รัชทายาทและพระราชนัดดาองค์โตก็
เข้าวังตั้งแต่เช้าตรู่เช่นกัน จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่เสด็จกลับมา
สีหน้าของเฉิงฉือเคร่งเครียดขึ้นมา
ตกบ่าย มีเสียงระฆังแจ้งข่าวการเสด็จสวรรคตออกมาจากพระราชวัง
องค์รัชทายาททรงเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันจากการเจ็บป่วยที่ตําหนักฉือหนิง
องค์ฮ่องเต้ไม่ทรงแจ้งผ่านกรมพิธีการ รับสั่งให้ใช้พิธีการของโอรสสวรรค์ในการจัดพิธีฝัง
พระศพขององค์รัชทายาท