ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 265 การต่อสู้ที่ดุเดือด
บทที่ 265 การต่อสู้ที่ดุเดือด
บทที่ 265 การต่อสู้ที่ดุเดือด
ลู่หยวนนั่งขัดสมาธิอยู่บนท้องนภา เห็นเปลวไฟลุกโชนจากร่างของฉู่เชิ่ง ดวงตาของเขาหรี่เล็กน้อยแล้วพึมพำกับตัวเอง “วิชาเพลิงสวรรค์ผลาญภพหรือ?”
เขาย่อมเคยได้ยินชื่อเคล็ดอัคคีนี้
“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นไพ่ตายสุดท้ายของฉู่เชิ่งสินะ”
ดวงตาของลู่หยวนทอประกายด้วยความปรารถนา หากช่วงชิงเคล็ดอัคคีนี้ได้ เขาจะสามารถใช้มันผสานเพื่อสร้างเพลิงวิญญาณสวรรค์ขึ้นมาได้
ทว่าฉู่เชิ่งยังมีประโยชน์ ยามนี้จึงจำเป็นต้องเก็บเขาไว้ก่อน
ลู่หยวนยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะสะกดความคิดไว้ในใจ พร้อมชมการต่อสู้ระหว่างทั้งสองต่อไป
ตอนนี้เปลวไฟของฉู่เชิ่งลุกโชน ความร้อนอบอวลไปทั่วความว่างเปล่า
เสื้อผ้าถูกแผดเผาทันที เขายืนอยู่ในอากาศพร้อมดาบคู่กาย เปลวไฟกระพือรอบข้าง ลวดลายรูปทรงอัคคีถูกประทับบนหน้าผาก ประหนึ่งบุตรแห่งเทพอัคคี
ฉู่เชิ่งใช้สายตาเหลือบมอง ยามนี้เขามีท่าทีสงบ แม้สายตากำลังจับจ้องมู่พ่านซาน แต่ภายในใจกลับคิดหาวิธีหลีกหนี
วิชาเพลิงสวรรค์ผลาญภพถูกใช้ออกมาแล้ว แม้พลังของเคล็ดนี้ไม่ธรรมดา แต่เขาทราบดีว่าการจะสังหารอีกฝ่ายไม่ต่างจากความฝันของคนโง่
การใช้เคล็ดอัคคีเพื่อหลบหนีจึงเป็นกลยุทธ์ดีที่สุด!
ฉู่เชิ่งกุมดาบแล้วใช้มืออีกข้างรูดตัวดาบ เมื่อสิ้นเสียง ‘พรึ่บ’ เปลวไฟก็ลุกโชนแผดเผาปราณวิญญาณรอบข้าง
มู่พ่านซานหรี่ตาซึ่งมีประกายแสงบางอย่างอยู่ภายใน
วิชาเพลิงสวรรค์ผลาญภพหายสาบสูญมาช้านาน คาดไม่ถึงว่ามันจะมาปรากฏที่ฉู่เชิ่งอีกครา!
หากเด็กคนนี้รอดไปได้ ในอีกหนึ่งร้อยปี เขาจะกลายเป็นจักรพรรดิเพลิงผู้สังหารเซียนอย่างแน่นอน!
บัดนี้มู่พ่านซานตั้งตนเป็นศัตรูกับฉู่เชิ่งอย่างจริงจัง หากปล่อยให้รอดชีวิตจนเติบใหญ่ อีกฝ่ายย่อมกลับมาแก้แค้นพร้อมบันดาลโทสะกับเขาสักวันหนึ่ง!
ยิ่งกว่านั้น เด็กคนนี้มีเคล็ดอัคคีอยู่ในร่าง เพลิงสวรรค์จะลุกโชนเมื่อไหร่ก็อยู่กับเวลา!
ต้องปลิดชีพคนผู้นี้ก่อนที่จะปลุกเพลิงดังกล่าวขึ้นมาได้!
เมื่อมู่พ่านซานตัดสินใจได้ กลิ่นอายของเขาลึกล้ำจนแรงกดดันอากาศรอบข้างกดทับลงมา หมู่เมฆทมิฬเคลื่อนตัวเหนือท้องนภา เจตจำนงกระบี่นับไม่ถ้วนกวาดผ่านทั่วฟ้าดิน
ทั่วความว่างเปล่าของดินแดนลับตกอยู่ในความเงียบขณะปราณกระบี่พาดผ่านไปมา
ปราณดังกล่าวก่อตัวนับไม่ถ้วนทั่วดินแดนลับ แล้วยึดครองความว่างเปล่าจนหมดสิ้น
สิ่งปลูกสร้างรอบข้างทั้งหลายบิดเบี้ยวและพังทลายภายใต้ปราณกระบี่ ก่อนจะกลายเป็นผงธุลีแล้วสลายไปในอากาศ
“อาณาเขตปราณกระบี่”
ฉู่เชิ่งสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่รอบข้าง พวกมันรุกคืบเข้ามาทีละน้อย ราวกับต้องการโอบล้อมเขาไว้กลางอากาศ
เขาตวัดดาบออกไป ทำให้เปลวไฟลุกโชนพร้อมเผาผลาญปราณกระบี่ที่เคลื่อนเข้ามาจนสิ้น
เหนือความว่างเปล่า ฉู่เชิ่งและมู่พ่านซานเผชิญหน้ากัน
ณ เบื้องล่าง
ทันทีที่ฮ่วนซิงไป๋กางอาณาเขตปราณกระบี่ เขารีบนำจักรพรรดินีเข้ามาแล้วเคลื่อนออกจากศูนย์กลางของปราณดังกล่าว
หลังประคองร่างจนมั่นคง จักรพรรดินีไอออกมาสองสามครา ยามเงยหน้าขึ้น สายตาของนางก็จับจ้องฉู่เชิ่งด้วยความหมองหม่น
“เพลิงสวรรค์”
จักรพรรดินีเอ่ยสองคำนี้อย่างเชื่องช้า “ฉู่เชิ่งผู้นี้น่าจะใช้ประโยชน์จากเศษเสี้ยวของมันในดินแดนเก้าวิหคเพลิงเพื่อเสริมกำลังโจมตี”
ฮ่วนซิงไป๋คิ้วขมวดเล็กน้อยกับคำพูดดังกล่าว แม้ตอนนี้ฉู่เชิ่งจะไม่มีร่องรอยของเพลิงสวรรค์ แต่เขาสามารถสัมผัสกลิ่นอายของมันซึ่งเป็นของราชวงศ์แห่งแดนมัชฌิมได้
“ไหนบอกว่าเพลิงสวรรค์เป็นเอกลักษณ์ของสายเลือดวิหคเพลิงประจำตระกูลราชวงศ์ไม่ใช่หรือ? ฉู่เชิ่งไม่ควรสืบทอดมันได้สิ!”
สายตาของจักรพรรดินีจับจ้องเปลวเพลิงรอบกายอีกฝ่าย แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เขาครอบครองวิชาเพลิงสวรรค์ผลาญภพ ทำให้สามารถสืบทอดได้บางส่วน”
จักรพรรดินีมองปราณกระบี่ทั่วร่างมู่พ่านซาน คิ้วของนางขมวดเล็กน้อย “เขาเตรียมทุ่มสุดกำลังแล้ว เกรงว่าวันนี้ฉู่เชิ่งอาจจะไม่รอด”
ฮ่วนซิงไป๋พยักหน้า เขามองออกว่าอีกฝ่ายตั้งใจปลิดชีพคู่ต่อสู้
แม้จะไม่ชอบหน้ามู่พ่านซาน แต่เทียบกันแล้ว เขารังเกียจฉู่เชิ่งยิ่งกว่า!
สองฝ่ายต่อสู้กัน ผู้ที่มีความสุขที่สุดย่อมเป็นผู้รับชม
พอคิดย้อนกลับไป ฮ่วนซิงไป๋นึกถึงลู่หยวนอีกครา
เขาไม่ทราบว่าตอนนี้บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่กำลังทำอะไร
บนท้องฟ้า
ร่างของมู่พ่านซานพลันวูบไหว กลิ่นอายรอบข้างระเบิดออกมาทำให้อากาศปั่นป่วน
ราวกับสายลมฉีกกระชากพื้นที่รอบข้าง ก่อนจะระดมปราณวิญญาณทั้งหมด ทำให้ปราณกระบี่ทั้งหลายไหลหลั่งเข้ามา จนก่อตัวขึ้นเป็นพายุพัดผ่านฟ้าดิน แล้วตรงเข้าบดขยี้ฉู่เชิ่ง
พายุรุนแรงจนสั่นสะเทือนทั่วหล้า
มู่พ่านซานกุมมือ ทำให้อากาศรอบข้างพลันเย็นเยือก ก่อนวิญญาณเหมันต์จะก่อตัวรอบมือของเขา
เพียงหนึ่งอึดใจ กระบี่น้ำแข็งเล่มหนึ่งก็ปรากฏ
มู่พ่านซานกุมมันไว้ในมือ ทำให้คลื่นอากาศกระจายออกรอบข้าง พร้อมกลิ่นอายเย็นเยือกปกคลุมทั่วหล้า
ไกลออกไป ฉู่เชิ่งย่อกายเล็กน้อยขณะเปลวไฟรอบข้างสั่นไหว คมดาบในมือส่องแสงสีแดง
อากาศเย็นที่เข้ามาถูกเปลวไฟรอบข้างของเขากลืนกินไป
เสียง ‘ฉ่า ๆๆ’ ยังคงดังรอบกายฉู่เชิ่ง
ทั้งสองต่างจับจ้องกัน โดยมีจิตสังหารปรากฏภายในดวงตา
ทันใดนั้น!!
ดวงตาของทั้งสองที่จ้องมองพร้อมกัน ชั่วพริบตา ร่างของพวกเขาพลันขยับ มือกุมอาวุธไว้มั่น แล้วฟาดฟันออกไปอย่างรุนแรง
ตูม
ร่างของทั้งสองทะยานเข้าหากันอย่างบ้าคลั่งขณะฟาดฟันใส่กัน
เสียงปะทะอย่างรุนแรงดังก้องทั่วฟ้าดิน แสงสว่างสีขาวเจิดจ้าทะยานขึ้นสู่ท้องนภา
ฟู่!
จากใจกลางการต่อสู้ของทั้งสอง ท้องฟ้าพลันแยกออก หลุมดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นจากรอยแยก พลังไร้ที่สิ้นสุดถูกมันกลืนกินเข้าไป
วิ้ง!
ทันใดนั้น ท่ามกลางแสงสว่างสีขาว กลิ่นอายของทั้งสองยิ่งแข็งแกร่ง
เสียงกระบี่และดาบกระทบกันดังก้อง หลุมดำขนาดใหญ่เริ่มสั่นไหว เพียงไม่กี่อึดใจ มันถูกพลังมหาศาลของพวกเขากดทับ
ในแสงสว่างสีขาว น้ำแข็งเย็นเยือกสอดประสานเข้ากับเปลวไฟซึ่งลุกโชน พวกมันเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด
ตูม!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว น้ำแข็งและเปลวไฟประหนึ่งสองมังกรเกี่ยวรัดกัน พวกมันทะยานขึ้นสู่ท้องนภาก่อนจะทะลวงสวรรค์ทั้งเก้า!
ตูม! ตูม! ตูม!
ขณะที่คนทั้งสองอยู่ตรงกลาง พลังคลุ้มคลั่งยังคงระเบิดทั่วสารทิศ พื้นดินใต้เท้ากระจัดกระจายแตกสลาย ก่อนทุกสรรพสิ่งจะตกอยู่ในความเงียบงัน
สีหน้าของฮ่วนซิงไป๋ผู้อยู่ไกลออกไปแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะทำการสังเวยจี้หยกพิทักษ์ชีพ
ยามจี้หยกปรากฏ ค่ายกลถูกกางตรงหน้าเขากับจักรพรรดินีทันที
ปราณกระบี่ซึ่งกระจายอยู่โดยรอบถูกปัดป้องอย่างสมบูรณ์ ไกลออกไป คลื่นอากาศขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้ามา
ตูม!
คลื่นอากาศกระแทกใส่ค่ายกล ทำให้ทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบนอกสูญสลาย
เปลวไฟห่อหุ้มด้วยปราณกระบี่ที่แผดเผาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่ายกลเกิดการสั่นไหวราวกับไม่อาจต้านพลังดังกล่าวได้
สีหน้าของฮ่วนซิงไป๋หนักอึ้งขณะพยายามควบคุมจี้หยกพิทักษ์ชีพอย่างสุดความสามารถ!
ต้องทราบก่อนว่าจี้ดังกล่าวสามารถต้านการโจมตีสุดกำลังของขั้นอมตยุทธ์ได้หนึ่งกระบวนท่า!
แต่ภายใต้การต่อสู้ระหว่างฉู่เชิ่งและมู่พ่านซาน มันกลับสั่นสะเทือนราวกับจะแตกสลาย!