ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 353 การคำนวณของหลี่เจียงหนาน
บทที่ 353 การคำนวณของหลี่เจียงหนาน
บทที่ 353 การคำนวณของหลี่เจียงหนาน
นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย ถึงอย่างไรในตอนแรกทุกคนก็คงคิดเหมือนกันหมด แต่ถ้าเกิดก้าวไปข้างหน้าเพื่อคว้าเส้นชีพจรจักรพรรดิขึ้นมา จะเป็นอย่างไร?!
หรือว่าเขาต้องการให้ทั่วทั้งแผ่นดินตกอยู่ใต้การควบคุมของตระกูลตัวเอง?!
หากลู่หยวนได้มันมาครอง แม้ภายนอกทุกคนจะทำตัวสุภาพหรือถึงขั้นให้ความเคารพ แต่ในที่ลับตา ตระกูลที่มีความบาดหมางกันเองมาช้านานจะยอมปล่อยวางเพื่อหันมาเล่นงานเขาเพียงผู้เดียว!
เมื่อชั่งผลดีผลเสีย การได้เส้นชีพจรจักรพรรดิมาครองย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดี!
“พ่อของเจ้ากับท่านบรรพชนทราบหรือยัง?”
ลู่เทียนเฟิ่งยังคงซักถาม
ถึงอย่างไร หากลู่หยวนล้มเหลวจนถูกตำหนิขึ้นมา เขาก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน ใครใช้ให้ตนติดตามอีกฝ่ายอยู่ตลอดเล่า
แม้เขาจะไม่กลัวลู่เทียนเหอ แต่เมื่อนึกถึงแส้ของบรรพชน…
ไอเย็นยะเยือกก่อตัวขึ้นที่แผ่นหลังของลู่เทียนเฟิ่ง เขาเคยถูกอีกฝ่ายเฆี่ยนตีตั้งแต่ยังเล็ก!
“ทราบแล้ว ข้าทราบว่าอาเฟิ่งกำลังคิดอะไรอยู่ หากสถานการณ์คับขันขึ้นมา เส้นชีพจรจักรพรรดินี้จะไม่ถูกส่งให้แก่ตระกูลลู่ แต่มอบให้กับหุ่นเชิดแทน!”
ลู่หยวนยกยิ้ม “อีกอย่าง ท่านพ่อกับท่านแม่ต่างก็กำลังมาที่นี่ พวกท่านน่าจะมาถึงในวันนี้!”
“พี่สะใภ้ก็มาที่นี่งั้นหรือ?”
ลู่เทียนเฟิ่งคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ตอนนี้เขารู้สึกมั่นใจขึ้นมากแล้ว
อู่หมิงเสวี่ยขึ้นชื่อว่าห่วงลูกเป็นที่หนึ่ง!
ต่อให้เรื่องราวในครั้งนี้จะล้มเหลวจนบรรพชนของตระกูลลู่กล่าวโทษเขา แต่นางย่อมช่วยไกล่เกลี่ยได้
พอมานึกดูแล้ว อู่หมิงเสวี่ยกับลู่เทียนเหอตกหลุมรักกัน แต่บรรพชนกลับคิดว่านางแข็งแกร่งเกินไป จนกลายเป็นไม่ชอบหน้ากันขึ้นมา
หลังจากอู่หมิงเสวี่ยทราบเรื่องเข้า นางก็หยิบดาบยาวแล้วสังหารสัตว์ประหลาดทั้งหมดภายในหนึ่งร้อยลี้ โดยมีกองบัญชาการตระกูลลู่เป็นศูนย์กลาง ซึ่งใช้เวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น!
ซากศพของพวกมันกองอยู่นอกตระกูลประหนึ่งขุนเขา พวกมันรายล้อมกายจนกลิ่นอายโลหิตคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ!
อู่หมิงเสวี่ยยังคงถือดาบยาวที่ผ่านการฟาดฟันขณะที่สาวเท้าเข้าหาบรรพชน ก่อนจะคารวะด้วยความเคารพพร้อมทั้งแย้มยิ้มออกมา นางไม่ทราบว่าอีกฝ่ายชอบสัตว์ประหลาดตุ๋นแบบไหน ทำให้ต้องเข่นฆ่าจนหมด ก่อนจะนำมามอบให้เพื่อใช้ในการบำรุงร่างกาย
แม้เหตุการณ์นี้จะไม่ใช่การคุกคามบรรพชนของตระกูลลู่ จนกระทั่งประมุขสำนักอักขระสวรรค์กับกลุ่มผู้อาวุโสถึงขั้นเตรียมพิธีวิวาห์แก่ทั้งสองคน มันก็ได้สร้างความประทับใจที่ไม่อาจลบเลือนให้กับทุกคนในตระกูลลู่
พี่สะใภ้ ท่านสุดยอดมาก!
หากมีนางให้การปกป้อง เขาก็รอดตายแน่นอน!
ลู่เทียนเฟิ่งเปี่ยมด้วยความมั่นใจ “หลานชายแสนดี ไม่จำเป็นต้องสุภาพยามต้องการความช่วยเหลือจากข้าก็ได้!”
ลู่หยวนเงยหน้ามองไปทางที่เส้นชีพจรจักรพรรดิแดนมัชฌิมอยู่ ซึ่งแสงสายรุ้งแทบจะปกคลุมทั่วท้องนภา “ใกล้ถึงเวลาแล้ว รออีกสักหน่อย ปล่อยให้คนที่รอไม่ไหวออกมามากกว่านี้!”
…
ยามนี้ทาสอารักขามาถึงตระกูลชิวในแดนมัชฌิม ก่อนจะปรากฏตรงหน้าชิวเสวียน ส่วนคนที่เหลือในตระกูลต่างยืนอยู่ทั้งสองฝั่งด้วยความเคารพ ไม่มีใครกล้าก้าวมาข้างหน้า
มีหินก้อนหนึ่งที่ไม่อาจยกออกไปได้อยู่ในใจของชิวเสวียน เขาจึงไม่กล้าถอยกลับไปง่าย ๆ เพราะเจ้าตัวเองก็ทราบเช่นกันว่าการมาถึงของทาสอารักขามีความหมายว่าอย่างไร!
ทาสอารักขาคือคนที่อยู่ข้างกายบรรพชน มีเพียงเขาที่สามารถสั่งการได้ แต่คนส่วนใหญ่ในตระกูลชิวยังไม่ทราบเรื่องนี้ พวกเขาเพียงรู้ว่าคนสวมหน้ากากสีดำมีตัวตนที่แตกต่างกัน แม้กระทั่งประมุขยังไม่กล้าทำให้ตัวตนเหล่านี้ขุ่นเคือง!
ชิวเสวียนลังเลสักพักขณะที่คิดหาข้ออ้างมากมาย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีข้อใดที่สมเหตุสมผล
ขณะที่ยังครุ่นคิดอยู่ ผู้นำทาสอารักขาพลันเอ่ยว่า “ชิวเฟิงจู้!”
นางตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าคนที่พวกเขาตะโกนเรียกจะเป็นตน
นางรีบก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว “ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ!”
“สถานการณ์ในแดนมัชฌิมยามนี้จวนตัวแล้ว มียอดฝีมือจำนวนมากจากตระกูลทั้งหลายกำลังรุกคืบเข้ามา ทางตระกูลจึงมีคำสั่งให้เจ้ายื้อการต่อสู้ครั้งนี้เอาไว้จนกว่าคนของพวกเราจะมาถึง!”
ชิวเฟิงจู้ตกตะลึงสักพัก จากนั้นเงยหน้าแล้วเอ่ยว่า “นายท่าน ต่อให้ข้าอยากทำมันก็เกินความสามารถ! พวกข้าส่วนใหญ่ยังอ่อนแอ หากตระกูลเหล่านั้นพยายามอย่างสุดกำลัง เกรงว่าจะไม่สามารถต้านทานไว้ได้เจ้าค่ะ!”
“ไยเจ้าต้องแตกตื่นด้วย?”
แม้น้ำเสียงของทาสอารักขาจะสงบนิ่ง แต่ก็เต็มไปด้วยความดูแคลนไร้ที่สิ้นสุด
“มีพวกข้าอยู่ที่นี่ทั้งคน ย่อมเป็นธรรมดาที่จะยื่นมือเข้าช่วยอยู่แล้ว เจ้าน่าจะทราบสถานการณ์ในตอนนี้ดีที่สุด ส่วนจะระดมกำลังอย่างไรก็ทำตามสมควร!”
หลังจากให้สัญญาเช่นนั้น ชิวเฟิงจู้ไม่เพียงแต่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเท่านั้น ยังมีสีหน้าจริงจังด้วย
ตัวตนของนางไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของตระกูลชิว!
“เจ้าคงไม่ขัดคำสั่งใช่หรือไม่?!”
ทาสอารักขาพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา
ชิวเฟิงจู้พลันเอ่ยขึ้น “ไม่แน่นอน ข้าเพียงแค่กลัวเท่านั้น เรื่องใหญ่โตเช่นนี้กลับให้ข้า…”
“เจ้าจะกลัวไปทำไม แค่ทำในสิ่งที่ต้องทำก็พอ ทางตระกูลหลักย่อมมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว หากมีอะไรผิดปกติขึ้นมา เดี๋ยวก็มีคนออกมาช่วยคลี่คลายให้เอง แค่ตั้งใจทำงานก็พอ!”
เมื่อสิ้นคำของทาสอารักขา อารมณ์ทั้งหลายพลันก่อตัวขึ้นในใจของชิวเฟิงจู้ก่อนจะหายไปในพริบตา
นางถอนหายใจ “น้อมรับคำสั่ง!”
เมื่อเงยหน้าอีกครั้ง สายตาของชิวเฟิงจู้ก็เปี่ยมด้วยอารมณ์
มีคนที่สามารถจับตาดูและควบคุมได้ทันเวลา หมายความว่านางไม่อาจกระทำการบุ่มบ่ามได้!
แต่มันเกิดอะไรขึ้นในวังจักรพรรดิแดนมัชฌิมกันแน่!
…
ภายในดินแดนลับอีกแห่ง เจียงเชียนชิวเฝ้ามองตระกูลชั้นสูงที่กำลังบุกเข้ามาด้วยสภาพจิตใจร้อนรนจนแทบทนไม่ไหว!
เขาหันไปมองหลี่เจียงหนานผู้กำลังจิบชาด้วยท่าทีสงบนิ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “พี่หลี่ ตระกูลชั้นสูงกว่าครึ่งก็ออกมาแล้ว เหตุใดพวกเรายังไม่เคลื่อนไหวอีก?”
“ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป เส้นชีพจรจักรพรรดิอาจตกอยู่ในมือของผู้อื่นก็ได้!”
“ไม่หรอก”
หลี่เจียงหนานวางถ้วยชาในมือแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ “บัดนี้มีกองกำลังนับร้อยในแดนมัชฌิมถูกกำราบ! แต่มีเพียงสี่คนเท่านั้นที่สามารถพิชิตเส้นชีพจรจักรพรรดิได้!”
เจียงเชียนชิวพลันสนใจขึ้นมา “พี่หลี่ ข้าอยากทราบรายละเอียดเสียหน่อย!”
“หนึ่งในนั้นก็คือลู่หยวน! เขามีสิทธิ์ที่จะพิชิตเส้นชีพจรจักรพรรดิมากที่สุด!”
สายตาของหลี่เจียงหนานมองตรงไปข้างหน้า “ถึงแม้ไม่มีหลักฐาน แต่ข้ารู้สึกว่าไม่ใช่ตระกูลชิวที่ทำให้เส้นชีพจรจักรพรรดิปรากฏขึ้น แต่เป็นฝีมือของลู่หยวนต่างหาก!”
“ฝีมือของลู่หยวนหรือ?!”
เจียงเชียนชิวขมวดคิ้ว “เป็นไปไม่ได้ ครั้งนี้เป็นพลังแห่งวิถีคุณธรรมที่กระตุ้นเส้นชีพจรจักรพรรดิ! ทั่วทั้งแผ่นดินนี้มีเพียงตระกูลชิวที่ครอบครองพลังอันแข็งแกร่งพอจะส่งผลกับมันได้!”
หลี่เจียงหนานทราบดีถึงความเคลือบแคลงสงสัยทั้งหลาย แต่เขาเพียงรู้สึกว่าลู่หยวนคือคนที่ควบคุมเรื่องทั้งหมดนี้!
เขาส่ายหน้าขณะสลัดความคิดเหล่านี้ทิ้งชั่วคราว แล้วเอ่ยว่า “ต่อให้ตระกูลชิวเป็นฝ่ายเริ่มหยิบเส้นชีพจรจักรพรรดิก่อน ลู่หยวนก็ยังเป็นคนที่มีแนวโน้มมากที่สุด!”
“แต่ถ้าข้าเป็นลู่หยวนก็คงออกมาสู้เพื่อมันแน่นอน ถึงอย่างไร การคุกคามของอีกฝ่ายย่อมส่งผลเสียมากกว่าดีต่อตระกูลลู่ ดังนั้น…ข้าจะเลือกส่งหุ่นเชิดไป!”