ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 11 แมงป่องพายุลม (1)
บทที่ 11 แมงป่องพายุลม (1)
“อ้าก !”
เสียงกรีดร้องดังก้องแทงทะลุท้องฟ้า
ไป๋อี่หงไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่าซูเฉินจะกล้าโจมตีเขา ทว่าเขาก็ไม่พูดอะไรออกมาเลย กลับกันในจังหวะที่นิ้วของไป๋อี่หงถูกหัก เขาก็ได้ฟาดพัดในมืออีกข้างไปทางซูเฉิน
ซูเฉินไม่ได้ตอบโต้ เขาเลือกที่จะเปิดใช้เกราะป้องกันหลาย ๆ ชั้นเพื่อป้องกันตัว
พัดด้ามจิ้วกระแทกเข้าใส่ชั้นเกราะพวกนั้นอย่างแรง ทำให้เกิดประกายแสงขึ้นจากแรงปะทะ
ในขณะที่ไป๋อี่หงกำลังจะเริ่มโจมตีอีกครั้ง ก็มีเสียงดังลงมาจากท้องฟ้า “หยุดมือซะ ! ไม่มีการอนุญาตให้ต่อสู้กันในสถาบันมังกรซ่อนเร้นโดยเด็ดขาด !”
ความเจ็บปวดจากนิ้ว ทำให้ไป๋อี่หงสูญเสียสติทั้งหมดไป แล้วเขาจะมาฉุกคิดใส่ใจกฎของสถาบันได้อย่างไร ? ไป๋อี่หงตะโกนขึ้น “เจ้ากล้าทำร้ายข้า ? ข้าจะฆ่าเจ้า !”
เกราะป้องกันของซูเฉินถูกทำลายทิ้งในทันที ไป๋อี่หงกวาดพัดของเขาออกไป มันสร้างม่านแสงสีรุ้งออกมาและกระแทกเข้าใส่ซูเฉิน
ซูเฉินไม่ไม่ได้ต่อต้าน เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้การโจมตีเข้าถึงตัว
“อวดดี !” เสียงก่อนหน้านี้ตะโกนขึ้นอีกครั้งด้วยความเกรี้ยวโกรธ
เสียงจากท้องฟ้าดังสนั่นดุจอสนีบาตคำราม
ม่านแสงที่สวยงามสั่นไปมาและระเบิดออกราวกับฟองสบู่ในทันที เหลือทิ้งไว้เพียงประกายแสงสีรุ้ง
แสงสีรุ้งจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่กลางอากาศ เปล่งประกายแวววาวชวนหลงใหล
ไป๋อี่หงกระอักเลือดออกมาขณะที่เขาถูกส่งกระเด็นไป
การเคลื่อนไหวของไป๋อี่หงถูกบังคับให้ผิดพลาด ผลลัพธ์ที่ได้คือพลังต้นกำเนิดของเขาตีกลับจนได้รับบาดเจ็บ
เสียงจากท้องฟ้าดังก้อง “หากข้าบอกให้เจ้าหยุดมือก็ต้องหยุดมือ เจ้ากล้าที่จะขัดคำสั่งของข้า เจ้ากำลังหาเรื่องตายงั้นหรือ ? สถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้ในสถาบัน เจ้ากล้าเพิกเฉยต่อคำสั่งของข้า ดังนั้นเจ้าจะถูกตัดคะแนนอุทิศ 20 แต้ม การโจมตีนี้เจ้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อนหักอีก 10 แต้มและรับโทษกักบริเวณ 1 วัน !”
“อะไรนะ ?” ไป๋อี่หงตะลึง เขาชี้ไปที่ซูเฉิน “แล้วมันล่ะ ? เหตุใดมันถึงไม่ถูกลงโทษ ?”
“ชายชราคนนี้ไม่เห็นว่ามันจะลงมือต่อเจ้าตรงไหน ทั้งหมดที่ข้าเห็นคือเจ้าที่ลงมือโจมตีใส่มัน เจ้าจะบอกว่าข้ากล่าวผิด ?”
“ไม่ได้ลงมือ !?” ไป๋อี่หงตะโกนด้วยความโกรธ “คนที่ลงมือก่อนคือมัน มันหักนิ้วข้า !”
“จากสิ่งที่ข้าเห็น เป็นเจ้าที่ลงมือต่อมันหลายครั้งโดยที่ไม่สนใจคำของข้า ส่วนนิ้วของเจ้า … แน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ได้ทำระหว่างที่สู้ ? เปล่าประโยชน์จริง ๆ”
ไป๋อี่หงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจและต้องการที่จะเถียงกลับ แต่ก็เกิดลมกระโชกแรงขึ้น จากนั้นก็มีมือที่มองไม่เห็นเอื้อมเข้ามาคว้าตัวเขาแล้วดึงขึ้นไปในอากาศ ส่งร่างไป๋อี่หงไปยังสถานกักบริเวณ
ซูเฉินหันหน้าไปแสดงความขอบคุณต่อเสียงจากท้องฟ้า “ขอบคุณผู้อาวุโสสำหรับการตัดสินสถานการณ์อย่างยุติธรรม”
เสียงจากท้องฟ้าตรงเข้าสู่หูของซูเฉิน “อืม คราวหน้าใจเย็น ๆ เอาไว้หน่อยล่ะ ข้าช่วยเจ้าก็เพื่อผลประโยชน์ของหานเยี่ยน แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น”
ซูเฉินยิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณ หากข้าได้ทำให้ท่านต้องยุ่งยากเกินไป ท่านสามารถหัก 10 แต้มจากคะแนนอุทิศของข้าได้ตามสมควร”
ตั้งแต่เริ่มแรกที่เขาตัดสินใจลงมือ ซูเฉินก็เตรียมใจที่จะเสียคะแนนอุทิศ 10 แต้มนั้นไว้แล้ว
ในระหว่างการเดินทางไปยังเทือกเขาสีเลือดทั้ง 3 ครั้งของซูเฉิน เขาได้เรียนรู้ถึงหลักการสำคัญบางอย่าง นั่นคือ ตราบเท่าที่เขาเต็มใจยอมรับบทลงโทษ การฝ่าฝืนกฎระเบียบบางอย่างก็ไม่ได้น่ากลัวมากนัก
เนื่องจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้ลงโทษเหล่าศิษย์ด้วยการหักคะแนนอุทิศ สิ่งที่เขาต้องทำจึงมีเพียงแค่รับมันคืนมากกว่าที่เสียไปก็พอ
“เหอะ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้าหรอก” อาจารย์ส่วนตัวไม่ได้หักคะแนนอุทิศของซูเฉินไป “เจ้าเด็กนั้นตามหลอกหลอนหานเยี่ยนทั้งวัน ข้ารำคาญมัน และยืมมือเจ้าเพื่อสอนบทเรียนให้มันก็เท่านั้น ฮิฮิฮิ”
ดูเหมือนว่าชายชราผู้นี้จะมองหาเหตุผลที่จะใช้จัดการเจ้าคนผู้นี้ที่มายุ่มย่าม เล่นหูเล่นตากับลูกศิษย์ของเขามาสักระยะหนึ่งแล้ว
ชายชราจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะแปลก ๆ
อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มนั้นเข้าใจดีว่าไม่มีสิ่งใดในสถาบันที่สามารถหลบหนีจากสายตาของบุคคลที่แข็งแกร่งดั่งเช่นชายชราผู้นี้ได้ เพราะยังไงซะพวกเขาก็มีพลังต้นกำเนิดจำนวนมาก และสามารถใช้ค่ายกลในสถาบันเพื่อคอยช่วยเหลือศิษย์ของพวกเขา
ซูเฉินกำลังจะจากไป ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นคนรับใช้ของไป๋อี่หงยังคงยืนแช่อยู่ตรงนั้น
ไป๋อี่หงถูกส่งไปยังสถานกักบริเวณ แต่ดูเหมือนว่าผู้รับใช้ที่ชั่วร้ายของเขาจะยังคงสบายดีอยู่
เมื่อซูเฉินนึกถึงตอนที่คนรับใช้ผู้นี้พยายามที่จะปลุกปั่นทุกอย่าง ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาในใจของเขา
คนรับใช้เห็นท่าไม่ดี เขาจึงพยายามหนีอย่างสุดกำลัง
ซูเฉินส่งเสียงเยาะเย้ย “ข้าบอกว่าเจ้าสามารถไปได้แล้ว ?”
เขาสะบัดแขนเสื้อ หนวดอากาศจำนวนมากปรากฏขึ้นและมัดคนรับใช้ผู้นั้นเอาไว้ จากนั้นซูเฉินลงมือออกไปแบบไม่ใส่ใจและจัดการอีกฝ่ายในทันที คนรับใช้ไม่ได้เป็นศิษย์ของสถาบันมังกรซ่อนเร้น ดังนั้นกฎของสถาบันจึงไม่มีผลกับฝั่งตรงข้าม
เขาพาคนรับใช้กลับไปที่หอพัก เมื่อกังเยียนเห็นซูเฉินพาคนกลับมาด้วยเขาก็ตกใจ “ชายคนนี้เป็นใคร ?”
“ไม่รู้และก็ไม่สำคัญ” ซูเฉินตอบอย่างสบาย ๆ “เอาขวดยาที่ข้าวางเอาไว้บนโต๊ะ ให้มันดื่ม”
“ยาเพิ่มความเหนียว ? มันล้มเหลวไม่ใช่เหรอ ?”
“นั่นคือเหตุผลที่ข้าต้องการให้มันดื่ม ข้าจะได้รู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหนกันแน่”
“เข้าใจแล้ว” กังเหยียนคว้าคอคนรับใช้ผู้นี้และลากเขาไปที่โต๊ะ
ยาเพิ่มความเหนียว เป็นยาที่มีไว้เพื่อทำให้ผิวของคนเราแข็งแรงขึ้น มันสามารถใช้เพื่อเสริมการฝึกทักษะปรับแต่งร่างกาย มันเป็นที่รู้จักกันในชื่อยามาตรฐานสำหรับนักปรุงยาระดับเริ่มต้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหากผู้ใดสามารถปรุงยาเพิ่มความเหนียวนี้ได้สำเร็จ ก็สามารถถือได้ว่าคนผู้นั้นเป็นนักปรุงยาอย่างเป็นทางการแล้ว
ซูเฉินได้เรียนรู้ทักษะการเล่นแร่แปรธาตุมาระยะหนึ่งแล้ว และเขาเองก็เรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ในด้านนี้ ด้วยการสนับสนุนของอารามนิรันดร์ เขาจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
แต่ถึงอย่างนั้นสูตรที่ซับซ้อนและวิธีการผสมที่ยุ่งยากของเจ้ายาเพิ่มความเหนียวนี้ก็ทำให้ซูเฉินหยุดชะงักไป
ในทวีปต้นกำเนิดนี้การจะปรุงยาขึ้นมาได้นั้น มันจำเป็นจะต้องทำมากกว่าการจับส่วนผสมทั้งหมดมาโยนเอาไว้ด้วยกัน มีเพียงยาระดับต่ำสุดเท่านั้นที่ปรุงในรูปแบบนี้
ยาคุณภาพสูงที่แท้จริงล้วนแล้วแต่มีวิธีการผสมที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และจำเป็นต้องใช้พลังต้นกำเนิดเพื่อกระตุ้นพลังของตัวยาและผสมผสานส่วนประกอบเข้าด้วยกัน ในระหว่างขั้นตอนการทำ พวกมันจะต้องได้รับการควบคุมอย่างรอบคอบ และกำหนดเวลาที่แม่นยำเพื่อให้ได้ยาที่สมบูรณ์
ยาเพิ่มความเหนียวต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกัน 3 วิธีเพื่อปรับสมดุลและผสมผสานส่วนประกอบเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม หากเกิดความคลาดเคลื่อนใด ๆ แม้เพียงเล็กน้อยมันก็จะส่งผลให้เกิดการล้มเหลวลงได้ และสิ่งที่ลำบากที่สุดคือมันยากที่จะระบุว่ามันเกิดความล้มเหลวที่ขั้นตอนไหน
หากมีใครสักคนยอมร่วมมือกับเขา บางทีเขาก็อาจจะเข้าใจในคุณสมบัติของตัวยาได้ดีขึ้น ซูเฉินอาจจะสามารถหาได้ว่า ณ จุดใดในระหว่างกระบวนการกันแน่ที่เขาทำพลาดไป
ในขณะที่ซูเฉินกำลังกังวลว่าเขาจะไปหาคนเช่นนี้ได้จากที่ไหน จู่ ๆ คนคนนั้นก็มาเคาะประตูหน้าถึงที่ด้วยตัวเอง
“มันดื่มยาทั้งหมดลงไปแล้ว” กังเหยียนเดินมาหาซูเฉินและแจ้งให้เขาทราบ “ตอนนี้มันกำลังกรีดร้องโหยหวนอยู่ในมุมนั้นและคร่ำครวญถึงบางอย่าง มันกล่าวว่ามันมาจากตระกูลฉางแห่งภูผาลมศักดิ์สิทธิ์ และเราจะต้องเสียใจในภายหลัง นายท่าน … ”
ซูเฉินหัวเราะเบา ๆ “ตระกูลฉาง ? ไม่ใช่ตระกูลไป๋ ? ทำไมเจ้ากลัวหรือ ?”
“ไม่” กังเยียนตอบอย่างมั่นใจ “ชีวิตของข้าเป็นของนายท่าน ข้าจะทำตามทุกอย่างที่ท่านสั่ง ข้าเพียงแค่เป็นกังวลเกี่ยวกับตัวท่าน ท้ายที่สุดแล้วตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถไปยั่วยุกันได้ง่าย ๆ ”
“ไม่สามารถไปยั่วยุได้ง่าย ๆ งั้นหรือ?” ซูเฉินพึมพำเบา ๆ
เขานึกถึงทัศนคติที่เจ้ากี้เจ้าการและท่าทางที่อวดดีของไป๋อี่หง
อย่างไรก็ตามผู้คนเช่นเขายังคงมีอีกมากมาย และเป็นตัวตนที่ธรรมดามากบนโลกนี้
สีหน้าของซูเฉินดูแย่ลงเล็กน้อย เขากล่าวขึ้นว่า “กังเหยียน ข้าจะไปหาอาจารย์ส่วนตัว”
ดวงตาของกังเหยียนทอประกายขึ้น “อาจารย์ส่วนตัว ? นี่เป็นวิธีที่ดี ! ด้วยการสนับสนุนจากอาจารย์ส่วนตัว แม้แต่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็ไม่สามารถมายุ่งวุ่นวายกับท่านได้ ใช่แล้ว นายท่าน ท่านต้องการอาจารย์ท่านไหนมาเป็นอาจารย์ส่วนตัวของท่านรึขอรับ ?”
ซูเฉินขมวดคิ้วเบา ๆ เหตุผลที่เขาต้องการอาจารย์ส่วนตัว ไม่ใช่เพราะเขาต้องการผู้สนับสนุน
แต่สุดท้ายเขาก็บอกกับกังเหยียนไป “อาจารย์ส่วนตัวที่ข้าต้องการมีนามว่า ฉือไคฮวง”