ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 213 ขึ้นมาพร้อมกันเลย!
วันถัดไป
งานเลี้ยงเหล่าเซียนเริ่มตามกำหนด
อาจกล่าวได้ว่ากลุ่มอำนาจระดับต่ำในซีฮวงมีอยู่จำนวนมากและเป็นงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ที่สุด โดยงานเลี้ยงเหล่าเซียนมีกำหนดเวลาไว้ที่หนึ่งเดือน และบางทีชะตาชีวิตอาจเปลี่ยนไปเพราะเข ข้าร่วมงานครั้งนี้
เมื่อสถานะเปลี่ยน ทุกสิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
งานเลี้ยงเหล่าเซียนเพิ่มวัตถุประสงค์อีกข้อหนึ่ง นั่นก็คืองานเลี้ยงหาคู่ครองในกลุ่มอำนาจระดับต่ำ กลุ่มอำนาจจำนวนไม่น้อยจะหาคู่ครองในงานเลี้ยงเหล่าเซียนด้วย ซึ่งสามารถเปลี่ย ยนเส้นทางเดินชีวิตของตนไปได้
กงเสวี่ยฮวาเคยกล่าวว่างานเลี้ยงเหล่าเซียนก็คืองานปาฐกถาเจ้าของนครที่มีขนาดเล็กกว่าและเรียบง่ายกว่า แต่ทว่า ขณะที่เจียงหลีมาถึงงาน ก็ยังคงตื่นตะลึงกับกลุ่มคนเล็กน้อย
ความตกตะลึงนี้ปรากฎขึ้นเพราะในที่สุดนางก็ได้สัมผัสถึงกลุ่มอำนาจระดับต่ำจำนวนมากของซีฮวง
งานเลี้ยงเหล่าเซียนทางตอนใต้ของซีฮวงจัดขึ้นที่เมืองหูเฉิง
เมืองหูเฉิงแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นมีชื่อเสียงที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ทั้งในเมืองและนอกเมืองมีทะเลสาบทั้งหมดนับร้อยแห่ง ทิวทัศน์ที่แตกต่างกัน และน้ำในทะเลสาบใสมาก สมแล้ วที่เรียกว่าหูเฉิง…เมืองแห่งทะเลสาบ
ทะเลสาบขนาดเล็กที่อยู่ในทะเลสาบร้อยแห่งนี้ ล้วนตั้งเวทีประลองขนาดใหญ่ไว้ เพื่อเป็นสถานที่สำหรับรองรับงานเลี้ยงเหล่าเซียน
คนที่ไม่ได้ขึ้นเวทีประลอง จึงทำได้เพียงยืนดูอที่ริมทะเลสาบ
แน่นอนว่าระยะห่างเพียงน้อยนิด จะไม่เป็นอุปสรรคของคนที่ฝึกฝน แต่กลับทำให้พวกเขาชมการต่อสู่บนเวทีชัดเจนมากขึ้น
หากโชคไม่ดี ก็ยังสามารถเหมาเรือชมใกล้ๆ ได้ เพียงแต่สิทธิพิเศษประเภทนี้ จะจำกัดเฉพาะกลุ่มอำนาจที่มีพลังอันแข็งแกร่ง เพราะพวกเขาไม่เสียดายที่จะแลกความสะดวกสบายด้วยหินวิญญาณ
“งานทางทิศใต้เตรียมเวทีประลองไว้ทั้งหมดยี่สิบแห่ง ซึ่งในจำนวนห้าแห่งจัดเตรียมไว้สำหรับแก้ไขความขัดแย้ง ที่เหลือสิบห้าแห่งใช้สำหรับสะสมคะแนน” มู่ชิงเหยียนอธิบาย
“ใครรวบรวมคะแนนหรือ” เจียงหลีเอ่ยถาม
มู่ชิงเหยียนตอบ “จะเชิญกลุ่มพลังอำนาจระดับกลางที่อยู่ในเขตปกครองนี้ ส่งตัวแทนมากำกับดูแล รักษาความสงบเรียบร้อยและรวบรวมคะแนน”
“ประมุขเซียน” จู่ๆ มู่ชิงเหยียนก็ลังเลขึ้นมา
เจียงหลีกวาดตามอง เอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “มีอะไรก็พูดมาเถิด”
“หลายปีมานี้ เพราะกลุ่มอำนาจจยาเซียนเราแข็งแกร่งขึ้น กลุ่มอำนาจในบริเวณใกล้เคียงนี้หลายกลุ่มท้าทายและลองเชิงอยู่หลายหน กลางดึกเมื่อคืน พวกเขาให้คนส่งหนังสือท้าประลองมา เพ พื่อนัดพวกเราขึ้นเวทีประลองฮว่าลี่ประลองในวันนี้”
เวทีประลองฮว่าลี่ ก็คือเวทีประลองห้าแห่งที่ใช้ชำระความแค้นส่วนตัว
เจียงหลีฟังจบ ยิ้มบางๆ “บอกพวกเขาไปว่าไม่ว่าง หากอยากท้าประลองกับจยาเซียน ก็ให้มาเวทีประลองชิงอวิ๋นโดยตรง”
เวทีประลองชิงอวิ๋นเป็นเวทีสำหรับสะสมคะแนน
มู่ชิงเหยียนผงะ พยักหน้าแล้วถอยหลังออกไป นำเรื่องนี้สั่งการลงไป
“ข้ารู้สึกว่าเจ้ามีแผนการอะไรในใจ” กงเสวี่ยฮวาฉวยโอกาสเขยิบเข้าใกล้ และยิ้มเล็กน้อยอย่างมีเลศนัย
เจียงหลีมองเขาครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้อธิบายใดๆ
“อีกชั่วครู่ ข้าจะไปตั้งรับ” ฉินเทียนอีเอ่ยขึ้นมาเอง
ผู้ที่รักษาความสงบเสงี่ยมมาตลอดคือมู่เหยี่ยนฉือ ก็ได้ก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง เพื่อแสดงท่าทีของตน อืม พอต่อสู้ ได้อยู่
แต่เจียงหลีกลับส่ายศีรษะปฏิเสธ “พวกเจ้าไม่ต้องไป”
“เจ้าวางแผนให้หลิงจงไปหรือ” ฉินเทียนอีถามอย่างไม่เข้าใจ
เจียงหลีกลับยิ้มบางๆ ไม่พูดจา รักษาความลับไว้อย่างดี
นางเตรียมการเช่นนี้ เพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งสับสน ทำได้แค่มองนางอย่างสงสัย รอให้นางพูดขึ้นเอง
ไม่นาน ศิษย์จากจยาเซียนที่ส่งไปยึดเวทีประลองก็กลับมา
เมื่อเห็นเจียงหลีและคนทั้งหลาย ก็คำนับหนึ่งที “ประมุขเซียน ท่านอาวุโสทุกท่าน บัดนี้ยึดเวทีประลองเรียบร้อยแล้ว”
“ดี พวกเราไปกันเถิด” เจียงหลีพยักหน้า แล้วเอ่ยกลับเจียงเฮ่า “พี่ใหญ่ ข้ากังวลว่าพวกเขาจะเล่นสกปรกและกลับคำ ข้าจะไปเสริมกำลังสักหน่อย”
“อืม” เจียงเฮ่าตอบกลับ แล้วหันกลับไปหามู่ชิงเหยียน
…
ภายในตัวเมืองหูเฉิงคึกครื้นกว่าปกติ ไม่เพียงแต่คนอยู่อาศัยที่นี่ ยังมีคนมากมายที่มามุงดูความคึกคัก เสียงดังอึกทึก ทุกที่ล้วนมีแต่ความวุ่นวาย
ยังดีที่พวกเจียงหลีไม่ต้องผ่านทางเมืองที่อึกทึกนั้น โดยภายใต้การนำทางของศิษย์จยาเซียน พวกเขามุ่งตรงไปยังเวทีประลองที่ยึดไว้ได้เลย
ฝ่ายผู้เฝ้าเวทีประลอง ผู้ท้าประลอง ผู้ตัดสินล้วนอยู่บนเวทีประลอง ดังนั้น บนเวทีประลอง จะมีที่นั่งสำหรับทั้งสามฝ่าย
เมื่อเจียงหลีมาถึง บนเวทีประลองหน้าทะเลสาบมีธงของ ‘จยาเซียน’ ปักอยู่ ซึ่งหมายความว่าเวทีประลองแห่งนี้ ถูกจยาเซียนยึดครองแล้ว คนที่เหลือที่จะขึ้นเวทีประลองแห่งนี้ มาเพื่อ ท้าประลอง
ดังนั้น หลังจากที่เจียงหลีขึ้นเวทีประลอง มองเห็นคนที่ตัดสินกลับตกตะลึง ส่วนฝ่ายตรงข้าม หลังจากได้เห็นเจียงหลีและคนอื่นๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน
“เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไหวปี้ พบกันอีกแล้ว…” ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายตกตะลึงนั้น กงเสวี่ยฮวาก็ทำลายความเงียบลง
เจียงหลีมุมปากเผยรอยยิ้มที่มีความหมายคลุมเครือออกมา นางคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้ตัดสินของเวทีประลองนี้ จะเป็นวังเวิ่นฉิง แล้วผู้ดำเนินรายการจะเป็นไหวปี้
สายตาของไหวปี้มองหยุดที่ตัวของเจียงหลีครู่หนึ่ง ฟังศิษย์สำนักเดียวกันที่อยู่ข้างๆ พูดไม่กี่ประโยค ก็เดินลงจากตำแหน่งผู้ตัดสิน แขนเสื้อสะบัดพลิ้ว ท่าทางสง่าผ่าเผยและมุ่งตรง งมาที่เจียงหลีกับพวกพ้อง
“บังเอิญเสียจริง” ไหวปี้เอ่ยกับเจียงหลี
ดวงตาที่เหมือนหยดน้ำทั้งสองข้างนั้นช่างคลุมเครือ จึงอธิบายอารมณ์ความรู้สึกได้ไม่ชัดเจนนัก
“อืม บังเอิญเหลือเกิน” เจียงหลีตอบกลับ
ไหวปี้เบนสายตา เหลือบมองธงที่พลิ้วไสวอยู่ครึ่งท้องฟ้า แล้วหัวเราะ คิกๆ “ที่แท้ เจ้าก็คือประมุขตัวจริงของจยาเซียนหรือเนี่ย ข้าควรจะเดาออกตั้งนานแล้ว”
“บัดนี้วังเวิ่นฉิงกับสำนักหลีหุนจงขัดแย้งกันอยู่ พวกเจ้ายังมีกะจิตกะใจมาเป็นผู้ตัดสินอยู่หรือ” เจียงหลีเอ่ยอย่างครุ่นคิด
ไหวปี้กลับยิ้มอย่างอ่อนโยน “แล้วจะเป็นอะไร สำนักหลีหุนจงก็ถูกเชิญมาเช่นกัน”
เจียงหลีขมวดคิ้ว
ศิษย์จยาเซียนที่เดินตามมา แอบดูอยู่ด้านหลัง พบว่าประมุขเซียนของพวกเขาสนิทสนมกับผู้ตัดสินถึงเพียงนี้ ในใจก็ลอบยินดี งานเลี้ยงเหล่าเซียนครั้งนี้ จยาเซียนจะต้องทำให้ทุกคนตกต ตะลึงเป็นแน่
“เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไหวปี้ พวกข้ายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าตั้งคน เหตุใดสายตาเจ้าจึงมองแต่เจียงหลีเล่า” กงเสวี่ยฮวาที่ไม่ยอมถูกเมินเฉย ก็ทักท้วงให้สนใจเขา
เจอคำถามพิเศษจากเขา ไหวปี้เก็บสายตาอันอ่อนโยน เอ่ยอย่างซื่อตรง “เพราะว่านางน่ามองกว่าพวกเจ้า!”
พรวด!
ฉินเทียนอีกลั้นหัวเราะไม่อยู่
แม้กระทั่งมู่ชิงเหยียนเองมุมปากก็ยกยิ้มเบาๆ
สีหน้าของกงเสวี่ยฮวาหม่นหมองลง มุมปากโค้งขึ้น “ข้า…”
เจียงหลีมุมปากยกขึ้น เดินไปที่แท่นผู้เฝ้าเวทีประลองก่อนใคร กงเสวี่ยฮวาและคนอื่นๆ ก็เดินตามกันมา มองแค่หางตาก็เห็นไหวปี้เดินตามมาด้วย เจียงหลีสั่งโดยไม่ได้หันหน้ากลับ “ “กลับแท่นผู้ตัดสินของเจ้าเถิด”
ไหวปี้ผงะ เก็บเท้าที่ก้าวเข้ามา ศิษย์ของจยาเซียนและศิษย์วังเวิ่นฉิงต่างตื่นตกใจ ส่งเสียง อืม แล้วหันหลังกลับไปยังแท่นผู้ตัดสินของตน
เพิ่งเข้ามานั่ง มู่ชิงเหยียนก็แสดงสีหน้าวิตกกังวลขึ้นมา เจียงเฮ่าอยู่ด้านหลังนาง แต่อยู่ด้านหลังถัดมาอีกสองคน และตามมาด้วยขบวนที่ยาวเหยียด โดยมีถึงหลายสิบคน
วันนี้เป็นวันแรกของงานเลี้ยงเหล่าเซียน เวทีประลองหลายแห่งยังไม่ได้เปิดให้ประลอง
เมื่อเห็นเวทีประลองจยาเซียนมีการแสดงที่น่าติดตาม จึงดึงดูดคนที่ริมทะเลสาบมาห้อมล้อมจำนวนมากอย่างรวดเร็ว คนที่กล้าใช้หินวิญญาณมือเติบ ก็เริ่มมองหาเรือกันแล้ว
“ประมุขเซียน พวกเขามากันครบแล้ว” มู่ชิงเหยียนสีหน้ายังไม่สู้ดี ดูจากท่าทาง ก่อนหน้านี้น่าจะรองรับอารมณ์ผู้อื่นมาไม่น้อย
เจียงหลีกวาดสายตาไปที่คนยี่สิบสามสิบคนนั่น เอ่ยในใจ ดูแล้ว การดำรงอยู่ของจยาเซียนขัดหูขัดตาคนจำนวนไม่น้อย
“เช่นนั้น…ก็มาพร้อมกันเลย” เจียงหลีเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม