ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 357 การรุกรานครั้งที่สอง
“ซื่อไป๋ ท่านคิดว่าข้าตาบอดหรืออย่างไร ถึงได้เชื่อคำพูดที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ของท่าน” ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคิดจะทำร้ายนาง แต่เพียงชั่วพริบตาจะแปรเปลี่ยนเป็นความรักได้อย่างไร เขาเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีหรืออย่างไร! โยวเฉียนยังไม่กล้าเขียนบทแบบนี้ “หรือว่าในสายตาของท่าน มนุษย์ ไม่ หญิงสาว…หากพบเจอกับความรักล้วนไร้สติสิ้นปัญญา? แม้แต่ตรรกะก็สามารถโยนทิ้งได้!”
“…” ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ
“กลอุบายเช่นนี้ยังใช้ออกมาได้ ท่านไม่มั่นใจในตัวเองมากถึงเพียงใดกัน หรือว่าท่านเองก็รู้ตัวว่าสู้อาจารย์ปู่ของข้าไม่ได้”
“เจ้าพูดเหลวไหล!” ซื่อไป๋พูดคัดค้านออกมา เขาจะสู้คนนั้นไม่ได้ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
“ช่างเถอะ ข้าไม่มีความสนใจการเล่นสนุกระหว่างผู้ชายอย่างพวกท่าน ท่านไม่ต้องมาเสียเวลาบนตัวข้า หากไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะอาจารย์ปู่ได้ ท่านสามารถเลือกที่จะยอมแพ้ได้ ท่านเป็นคนมีเหตุผลอยู่แล้ว” อวิ๋นเจี่ยววิเคราะห์อย่างจริงจัง
“…” มีเหตุผลที่ไหนกัน!
สีหน้าของซื่อไป๋ดำทะมึนลงทันที เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็นออกมา “เจ้าหลงใหลเขาถึงเพียงนี้ จำเป็นต้องเป็นเขาเท่านั้น?”
“ไม่ใช่…” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว พูดตามความจริง “ถึงแม้ข้าคบกับเยี่ยยวนเป็นเวลาไม่นาน ระหว่างนี้เขายังเข้าสู่ห้วงนิทราห่างกันไปหลายปี หากจะบอกว่ามีความรักที่หนักแน่นมากก็ไม่เชิง อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับคู่ครอง เขาเป็นเหมือนอาจารย์และ…เพื่อนกินของข้ามากกว่า?”
“…” เพื่อนกินคืออะไรกัน
“ชีวิตยาวนานเช่นนี้ อายุของข้ายังถูกสะกดเอาไว้ บนโลกนี้ไม่มีใครมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้เมื่อไม่มีใคร แต่เขาคือชายเพียงคนเดียวที่ทำให้ข้าหวั่นไหวในหลายปีนี้ ถึงแม้พวกท่านจะหน้าตาเหมือนกัน แต่คนละรูปแบบอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น…”
สีหน้าของนางเคร่งขรึมมากขึ้น ก่อนจะตบไหล่ของเขาแล้วพูดขึ้น “สรุปแล้ว ข้าเพียงไม่ชอบท่านเท่านั้นเอง!”
“…” สามารถด่าคนได้หรือไม่ สมกับเป็นพวกเดียวกับเยี่ยยวน น่าโมโหยิ่งนัก!
“ฮึ เจ้าช่างฉลาด!” ท่าทางของเขาขุ่นเคือง เก็บสายตาอ่อนโยนและรักใคร่ที่แสดงออกมากลับเข้าไป กลายเป็นท่าทางของเทพผู้สูงส่งเหมือนเคย “ช่างเถิด เมื่อเจ้าตาบอดรักใคร่เยี่ยยวน ข้าเองก็ไม่อยากจะเสียเวลา เพียงแต่…” เขาเผยสีหน้าร้ายกาจออกมาอีกครั้ง “มีสถานที่หนึ่ง ข้าคิดว่าเจ้าต้องอยากไปอย่างมาก”
พูดจบ ข้างตัวก็ส่องแสงสีขาวสว่างขึ้นอีกครั้ง นาทีถัดมาพวกนางก็มาถึงสถานที่คุ้นตาแห่งหนึ่ง บริเวณรอบด้านมืดสลัว พลังเย็นวาบหลั่งไหลเข้ามาจากทุกทิศทั่วทาง
พลังหยิน? ที่นี่คือยมโลก!
อวิ๋นเจี่ยวมองไปรอบด้าน ไม่ใช่ “ดินแดนทับซ้อนระหว่างยมโลกและดินแดนปีศาจ!” สถานที่ที่ซื่อไป๋ลักพานางไปก่อนหน้านี้ เพียงแต่อิ้งหลุนไม่อยู่แล้ว อีกทั้งค่ายกลชั่วคราวที่พวกนางใช้เพื่อผนึกดินแดนปีศาจก็ถูกเขาทำลายไป ดังนั้นนางถึงจำไม่ได้ตั้งแต่แรก
“ใช่แล้ว” ซื่อไป๋พยักหน้า ดวงตาของเขาหรี่ลงพร้อมกวาดมองไปรอบด้าน “บนค่ายกลผนึกดินแดนก่อนหน้านี้พบพลังลมปราณที่เหมือนกับของเจ้า ค่ายกลนั้นเป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่”
“…” อวิ๋นเจี่ยวไม่ตอบ แต่ภายในใจก่นด่าอีกฝ่ายหลายร้อยรอบแล้ว หากไม่ใช่เขา ค่ายกลนั้นคงไม่พังทลาย
ซื่อไป๋ยิ้มได้ใจมาก “ให้ข้าทายดูว่าเจ้าวางค่ายกลนี้เพื่ออะไรกัน ยับยั้งการรุกรานของดินแดนปีศาจ? หรือขัดขวางปีศาจในเซินยวน?”
“เกรงว่าจะเป็นทั้งสองข้อ?” ซื่อไป๋ราวกับไม่ต้องการคำตอบจากนาง เพียงแต่พูดเองตอบเองขึ้นมา “เสียดายค่ายกลของเจ้าถึงแม้จะมีความละเอียด แต่อ่อนแอเกินไป ข้าเพียงแค่สัมผัสมันก็พังทลายลงแล้ว แม้แต่ปีศาจที่แข็งแกร่งระดับหนึ่งในเซินยวนยังรั้งไม่อยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้า”
“…” ตอนที่อยู่ในทะเลดาวควรจะส่งตัวอักษรให้เขาอีกหลายชุด!
“ข้าตื่นขึ้นมาแล้ว คิดว่าไม่เพียงแต่เซินยวน แม้แต่ดินแดนปีศาจก็คงจะสัมผัสได้” ซื่อไป๋ยิ้มกว้างมากขึ้น มองนางด้วยสีหน้าสนุกสนาน ราวกับรอคอยสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนาง “เวลานี้ค่ายกลของเจ้าพังทลายลงแล้ว เจ้าลองทายดูว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น”
อวิ๋นเจี่ยวผงะ ก่อนจะหันขวับไปมองเขา!
เฮ้ย! คงจะไม่ใช่อย่างที่นางคิดหรอกนะ
“ข้าพาเจ้าไปดูเป็นอย่างไร” เขายิ้มตาหยี ไม่รอนางตอบรับก็พานางหายตัวไปยังสถานที่อีกแห่งแล้ว
สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่อ้างว้างยิ่งกว่ายมโลก บริเวณรอบด้านอบอวลไปด้วยพลังปีศาจ น่าจะเป็นพื้นที่ส่วนลึกของดินแดนปีศาจ อวิ๋นเจี่ยวยังไม่ทันครุ่นคิดอย่างละเอียด บริเวณไม่ไกลนักพลังปีศาจพุ่งทะยาน พลังกลุ่มนั้นดำสนิทราวกับผ้าม่านผืนใหญ่สีดำปกคลุมท้องฟ้าเอาไว้ อีกทั้งกำลังมุ่งหน้ามายังทิศทางของพวกนางอย่างรวดเร็ว
ข้างหูเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องแปลกประหลาดดังกึกก้อง ราวกับมีกองทัพนับพันกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
นี่คือ…กองทัพปีศาจ!
สีหน้าของอวิ๋นเจี่ยวแปรเปลี่ยนไปทันที ไฟโกรธเต็มอกผุดขึ้นมา นางหันไปถลึงตาใส่ซื่อไป๋ “ท่านคิดจะก่อสงครามสาม…ไม่ หกดินแดนหรือ”
ซื่อไป๋ผายมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มีอันใดไม่ได้ ปีศาจมีนิสัยโหดเหี้ยม เป็นแหล่งรวมอารมณ์ไม่ดีอย่าง อาฆาต และโลภบนโลก ปีศาจในเซินยวนยิ่งเป็นต้นตอแห่งความชั่วร้าย พวกเขาย่อมคิดจะรุกรานดินแดนทั้งหกอยู่ตลอดเวลา ข้าเป็นเทพปีศาจยิ่งต้องเป็นผู้นำ ก่อนหน้านี้ข้าถูกเยี่ยยวนเสกวิชาเวททำให้ข้าหลับใหล เวลานี้ข้าตื่นขึ้นมาแล้ว ย่อมต้องนำพาเผ่าปีศาจรุกรานดินแดนทั้งหก กลายเป็นผู้ปกครองโลกใบนี้!”
เขากวาดตาขึ้นลงมองนาง ก่อนจะพูดเสริมขึ้นอีกครั้ง “ยับยั้งเผ่าปีศาจไม่ได้ ไม่ใช่เพราะพวกข้าแข็งแกร่งเกินไป แต่เพราะพวกเจ้าอ่อนแอเกินไป! ทำได้เพียงยอมจำนนอยู่ภายใต้ดินแดนมืดเท่านั้น!
อวิ๋นเจี่ยวกระชับมือแน่น มองดูใบหน้ากวนของอีกฝ่าย มีความรู้สึกอยากจะข่วนหน้าอีกฝ่ายขึ้นมา นางสูดลมหายใจเข้า พยายามข่มความวู่วามภายในใจลง บังคับให้ตนเองสงบสติ ใจเย็น ใจเย็น! อาจารย์ปู่และอิ้งหลุนไม่อยู่ นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย
อิ้งหลุน?
นางนึกบางอย่างขึ้นได้ทันที เพียงชั่วเสี้ยววินาทีนางก็กระจ่างในบางอย่าง ภายในใจสงบลง กวาดตาขึ้นลงมองไปยังซื่อไป๋
“ไม่ใช่!” อวิ๋นเจี่ยวพูดกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านไม่ทำเช่นนี้!”
“อะไร” ซื่อไป๋ผงะ ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
“ท่านไม่ปล่อยให้เผ่าปีศาจรุกรานดินแดนทั้งหก” อิ้งหลุนเคยพูดเอาไว้ ถึงแม้นางจะยั่วยุคนที่ลงคำสาปให้อาจารย์ปู่เพียงใด ก็ไม่มีทางก่อให้เกิดสงครามดินแดนทั้งหก ถึงแม้ชาวสวนจะไม่ฉลาด แต่เขาไม่เคยโกหก เขาพูดเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของตนเอง
แต่กองทัพปีศาจตรงหน้าจู่โจมเข้ามาจริง หากไม่ใช่อิ้งหลุนเข้าใจผิด ก็คงจะมีปัญหาที่ซื่อไป๋
“หืม เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจเช่นนี้” ซื่อไป๋ถามกลับ
“ก่อนหน้านี้ท่านพูดเรื่องกฎเกณฑ์อยู่ตลอดไม่ใช่หรือ” ก่อนหน้านี้ที่เขารู้ว่านางมาจากดินแดนอื่น ความอาฆาตที่เผยออกมาไม่ใช่ของปลอม อีกทั้งการกระทำเช่นนี้ทำเพื่อกฎเกณฑ์อย่างเต็มที่ “ผู้ที่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์เช่นนี้ จะปล่อยให้เผ่าปีศาจรุกรานก่อความวุ่นวายในโลกที่ตนสร้างได้อย่างไร ท่านบอกว่าตนเองเป็นเทพปีศาจ ตื่นขึ้นมาเพื่อรุกรานดินแดนทั้งหก คำพูดนี้ไม่สอดคล้องกับการกระทำของท่านก่อนหน้านี้ ดังนั้นคำอธิบายเดียวก็คือ…ท่านไม่ใช่เทพปีศาจ!”
“…”
“ท่านไม่ได้พาข้ามาดูการรุกรานของเผ่าปีศาจ แต่ท่านมาเพื่อยับยั้งพวกมัน!” อวิ๋นเจี่ยวพูดอย่างมั่นใจ ก่อนจะมองไปยังใบหน้าที่คุ้นเคยของอีกฝ่าย “ท่านคือ…ราชาเทพ!”
“…”