ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 395 พักผ่อนในวัดร้าง
“นายท่านเผย นายท่านจาง ผมพบวัดแห่งหนึ่งทางนั้น เหมือนจะบังลมได้บ้าง พวกเราไปพักผ่อนตรงนั้นเถอะครับ!” ชายวัยกลางคนชี้ไปด้านหน้า
ทุกคนหันหน้าไปมอง พบว่าทิศทางของหมู่บ้านมีวัดร้างแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ เนื่องจากต้นหญ้าสูงเกินไป อีกทั้งวัดแห่งนั้นอยู่ด้านในสุด ทุกคนจึงไม่เห็นแต่แรก แต่จากระยะไกลสามารถเห็นได้ว่าวัดแห่งนั้นก่อขึ้นจากอิฐแดง แข็งแรงกว่าบ้านดินในหมู่บ้านอย่างมาก มันไม่ได้พังทลายลง ดังนั้นจึงเป็นอาคารที่สมบูรณ์แบบเพียงหนึ่งเดียวในหมู่บ้าน
นายท่านเผยและนายท่านจางหันหน้าไปมอง ผงะเล็กน้อย คิ้วของพวกเขาขมวด ไม่เห็นด้วยเล็กน้อย “แต่มันเป็นวัดร้าง ทั่วไปวัดร้างมีวิญญาณมาก เกรงว่า…”
“แต่ตอนนี้ไม่มีสถานที่อื่นให้พักผ่อนแล้ว” ชายวัยกลางคนพูดต่อ “ไปดูหน่อยเถอะครับ พวกเรามาครั้งนี้ก็เพื่อขับไล่ผีไม่ใช่เหรอครับ”
คนอื่นต่างพยักหน้า ภายในหมู่บ้านไม่มีบ้านเรือนให้พักผ่อนแล้ว อีกทั้งดูจากท้องฟ้าในเวลานี้ เหมือนฝนกำลังจะตก
นายท่านเผยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “ไปดูเถอะ”
ดังนั้น คนทั้งขบวนเดินมุ่งหน้าเข้าไปด้านในสุดของหมู่บ้าน ทันทีที่เข้าไป พบว่าวัดนี้มีขนาดกว้างใหญ่ ด้านในถึงแม้จะระเกะระกะ โต๊ะบูชาล้มระเนระนาด แม้แต่รูปปั้นด้านบนก็กลายเป็นเศษหิน แต่บังฝนบังลมได้ไม่ใช่ปัญหา
นายท่านเผยบอกให้ทุกคนพักผ่อนชั่วคราว เตรียมตัวให้ดี เมื่อฟ้ามืดให้เริ่มจับผีทันที ทุกคนตอบรับ ก่อนจะกระจายตัวออกไปเตรียมตัว สีหน้าของพวกเขาล้วนเคร่งเครียด
อันที่จริงพวกเขาเดินทางมาครั้งนี้ ถึงแม้เป้าหมายหลักจะเพื่อกำจัดวิญญาณของปีศาจงูตัวนั้น แต่สิ่งที่ต้องป้องกันคือเหล่าผีร้ายที่ถูกพื้นที่รวมพลังหยินดึงดูดมา หมู่บ้านแห่งนี้หันหลังให้แสงอาทิตย์ เป็นสถานที่ที่วิญญาณชอบรวมตัวกัน ดังนั้นเมื่อตกดึกย่อมต้องมีการปะทะเกิดขึ้น นายท่านเผยเรียกรวมคนมามากเพียงนี้ก็เพราะสาเหตุนี้
มีเพียงจัดการวิญญาณร้ายบริเวณนี้ พวกเขาถึงสามารถไปหาปีศาจงูที่ถูกผนึกอยู่ได้ มิฉะนั้นหากพวกเขาเปิดผนึกก่อน ถึงเวลาปีศาจงูและผีร้ายเหล่านั้นร่วมมือกันโจมตีเข้ามา พวกเขาคงไม่อาจรับมือได้
ในขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมความพร้อม อวิ๋นเจี่ยวพายายอวี้เดินวนอยู่รอบวัดร้าง พลางสำรวจพื้นที่พลางวางบางอย่าง จากนั้นเดินกลับไปถึงหน้าประตูวัด เธอหันไปพูดกับยายอวี้ “เอาธงค่ายกลธาตุดินมา”
“ได้!” ยายอวี้ลูบคลำกระเป๋าข้างตัวตามความเคยชิน สักพักเธอก็ผงะไป มองไปยังอวิ๋นเจี่ยวด้วยความฉงน “เจ้าหนู ธงอะไร” บนตัวเธอไม่มีสิ่งนี้
อวิ๋นเจี่ยวผงะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าพวกเธอไม่มีสิ่งนี้ มีเพียงยันต์ไม่กี่ใบเท่านั้น ดังนั้นจึงพูดขึ้น “เอายันต์มาสักใบ”
“อ่อ” ยายอวี้หยิบยันต์ออกมาใบหนึ่งวางอยู่บนมือเธอ อาจเป็นเพราะความบังเอิญ มันคือยันต์แผ่นดินไหวธาตุดิน
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้คิดมาก เธอติดยันต์ไว้บนกรอบประตู ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในโถงวัด
“อาจารย์อวิ๋น กลับมาแล้ว!” เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมา นายท่านเผยรีบเดินเข้ามา ยื่นขนมปังหลายชิ้นให้เธอกับยายอวี้ “มา รีบกินรองท้อง เดี๋ยวฟ้ามืดแล้ว คงจะยุ่งน่าดู!”
“ขอบคุณค่ะ” อวิ๋นเจี่ยวรับขนมปังมาพร้อมพยักหน้า
นายท่านเผยยิ้ม ก่อนจะนึกบางอย่างได้ เขาพูดขึ้นเสียงเบา “ที่นี่อันตรายอย่างมาก ถึงแม้จะเป็นเวลากลางวัน แต่อย่าได้เดินแยกจากทุกคน หากเจออันตรายจะแย่เอา”
อวิ๋นเจี่ยวผงะ ก่อนจะเข้าใจว่านายท่านเผยกำลังกำชับไม่ให้เธอเดินไปทั่ว เธอหันไปมองคนอื่นในวัด พบว่าสายตาที่มองเธอล้วนแสดงถึงความไม่พอใจเล็กน้อย ราวกับกำลังมองเด็กที่ไม่รู้กาลเทศะ
“…” เมื่อกี้เธอไปวางค่ายกล คนเหล่านี้ไม่ใช่คนมีฝีมือของลัทธิเต๋าเหรอ หรือว่าพวกเขาจับผีไม่เคยวางค่ายกล อวิ๋นเจี่ยวมีความสงสัยอยู่เต็มท้อง เธอรู้สึกได้ว่าวิชาเวทที่ตนเองเข้าใจแตกต่างจากพวกเขา แต่เธอก็ไม่ได้ถามให้มากความ เพียงแต่หาที่นั่งลงกินขนมปัง
นายท่านเผยโล่งใจ เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะอายุน้อยมุทะลุดูแลยาก
ฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว แทบจะเป็นเวลาเดียวกับอวิ๋นเจี่ยวกินขนมปังเสร็จ ด้านนอกก็มืดลงแล้ว กลางคืนในเขามีอุณหภูมิต่ำอยู่แล้ว อีกทั้งพลังหยินหนาแน่น ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในฤดูหนาวในทันใด อวิ๋นเจี่ยวหันหน้าไปมอง พบว่าท่ามกลางผืนป่าด้านหลังของหมู่บ้านมีพลังหยินหลั่งไหลออกมา อีกทั้งบริเวณใจกลางป่ามีพลังสีแดงพุ่งทะยานขึ้น
เธอรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้จะดูไม่ออกว่าสีแดงนั้นคืออะไร แต่ไม่ใช่สิ่งดีอย่างแน่นอน
“มาแล้ว!” มีคนตะโกนขึ้นมา ในมือของเขาถือเข็มทิศ เข็มด้านในสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง “อยู่ด้านนอก ดูเหมือนจะเป็นผีร้าย ทุกคนระวัง!”
ทันทีที่สิ้นเสียง ทุกคนต่างหยิบอาวุธพุ่งตัวออกจากวัดร้าง
“เดี๋ยว…” อวิ๋นเจี่ยวกำลังจะบอกว่าไม่ต้องออกไป กระตุ้นค่ายกลก็พอ แต่ทุกคนพุ่งตัวออกไปด้านนอกแล้ว เธอถอนหายใจออกมา ทำได้เพียงเดินตามออกไป
ทางนั้นปะทะกันขึ้นมาแล้ว เห็นเพียงผู้อาวุโสหลายคนผนึกสองมือ ท่องคาถาออกมาท่อนใหญ่ ด้านหน้าของพวกเธอคือผีร้ายที่เต็มไปด้วยพลังหยินกำลังคำรามพุ่งตรงมาหาทุกคน
“ถอยหลัง!” นายท่านเผยสั่งการอยู่ด้านข้าง พลางหยิบยันต์พลางให้ทุกคนหยิบเชือกวิเศษออกมามัดผีร้ายเอาไว้ นายท่านจางด้านข้างยกดาบไม้ท้อในมือขึ้นพุ่งตรงไปยังอีกฝ่าย
ผีร้ายถูกทิ่มเข้าจนร้องโหยหวนออกมาเสียงแหลม ทันใดนั้นคนที่ล้อมจับมันต่างรู้สึกปวดหัว เชือกในมือหย่อนลง ทำให้ผีร้ายนั้นหาช่องว่างหนีออกมาได้ ก่อนจะพุ่งตรงเข้ามาหานายท่านจาง
“ตาจาง!” นายท่านเผยตกใจ ยันต์ในมือโยนออกไปกระทบเข้าที่ใบหน้าของผีร้าย ยันต์นั้นลุกไหม้ขึ้นทันที ร่างของผีร้ายเซถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะเปล่งเสียงร้องโหยหวนอีกครั้ง
ทุกคนใช้เชือกมัดอีกฝ่ายเอาไว้อีกครั้ง แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียดและจริงจัง พวกเขาพยายามหดวงล้อมให้เล็กลงเพื่อจับผีร้ายเอาไว้
อวิ๋นเจี่ยวที่ยืนมองอยู่ด้านข้างทำหน้าฉงน คนพวกนี้…กำลังเล่นตลก? ผีร้ายเพียงตัวเดียวเท่านั้น คนมากขนาดนี้ต่อผีร้ายตัวหนึ่งก็แล้วไป อีกทั้งยังปะทะมาครึ่งวันแล้ว อย่าว่าแต่จับผีร้ายตัวนั้นเอาไว้เลย แม้แต่พลังหยินบนตัวของมันยังไม่สลายไปแม้แต่น้อย อาวุธวิเศษและยันต์วิเศษของพวกเขาเหมือนของเล่น
นี่คือ…ความสามารถของลัทธิเต๋า? อะไรกัน!
อวิ๋นเจี่ยวงุนงงอย่างมาก เธอยืนนิ่งอยู่สักพัก รู้สึกว่าวิชาเวทที่แท้จริงไม่ควรเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยไม่อ่อนขนาดนี้
“เจ้าหนู รีบหลบไป!” ผีร้ายนั้นคิดจะพุ่งออกจากวงล้อมอีกครั้ง เหมือนมันจะต้องการพุ่งมาทางอวิ๋นเจี่ยว ชายวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ที่สุดกำลังถือเชือกในมือตะโกนใส่เธออย่างหงุดหงิด ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “กลัวก็อย่ายืนเกะกะอยู่ตรงนี้!”