สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 200 อวี๋อยู่ที่นั้น (1)
“เรื่องนี้ข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า!”
หลังหยุดชะงัก ตงฟางไป๋เม้มริมฝีปากเอ่ยขึ้น
ฉีอิงอิง ได้ยินเพียงแลบลิ้น ก่อนเอ่ยอย่างซุกซน
“ไม่พูดก็ไม่เป็นไร ถึงท่านพูด ข้าก็ไม่ได้อยากรู้นักหรอก!”
“ฮึ เช่นนั้นก็ดี”
ตงฟางไป๋เอ่ยจบไม่หันหน้ามองฉีอิงอิงอีก ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าฉีอิงอิง ที่เคยยิ้มให้แก่เขา แววตาพลันปรากฎความเสียใจขึ้นมา
ไม่นาน เล่อเหยาเหยาก็พาเหลิ่งอวี้เซวียนมารวมตัวกับพวกตงฟางไป๋
เวลาเป็นช่วงบ่าย จึงถือว่ายังเร็วเกินไป ดังนั้นตงฟางไป๋จึงเสนอให้ลงจากเขาเพื่อไปเดินเล่นก่อน
สำหรับข้อเสนอของตงฟางไป๋ คนที่เห็นด้วยที่สุดคือเหลิ่งอวี้เซวียน!
เพราะเหลิ่งอวี้เซวียนคลอดในวังหลวงของต้าเซี่ย หลายปีมานี้อยู่แต่ภายในวังหลวง น้อยมากที่จะออกไปเดินเล่นบนถนน
ดังนั้นตอนนี้เมื่อได้ยินว่าจะไปเดินเล่นบนถนน บนใบหน้าของเหลิ่งอวี้เซวียนพลันยิ้มแย้มสดใสตื่นเต้นดุจบุปผา ท่าทางถูกใจนั้น ทำให้คนที่เห็นต่างอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
นั่งรถม้าจากหมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่งลงเขาต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม
ระหว่างเดินทางเล่อเหยาเหยาและฉีอิงอิง หยอกล้อเหลิ่งอวี้เซวียนในรถม้า เด็กน้อยก็คือเด็กน้อย พูดจาจึงมักไร้เดียงสา ดังนั้นจึงทำให้พวกเล่อเหยาเหยาต่างกุมหน้าท้องหัวเราะ
คิดไปแล้ว ทำให้อารมณ์ของตงฟางไป๋ดีขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้นระหว่างเดินทางทุกคนจึงต่างสนุกสนาน
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดทุกคนมาถึงถนนใหญ่ตรงเชิงเขา
แม้ที่นี่จะเทียบกับเมืองหลวงไม่ได้ แต่เศรษฐกิจยังคงรุ่งเรือง
แสงอาทิตย์ยามฤดูใบไม้ผลิมักสดใสงดงาม ท้องฟ้าสีครามเมฆขาวใส แสงแดดส่องทั่วพื้นปฐพี อบอุ่นยามสาดส่องลงบนกาย
สายสมพัดเอื่อย ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
สายลมและอากาศที่ดีเช่นนี้ เหล่าราษฎรจึงชื่นชอบออกมาเดินเล่นบนถนนมากที่สุด
ดังนั้นแม้จะเป็นยามบ่าย แต่เมื่อพวกเล่อเหยาเหยาเดินทางมาถึงถนนใหญ่ เห็นเพียงบนถนนใหญ่ผู้คนล้นหลาม หลั่งไหลจากทุกตรอกซอกซอย รถม้างามสง่า ขวักไขว่ไม่ขาดสาย
บนถนนใหญ่อันโกลาหลนั้น เรียงรายไปด้วยร้านค้า มีข้าวสาร วัตุดิบทำอาหาร และผลไม้ มีขายผ้าแพรไหม เครื่องประดับของโบราณ และเครื่องประทินโฉม มีครบทุกสิ่ง!
บนถนนใหญ่ยังมีการแสดงกายกรรมมากมาย ทั้งเชิดสิงโต สุนัขลอดห่วงไฟ หมุนจาน และพ่นไฟเป็นต้น
การแสดงอันยอดเยี่ยมนั้นทำให้คนที่มุงดูต่างเลือดเดือดพล่าน เสียงปรบมือและเสียงร้องตะโกนนั้นดังขึ้นมาไม่หยุด
เมื่อเดินบนถนนมองเห็นของเล่นหลากหลายแปลกใหม่และการแสดงกายกรรมอันยอดเยี่ยมงดงาม เหลิ่งอวี้เซวียนสนุกสนานอย่างยิ่ง ก่อนส่งเสียงหัวเราะ ‘ฮ่าๆ’ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนนั้นออกมา
ส่วนเล่อเหยาเหยากลับไร้ความสนใจต่อความสนุกรอบด้าน ใจพะวงอยู่กับร่างเล็กของเหลิ่งอวี้เซวียนตลอดเวลา ยังซื้อถังหูลู่แสนอร่อยและหน้ากากให้แก่เขา
กลับเป็นฉีอิงอิง ยังคงมีความเป็นเด็ก เห็นสิ่งใดต่างรู้สึกแปลกใหม่น่าสนใจ ดังนั้นระหว่างเดินทางเพียงเห็นเธอซื้อของไม่หยุด ราวอยู่ในศึกแห่งการจับจ่ายใช้สอย
สุดท้ายพวกเล่อเหยาเหยาเดินเล่นตลอดทั้งบ่าย เมื่อเหนื่อยไปทานอาหารในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง
เวลานี้เป็นช่วงเวลาทองในการทานอาหาร โชคดีที่พวกเล่อเหยาเหยามาถึงค่อนข้างเร็ว มิฉะนั้นหากช้ากว่านี้เพียงนิดเดียว เกรงว่ากระทั่งที่นั่งก็ไม่มี
เล่อเหยาเหยาไม่ทราบอาหารขึ้นชื่อของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ดังนั้นตงฟางไป๋จึงสั่งอาหารจานโปรดของเล่อเหยาเหยาและเหลิ่งอวี้เซวียนมากมายด้วยตนเอง
และยังมีพวกชาดอกไม้
เหลิ่งอวี้เซวียนชื่นชอบทานรสหวาน ตงฟางไป๋จึงสั่งของหวานหลังอาหารให้แก่เขาอย่างใส่ใจ
หลังสั่งอาหารกว่าสิบเมนู ตงฟางไป๋ให้เสี่ยวเอ้อร์ไปจัดเตรียม
ขณะรออาหารขึ้นโต๊ะ ฉีอิงอิง หยอกล้อกับเหลิ่งอวี้เซวียนไม่หยุด เล่อเหยาเหยากลับเหม่อลอย ใช้มือเท้าคางหันมองออกไปบนถนนใหญ่เส้นนี้ที่ผู้คนล้นหลามจากหน้าต่างชั้นสอง
โรงเตี๊ยมแห่งนี้เหนือใต้สวนทาง ผู้คนแน่นขนัด ดังนั้นหน้าประตูจึงมีเสียงคนพลุกพล่าน คึกคักยิ่งนัก
เห็นหลังคาไล่เลียงกัน ถนนใหญ่เชื่อมต่อกัน และเสียงเถ้าแก่พ่อค้าหาบเร่ร้องตะโกนไม่หยุด สะท้อนวิถีชีวิตของผู้คนออกมาอย่างเต็มที่
ใจของเล่อเหยาเหยาอดล่องลอยไปไกลไม่ได้
หากเธอไม่ไปปีนเขากับเพื่อนร่วมห้อง ก็คงไม่บังเอิญมาถึงที่นี่ และไม่ได้พบกับความรักชั่วชีวิตนี้ของเธอ และคงไม่ถูกทำให้เป็นแผลลึกและเจ็บปวดเช่นนี้
เธอตอนนี้อาจเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว จากนั้นออกไปเผชิญกับโลกการทำงาน ได้พบกับคนที่ตนรัก แต่งงานมีครอบครัวแล้วก็เป็นได้
แต่ชีวิตคนเราจะมีความเป็นไปได้มากมายเช่นนั้นอย่างไร!
การรักอวี๋ คือเรื่องที่เธอไม่คิดเสียใจในชีวิตนี้ เพียงสวรรค์เล่นตลก ทำให้เธอและอวี๋แยกจากกัน จากนี้ไม่มีทางได้พบกันอีก
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันเสียใจ ภาพด้านหน้าพร่าเลือน ดวงตาปกคลุมด้วยหมอก
เพื่อไม่ให้พวกตงฟางไป๋ข้างกายรับรู้ เล่อเหยาเหยาจึงปิดตาลงข่มความความคิดอันเจ็บปวดในใจตนไว้ หลังผ่านไปนานจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เวลานี้เธอกลับมาเป็นปกติ ภาพตรงหน้าจึงชัดเจนแจ่มแจ้ง
แต่ทันใดนั้น เล่อเหยาเหยากลับพลันรู้สึกถึงสายตาอันร้อนแรงกำลังจ้องมองมาที่ตน
จึงตกใจในใจ ก่อนเธอจะพลันหันกลับไปมองยังที่มาของสายตานั้น
เห็นเพียงท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น เล่อเหยาเหยาเหลือบเห็นชายชุดดำยืนนิ่งอยู่ในกลุ่มคน
เมื่อเห็นชายหนุ่มเพียงแวบเดียว เล่อเหยาเหยาพลันรู้สึกร่างกายถูกไฟดูดจนสั่นเทิ้ม
ใจเต้นระรัวทันที
จากนั้นหูของเธอคล้ายสูญเสียการได้ยิน เสียงผู้คนพลุกพล่านและเสียงร้องตะโกนของเถ้าแก่พ่อค้าที่มี เธอต่างไม่ได้ยิน
ฝูงชนพลุกพล่านนั้นก็พลันหายไปจากสายตาของเธอ โลกทั้งใบต่างเงียบสงบ และภายในสายตาของเธอเห็นเพียงเงาร่างสูงใหญ่แสนคุ้นเคยนั้น!
ไหล่กว้างเอวคอด สองขาเรียวยาว สวมชุดสีดำกระชับตัว เผยรูปร่างอันงดงามสมบูรณ์แบบของเขาออกมา
แม้บนศีรษะของคนผู้นั้นจะสวมหมวกคลุมหน้าสีดำปิดบังใบหน้าทั้งหมดของเขาไว้ แต่มองเพียงแวบเดียว เล่อเหยาเหยาก็รู้ว่าคนผู้นั้นคือเขา!
เพราะรูปร่างนี้เธอมองมานับครั้งไม่ถ้วน จึงสลักอยู่ในใจของเธอ
แม้เขาจะกลายเป็นเถ้าธุลี เพียงมองแวบเดียวเธอก็ดูออกว่าคือเขา!
อวี๋ เขาคืออวี๋!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาใจสั่นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นหลังได้สติ จึงจ้องมองท่ามกลางผู้คน ก่อนใช้วิชาตัวเบากระโดดออกจากหน้าต่างชั้นสองลงไปทันที
สำหรับการกระทำนี้ของเล่อเหยาเหยา ไม่เพียงราษฎรรอบด้าน กระทั่งพวกตงฟางไป๋ต่างตกใจ
การกระทำนี้ของเล่อเหยาเหยารวดเร็วอย่างยิ่ง ทำให้ตงฟางไป๋ที่ได้สติกลับมาคิดยับยั้งก็ไม่ทันการณ์ เพียงยืนขึ้นทันที ก่อนกำชับให้ฉีอิงอิง ดูแลเหลิ่งอวี้เซวียนให้ดี จากนั้นตนก็กระโดดลงจากชั้นสองติดตามไป
“เหยาเหยา เจ้าเป็นอันใดหรือ เหยาเหยา!”
ตงฟางไป๋ไม่สนใจเสียงเอะอะของผู้คนรอบด้าน เพียงเป็นห่วงเล่อเหยาเหยาในเวลานี้
หลังกระโดดลงมา ตงฟางไป๋รีบไล่ตามเล่อเหยาเหยา ยื่นมือใหญ่จับตัวเล่อเหยาเหยาที่พุ่งไปข้างหน้าไม่หยุด ก่อนเอ่ยถามอย่างกังวล
เมื่อแขนถูกตงฟางไป๋รัดไว้แน่น เล่อเหยาเหยาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนดิ้นให้หลุดจากการรัดของตงฟางไป๋
“พี่ใหญ่ ท่านรีบปล่อยมือ รีบปล่อยมือ!”
“เหยาเหยา เช่นนั้นเจ้าบอกข้าก่อน ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่!”
สำหรับการอ้อนวอนของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋กลับขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยถามอย่างกังวล
เล่อเหยาเหยาเห็นท่าทางหากไม่พูดจะไม่ปล่อยมือของตงฟางไป๋ จึงร้อนรนในใจและกลัวอวี๋จะหายไป ดังนั้นจึงพลันเอ่ยว่า
“พี่ใหญ่ อวี๋อยู่ที่นั้น เมื่อครู่ข้าเห็นอวี๋อยู่ตรงนั้น ดังนั้นท่านรีบปล่อยมือ ข้าจะไปตามหาเขา!”
“อะไรนะ!”
คำพูดของเล่อเหยาเหยา ทำให้คิ้วงามของตงฟางไป๋ขมวดขึ้นทันที ดวงตาดำขลับมองตามทิศที่นิ้วของเธอชี้ไป เห็นเพียงบนถนนใหญ่ที่ผู้คนพลุกพล่าน แต่กลับไม่เห็นคนที่เล่อเหยาเหยาเอ่ยออกมา
ตงฟางไป๋เห็นเช่นนั้น ดวงตาที่มองเล่อเหยาเหยาปิดบังความกังวลและสงสารไว้ไม่ปิด ส่วนแรงบนมือกลับไม่คลายลงแม้แต่น้อย
“เหยาเหยา เจ้าคงตาฝาด อวี๋ไม่อยู่แล้ว เจ้าอย่าทำเช่นนี้อีกได้หรือไม่ เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ข้าปวดใจยิ่งนัก”
“ไม่ พี่ใหญ่ ท่านรีบปล่อยมือ เมื่อครู่ที่ข้าพูดคือความจริง ข้าเห็นอวี๋จริงๆ แม้เขาจะสวมหมวกคลุมหน้าสีดำ แต่ข้ายังมองออกว่าคือเขา เขาไม่ได้ตาย เขามาแล้ว ท่านรีบปล่อยมือ มิฉะนั้นข้าจะไม่เกรงใจ”
เมื่อมองฝูงชนพลุกพล่านตรงหน้า เล่อเหยาเหยายิ่งร้อนรนในใจ
เพราะแม้เธอจะเห็นอวี๋ แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายอย่างหนัก คล้ายหากตอนนี้เธอไม่ตามหาเขา เขาจะหายไป
ดังนั้นเธอตอนนี้ต้องออกตามหาเขา ต้องออกตามหา!
พอคิดถึงตรงนี้ เมื่อเห็นตงฟางไป๋ไม่ปล่อยมือ เล่อเหยาเหยาจึงร้อนรน ดังนั้นจึงกัดบนมือใหญ่ของตงฟางไป๋ที่รัดบนข้อมือตน
ก่อนได้ยินเสียงร้อง ‘โอ๊ย’ อย่างเจ็บปวดของตงฟางไป๋ดังขึ้น แม้จะรู้สึกเสียใจ แต่ถือว่าเขาปล่อยมือแล้ว
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น รีบพุ่งตรงไปยังทิศทางที่เห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋เมื่อครู่ทันที
เวลานี้บนถนนใหญ่ผู้คนพลุกพล่าน เบียดเสียดแน่นขนัด รถม้าสัญจรหลั่งไหล ไปมาไม่ขาดสาย
เล่อเหยาเหยาเบียดเสียดอยู่กลางฝูงชน ดวงตาคู่งามเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นกังวล สอดส่ายสายตาหาคนที่ตนคิดถึงตลอดเวลามิเคยลืมเลือนไม่หยุด
แต่ทว่า…
ตามหาไม่พบ
ตามหาเช่นไรก็ไม่พบ
เพราะเขาหายไปแล้ว
เห็นรอบด้านผู้คนขวักไขว่ไปมา ชายหญิงจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน แต่กลับไร้เงาของคนที่เธอตามหา
“อวี๋ เหตุใดท่านจึงจากไป เหตุใดท่านจึงไม่รอข้า เมื่อครู่ข้าเห็นท่านแล้ว ข้าเห็นท่านจริงๆ”
เล่อเหยาเหยาตะลึงมึนงงอยู่ที่เดิมมองฝูงชนรอบด้าน ทว่าดวงตาคู่งามกลับว่างเปล่าดุจคล้ายเสียสติ
ตงฟางไป๋ที่ไล่ติดตามมาเห็นท่าทางเสียสติของเล่อเหยาเหยา เพียงถอนหายใจอย่างหนักออกมา
“เหยาเหยา เหตุใดเจ้าจึงลืมเขาไม่ได้!”
เจ้าทำเช่นนี้ ไม่รู้หรือว่าข้ากังวลมากเพียงใด!