หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 366-2 จิ่งอวิ๋นเฉลียวฉลาด สู้กับสวินหลัน
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 366-2 จิ่งอวิ๋นเฉลียวฉลาด สู้กับสวินหลัน
ตอนที่ 366-2 จิ่งอวิ๋นเฉลียวฉลาด สู้กับสวินหลัน
พวกเขาเดินทางมุ่งหน้าไปทางตะวันออก เข้าไปยังเหมืองบนภูเขาตรงจุดที่ทำค่ายพรางตาเอาไว้แล้วไปยังบ้านเล็กหลังนั้น องครักษ์ที่เฝ้าเวรยามอยู่พากันเอาสองมือไขว้ที่หน้าอก ฝ่ามือคว่ำลง เป็นการทำความเคารพชางจิว
สำหรับเด็กน้อยคนหนึ่ง จะนึกสนใจใคร่รู้ก็เป็นเรื่องธรรมดา จิ่งอวิ๋นมองประเมินคนกลุ่มนั้นด้วยความสนใจ เครื่องแต่งกายของพวกเขาดูประหลาดมาก รูปร่างหน้าตายิ่งดูประหลาดหนักขึ้นไปอีก บนหน้านั้นไม่รู้ว่าได้มาแต่กำเนิดหรือวาดแต่งมา ถึงได้มีลวดลายดำสลับขาวเช่นนั้น พวกเขาแต่ละคนล้วนสูงใหญ่กว่าบุรุษจงหยวนกันประมาณหนึ่ง สายตาก็ดูดุดันยิ่งนัก
“ถึงแล้ว ระวังบันได” ชางจิวเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี
จิ่งอวิ๋นดึงสายตากลับมา จูงมือหลิวเกอร์ที่ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวไว้แน่นขณะก้าวขึ้นบันได
ตั้งแต่สวินหลันเลือกที่จะให้ความร่วมมือกับชางจิว ชางจิวก็ปล่อยนางออกจากห้องศิลา เวลานี้นางมีห้องหับเป็นของตนเอง ถึงแม้จะไม่ต้องรับใช้ผู้อื่น แต่ก็ไม่มีผู้ใดคอยรับใช้นาง นางทายาให้ตัวเอง กำลังคิดจะไปทำอะไรกินที่ห้องครัว พอเปิดประตูออกมาก็เห็นเด็กสองคนที่อยู่ข้างกายชางจิว สายตานางพลันชะงักงัน!
หลิวเกอร์เบิกตาโตอย่างทั้งยินดีระคนตกใจ “ท่านแม่?”
ขนตาสวินหลันสั่นระริกเล็กน้อย
หลิวเกอร์ปล่อยมือจิ่งอวิ๋นออก แล้ววิ่งโผเข้าไปหาอ้อมกอดของสวินหลัน “ท่านแม่!”
สวินหลันแข็งเกร็งไปทั้งตัว!
สายตาเย็นยะเยือกของจิ่งอวิ๋นหยุดมองใบหน้าของสวินหลัน เด็กคนหนึ่งทำไมมีสายตาที่เรียบเย็นเพียงนี้ แต่สวินหลันรู้สึกว่าในชั่วขณะนั้นนางถูกอ่านจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
ชางจิวกระตุกริมฝีปากที่ไร้สีเลือดของตน “ในเมื่อพวกเจ้ารู้จักกัน เช่นนั้นเจ้าก็ดูแลพวกเขาไปก่อนแล้วกัน ไว้ข้าค่อยหาแม่นมที่เหมาะสมมาดูแลพวกเขาอีกที”
เช่นนี้ก็เท่ากับให้สวินหลันเป็นแม่นมแล้ว
นิ้วเรียวของสวินหลันลูบ กระชับกอดบุตรชายในอ้อมแขน นางปิดหูเขา สองตามองชางจิวราวกับมีไฟเผา “ข้าไม่ได้ให้เจ้าจับบุตรชายข้ามาด้วย!”
ชางจิวยิ้มเรียบๆ “เขาอยากมาเอง”
สวินหลันเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าห้ามทำร้ายเขา!”
ชางจิวยิ้มเยาะก่อนจะเดินออกไปโดยไม่แม้จะหันกลับมามอง
สวินหลันย่อตัวลง ลูบใบหน้าน้อยๆ ของบุตรชาย “เจ้าโง่หรือไรนี่ เหตุใดถึงอยากมา…”
หลิวเกอร์หน้าตาเหลอหลา
สวินหลันพยายามตั้งสติ ลุกขึ้นจับมือเขา “เข้ามาเถิด”
หลิวเกอร์ปล่อยมือนาง วิ่งเข้าไปจับมือจิ่งอวิ๋น “เจ้าก็เข้ามาด้วย!”
สวินหลันนิ่งมองจิ่งอวิ๋น จิ่งอวิ๋นก็มองนางอย่างไม่มีหลบเลี่ยง ทั้งๆ ที่แค่เป็นสายตาของเด็กแต่กลับคล้ายทะเลที่กว้างใหญ่ คล้ายผิวน้ำสงบนิ่งที่มีมหันตภัยอันแสนอันตรายซ่อนอยู่ภายใน สวินหลันเป็นฝ่ายเลื่อนสายตาออกไปก่อน หันหลังเดินเข้าห้อง จากนั้นหลิวเกอร์กับจิ่งอวิ๋นก็เข้ามาในห้องด้วย
สวินหลันปลอกส้มให้บุตรชาย หลิวเกอร์แบ่งส้มเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งให้ตนเอง อีกครึ่งหนึ่งให้จิ่งอวิ๋น สวินหลันมองมือน้อยๆ ของเขาที่ยื่นส่งให้จิ่งอวิ๋นแล้วชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
หลิวเกอร์กินส้มที่หวานฉ่ำจนน้ำลายแตกฟอง “ท่านแม่ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ท่านรู้จักคนผู้นั้นหรือ ข้าว่าเขาน่ากลัวมาก ข้าไม่ชอบเขาเลย! พวกเรากลับบ้านกันเถิด!”
สวินหลันนิ่งเงียบไม่ตอบ
“ท่านแม่ท่านพูดอะไรหน่อยสิ!” หลิวเกอร์แกว่งแขนนางไปมา
สวินหลันเอามือบุตรชายมาจับ หลุบตาลงเอ่ยเสียงต่ำว่า “เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว”
องครักษ์ที่อยู่ข้างนอกเริ่มวุ่นวายกันขึ้นมา ไม่รู้ว่ากำลังยกย้ายอะไรกันอยู่ ลูกน้องอีกคนหนึ่งของชางจิวที่ชื่อหร่วนซานกำลังใช้ภาษาประหลาดสั่งการพวกเขาอยู่
สายตาของสวินหลันหยุดมองเขา
จิ่งอวิ๋นที่กำลังกินส้มอยู่ จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “คงไม่ได้กลับบ้านแล้ว พวกเขาจะพาพวกเราไปเยี่ยหลัว”
สีหน้าสวินหลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางหันไปมองจิ่งอวิ๋น “เจ้าฟังที่พวกเขาพูดกันเข้าใจ?”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้า “ภาษาเยี่ยหลัว ท่านพ่อเคยสอนข้า”
สวินหลันจับจ้องจิ่งอวิ๋นตาไม่กะพริบ คล้ายกำลังไตร่ตรองว่าเขาพูดความจริงหรือโกหก “พวกเขายังพูดว่าอะไรอีก”
จิ่งอวิ๋นบอกว่า “พรุ่งนี้ออกเดินทาง ขึ้นเหนือ”
ขึ้นเหนือ… มือเรียวของสวินหลันพลันกำแน่น ทุกคนล้วนเข้าใจว่าชนเผ่าเยี่ยหลัวปักหลักอยู่ทางใต้ แต่ผู้ใดจะรู้เล่า พวกเขาอยู่ทางเหนือมาตลอดหรือนี่
“ยังมีอีก” จิ่งอวิ๋นพูดต่อว่า “พวกเขาบอกว่าแม่นมพรุ่งนี้ก็มาแล้ว สามารถจัดการเจ้าได้แล้ว”
หลิวเกอร์มองท่านแม่กับจิ่งอวิ๋นด้วยความงุนงง ฟังไม่เข้าใจสักนิดว่าทั้งสองกำลังคุยอะไรกัน!
สายตาของสวินหลันหยุดมองใบหน้าของจิ่งอวิ๋นเรียบๆ “เจ้าอย่าได้หลอกข้าเชียว”
จิ่งอวิ๋นกินส้ม “ไม่เชื่อก็แล้วไปเถิด”
สวินหลันค่อยๆ คลายมือที่กำอยู่ เอ่ยปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พวกเจ้ารอข้าอยู่ในห้อง อย่าออกไปเพ่นพ่านที่ไหนล่ะ”
“ท่านแม่ท่านจะไปไหน” หลิวเกอร์ถามอย่างไม่อยากให้นางไป
สวินหลันมองสายตาที่ใสซื่อและงุนงงของเขาแล้วเผยอปาก เอ่ยด้วยความเสียงอบอุ่นว่า “ไปสุขาน่ะ”
แน่นอนว่าสวินหลันไม่ได้ไปสุขาจริงๆ นางไปที่หน้าห้องนอนของชางจิวแล้วยกมือเคาะประตู
หร่วนซานเดินเข้ามา “สวินฮูหยิน เจ้ามีธุระอะไร”
สวินหลันเอ่ยเสียงเรียบว่า “ใต้เท้าชางอยู่หรือไม่”
หร่วนซานตอบ “ใต้เท้าออกไปแล้ว มีเรื่องอะไรท่านบอกกับข้าได้”
สวินหลัน “ข้าเพียงอยากถามว่า พวกเจ้าจะใช้จิ่งอวิ๋นไปแลกตัวกับมู่ชิวหยางเมื่อใด”
หร่วนซานตอบบ่ายเบี่ยงไปว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เจ้ากลับห้องเจ้าไปจะดีกว่า”
องครักษ์คนหนึ่งยกหีบผ่านพวกเขาสองคนไปวางขึ้นบนรถม้าคันหนึ่ง สายตาสวินหลันมองตามองครักษ์ผู้นั้นไป หร่วนซานเคลื่อนตัวเข้ามาบังสายตานาง “เจ้าดูแลเด็กสองคนนั้นให้ดี อย่าปล่อยให้พวกเขาหิวจนป่วยไปเสียล่ะ”
สวินหลันมองเขาทีหนึ่งแล้วหมุนตัวกลับห้องไป
…
ภายในห้องส่วนตัวของโรงเตี๊ยมที่ดูไม่สะดุดตาสักนิด ฟู่เสวี่ยเยียนกับบุรุษในเสื้อคลุมสีเทากำลังนั่งประจันหน้ากันอยู่ บุรุษผู้นั้นรินชาให้ฟู่เสวี่ยเยียนถ้วยหนึ่ง ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ได้ดื่ม แต่เอ่ยถามเข้าเรื่องทันทีว่า “เจ้ามาต้าเหลียงตั้งแต่เมื่อใด”
ชางจิวตอบว่า “เพิ่งมาไม่นาน”
ฟู่เสวี่ยเยียนถามต่อ “เหตุใดถึงต้องจับตัวเด็กสองคนนั้น”
ชางจิวเลื่อนสายตาของมองฟู่เสวี่ยเยียน คล้ายตกใจที่นางข่าวคราวว่องไวเพียงนี้ และเดามาถึงตัวเขาได้ในทันที เขายิ้มบางๆ ยกถ้วยชาขึ้นแกว่งเบาๆ “เจ้าเล่าเหตุใดเจ้าถึงต้องสังหารฉางเฟิงสื่อ”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบหน้าตาเฉยว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนทำ ตอนข้าไปเจอเขาที่ร้านพวงหรีดเขายังดีๆ อยู่เลย พอข้าไปซื้อของกลับมาอีกทีเขาก็ตายเสียแล้ว”
ชาวจิวทำท่าคล้ายไม่เชื่อ มองอีกฝ่ายด้วยสายตากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “นอกจากเจ้า ยังจะมีผู้ใดมีโอกาสสังหารเขาอีก”
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย “ผู้ใดสักคนในบ้านตระกูลจีที่ไม่ไว้ใจข้า?”
ชางจิวคล้ายไม่เชื่อเหตุผลของนาง จิบชาไปเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าใจอ่อนแล้ว เยียนเอ๋อร์”
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าไม่ได้ใจอ่อน ข้าเพียงรู้สึกว่าเวลานี้มีเรื่องกับตระกูลจีไปหาได้มีข้อดีอันใดไม่ ถึงอย่างไรของก็ยังไม่ได้อยู่ในมือ”
ชางจิวยกมุมปากอย่างชั่วร้าย ใช้น้ำเสียงชราภาพที่ไม่เหมาะสมกับอายุอย่างรุนแรงเอ่ยเรื่อยๆ ว่า “เจ้าเอาของของเจ้า ข้าเอาของของข้า ไม่ก้าวก่ายกัน”
พูดจบเขาก็นิ่งมองฟู่เสวี่ยเยียนทีหนึ่งแล้วลุกขึ้นจากไป
จนกระทั่งเขาเดินหายพ้นหัวถนนไปแล้ว ฟู่เสวี่ยเยียนถึงได้นวดขยับที่ปวดตุบๆ ซิ่วฉินรีบเข้ามาจับแขนนางไว้ “คุณหนู เจ้าอย่าได้มีโทสะเลย หากส่งผลเสียต่อร่างกายไปจะทำอย่างไร เวลานี้ร่างกายท่านไม่ใช่ของท่านเองคนเดียวแล้ว ท่านต้องคิดถึงบุตรในท้องด้วยนะเจ้าคะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆ กดข่มอารมณ์ที่ปะทุขึ้นลงไปแล้วพึมพำบอกว่า “เหตุใดถึงอยากได้ตัวพวกจิ่งอวิ๋นไป มีเรื่องอะไรกัน… ที่ข้าไม่รู้”
ซิ่วฉินเอ่ยเกลี้ยวกล่อม “คุณหนู ในเมื่อเป็นความต้องการของคนพวกนั้น ท่านก็อย่ายื่นมือเข้าไปยุ่งเลย”
ฟู่เสวี่ยเยียนงับข้อนิ้วตนแล้วผิวปากออกมา อินทรีย์ทองตัวอวบอ้วนบินลงมาจากท้องฟ้า กระพือปีกแล้วโผเข้ามาล้มลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นมากระพือปีก ยืดอกขึ้นอย่างห้าวหาญ รอรับคำสั่งจากฟู่เสวี่ยเยียน
ฟู่เสวี่ยเยียนตบแผงคอของมันแล้วทำสัญญาณมือ อินทรีย์ทองเข้าใจความหมาย กางปีกสีทองอร่ามของมันแล้วบินหายไปจากตรงนั้นทันที
สายตาของอินทรีย์ทองเป็นเลิศยิ่งนัก มันมองภาพยามราตรีได้ราวกับในเวลากลางวัน
ซิ่วฉินถึงกับไม่อยากเชื่อว่าคุณหนูของตนถึงขั้นใช้อินทรีย์ทองให้ออกตามหาเด็กของบ้านตระกูลจี คุณหนูไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ นางลืมไปแล้วจริงๆ หรือว่าตนมาทำอะไร…
…
ตกดึก ภายในเมืองภูเขาเงียบสงัด
ตั้งแต่คนเยี่ยหลัวเข้ามาอยู่ในเหมืองภูเขา ถึงแม้จะมีคนทำอาหารแต่รสชาติกลับไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย ถึงอย่างไรมือของพวกเขาก็มีไว้สังหารคน ไม่ได้มีไว้หั่นผักหั่นปลา
สวินหลันเสนอตัวรับผิดชอบมื้อเย็นของวันนี้ นางไปทำอาหารพื้นบ้านของต้าเหลียงมาเต็มโต๊ะ ฝีมือนางถึงไม้จะไม่นับว่าเป็นเลิศ แต่หากเทียบกับองครักษ์ที่รับหน้าที่เป็นพ่อครัวแล้ว ก็นับว่าประเสริฐกว่ามากนัก กระดูกหมูผัดเปรี้ยวหวานกับปลาน้ำแดงแทบจะถูกแย่งไปจนหมดทันทีที่ยกออกมา กุยช่ายผัดไข่ผัดอยู่สามสี่รอบ คนเยี่ยหลัวไม่กินรสเผ็ด แต่ชอบยี่หร่า นางจึงย่างกระต่ายให้อีกตัวหนึ่ง พวกเขากินกันอย่างเอร็ดอร่อยเคล้าไปกับสุราชามโต ไม่นานก็เมาแอ๋กันอยู่ที่พื้น
ด้วยความคอแข็งของพวกเขา แค่เหล้าไม่กี่ไหไม่มีทางทำพวกเขาเมาแอ๋ได้ขนาดนี้ แต่หากในอาหารใส่สมุนไพรเหมิงฮั่นที่มีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอยู่ด้วยเล่า
“เจ้าแน่ใจหรือว่านี่คือสมุนไพรเหมิงฮั่น”
“ข้าไปเจอในกระเป๋าเก็บยา ไม่มีทางผิดแน่”
“เจ้ายังรู้จักสมุนไพรด้วย?”
“ท่านแม่กับท่านตาข้าเป็นหมอกันทั้งคู่!”
สวินหลันมองประตูใหญ่ของเรือนด้วยความระมัดระวัง ยังไม่เห็นวี่แววว่าชางจิวจะกลับมา จึงรีบเดินเข้าไปในห้อง
เวลานี้ดึกมากแล้ว เด็กทั้งสองนอนหลับกันไปแล้ว
สวินหลันเขย่าเบาๆ ให้หลิวเกอร์ตื่น หลิวเกอร์ลืมตาขึ้นมาด้วยความงัวเงีย “ท่านแม่ มีอะไรหรือ”
“ชู่…” สวินหลันทำท่าบอกให้เงียบ ย่อตัวลงไปใส่รองเท้าให้เขาแล้วจูงเขาเดินออกไปข้างนอก
หลิวเกอร์กระซิบถามเสียงเบาว่า “พวกเราจะไปที่ใดกันหรือ”
สวินหลินบอกว่า “กลับบ้าน แม่จะพาเจ้ากลับไป”
“จิ่งอวิ๋นเล่า?” หลิวเกอร์ถาม
สวินหลันคิดอยากจะบอกว่า “จะสนใจไปไย คนที่พวกเขาต้องการคือจิ่งอวิ๋น หากเขารู้ว่าจิ่งอวิ๋นไม่อยู่ ต้องได้ส่งคนมาตามหาเขาแน่” แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาที่ใสซื่อของเด็กน้อย นางก็หลุบตาลงด้วยความเสียใจ “แม่จะไปส่งเจ้ากลับก่อน แล้วค่อยมารับตัวเขา”
หลิวเกอร์ส่ายหน้า “ไม่ได้ ข้าจะให้จิ่งอวิ๋นไปด้วย”
สวินหลันเริ่มร้อนใจ กดเสียงต่ำลงตะคอกว่า “เจ้าเด็กนี่ เหตุใดจึงดื้อด้านเพียงนี้!”
หลิวเกอร์นั่งลงบนเก้าอี้อย่างเอาแต่ใจ ยกสองแขนน้อยๆ ขึ้นกอดอก “จิ่งอวิ๋นไม่ไปข้าก็ไม่ไป!”
สวินหลันโมโหจนอยากฟาดเขาให้สักที!
หลิวเกอร์ “หึ!”
สวินหลันกำหมัดแน่น ในที่สุดก็พ่ายแพ้ ต้องปลุกจิ่งอวิ๋นให้ตื่นด้วย
ผู้ใหญ่กับเด็กทั้งสองกลั้นใจเดินออกจากบ้านก่อนจะหายไปท่ามกลางความืดมิดอันไร้ขอบเขต