หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 101 มาคนหนึ่งก็จัดการคนหนึ่ง
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 101 มาคนหนึ่งก็จัดการคนหนึ่ง
ตอนที่ 101 มาคนหนึ่งก็จัดการคนหนึ่ง
กลุ่มของพวกจีหมิงซิวตามมาพบทุ่งข้าวโพดในตอนที่อวิ๋นซู่ขับรถม้าจากไปแล้ว เริ่มแรกพวกเขายังได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังเลือนรางอยู่ แต่ต่อมาก็ไม่รู้ว่ารถม้าแล่นไปที่ใดแล้ว ไม่มีเสียงสักนิดอีกต่อไป
ทว่าไม่นานทุกคนก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องไห้แงๆ พวกเขาเดินตามเสียงร้องไห้นี้มาจนพบทางเส้นน้อยเส้นหนึ่งกลางทุ่งข้าวโพด หลิวเกอร์เหมือนถุงน้ำตาที่ตื่นตกใจถุงหนึ่ง มือน้อยปาดน้ำตาป้อยๆ ร้องไห้จนหายใจไม่ทัน
จิ่งอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างปลอบเขาเสียงเบา “พอแล้ว เลิกร้องไห้ได้แล้ว พวกเราต้องตามหาท่านแม่ของข้ากับวั่งซูพบแน่”
หลิวเกอร์ยังคงร้องไห้โฮ จิ่งอวิ๋นหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำมูกกับเช็ดน้ำตาให้เขา
ทุกคนที่เห็นภาพนี้มุมปากกระตุกอย่างห้ามไม่ได้
หลิวเกอร์เจ้าเป็นท่านอานะ เป็นท่านอาขี้ขลาดเช่นนี้จะดีหรือ…
จิ่งอวิ๋นเห็นแสงไฟอยู่ไม่ไกลก็หันไปมอง มองปราดแรกก็เห็นท่านพ่อของตนเอง ดวงตาไร้เดียงสาของเขาเบิกโตในพริบตา “ท่านพ่อ!”
จีหมิงซิวตกตะลึง รีบก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ปกติแล้วหลิวเกอร์กลัวจีหมิงซิวเป็นที่สุด แต่ตอนนี้เขากลับเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าไปซุกในอ้อมแขนอีกฝ่าย มือน้อยกอดคอเขาไว้แล้วร้องไห้โฮเสียงดังลั่น!
จีหมิงซิวทำหน้าดุมองเขา หลิวเกอร์เสียใจแทบวางวาย เขาสบสายตาเคร่งขรึมเด็ดขาดของพี่ใหญ่ แล้วรู้สึกอยุติธรรมมากกว่าเดิม “ข้า…ข้ากลัวจะแย่อยู่แล้ว…ท่าน…ท่าน…ท่านยังจะดุข้าอีก…”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยล้อเขา “ขี้กลัวถึงเพียงนี้เชียว จิ่งอวิ๋นยังไม่ร้องไห้ เจ้าเป็นท่านอาแท้ๆ อายหรือไม่”
หลิวเกอร์ยิ่งร้องไห้เสียใจมากกว่าเดิม
ไห่สือซานถลึงตาใส่เยี่ยนเฟยเจวี๋ย มีผู้ใดพูดจากับเด็กน้อยเช่นนี้บ้าง รอบตัวมืดสนิท ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยสักคน เด็กน้อยไม่กลัวได้หรือ
“แต่จะว่าไปแล้ว พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน” ไห่สือซานถามสีหน้าฉงน
เฉียวเจิงลูบศีรษะน้อยของจิ่งอวิ๋น “จริงด้วย จิ่งอวิ๋น พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน มารดาของเจ้าเล่า วั่งซูเล่า”
จิ่งอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ ตอนที่พวกเราตื่นขึ้นมา รถม้าก็จอดอยู่ตรงนั้น แล้วท่านแม่กับน้องสาวก็หายไปด้วย”
“รถม้าหรือ” เฉียวเจิงงุนงง เขาสบสายตากับคนที่เหลือแล้วถามสีหน้าตกตะลึง “พวกเจ้านั่งรถม้าเข้ามาหรือ”
จิ่งอวิ๋นนึก “น่าจะ…ใช่น่ะขอรับ…”
เขาจำไม่ได้ว่ามาได้อย่างไร สรุปก็คือพอลืมตาขึ้นมาก็นอนอยู่บนรถม้ากับหลิวเกอร์แล้ว
จิ่งอวิ๋นหันไปมองเฉียวเจิง ดวงตาฉายแวววิตกเบาบางอย่างที่ยากจะสังเกต “ท่านแม่กับน้องสาวเล่า ท่านตา”
รัตติกาลมืดเหลือเกิน เฉียวเจิงจึงมองไม่เห็นความวิตกในดวงตาของเขา ในใจของเฉียวเจิงเองก็งงงวยเช่นกัน หัวผักกาดน้อยของเขาเล่า วั่งซูเล่า ไปที่ใดแล้ว
เขาตบหัวไหล่จิ่งอวิ๋นเบาๆ “ท่านตาเองก็ไม่รู้ อีกเดี๋ยวท่านตาจะออกตามหา จะต้องตามหาพวกนางกลับมาได้แน่”
“ขอรับ” จิ่งอวิ๋นหลุบตาลง
จีหมิงซิวมองบุตรชายแล้วบอกว่า “มารดาของเจ้าไม่มีวันทิ้งเจ้าหรอก”
จิ่งอวิ๋นแววตาวูบไหว เขากะพริบตาปริบๆ หันไปมองท่านพ่อของตนเอง
จีหมิงซิวลูบศีรษะของเขา “นางไม่มีวันทำ”
จิ่งอวิ๋นจับมือของบิดา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพึมพำเบาๆ “นี่มันสถานการณ์อะไรกัน เหตุใดพวกจิ่งอวิ๋นจึงมาอยู่ที่นี่ได้ คงไม่ใช่ว่า…”
พูดมาได้ครึ่งหนึ่ง ในใจเขาก็บังอาจเกิดข้อสันนิษฐานอย่างหนึ่ง คงไม่ใช่ว่ารถม้าที่อวิ๋นซู่ขับมานั่นเป็นรถม้าของพวกจิ่งอวิ๋นใช่หรือไม่ อวิ๋นซู่เจ้าหัวขโมยเฒ่าคนนั้นลักพาตัวเฉียวเวยกับเด็กๆ มาเป็นตัวประกันเช่นนั้นหรือ!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดาออก คนที่เหลือย่อมพอเดาออกเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรคนที่นั่งรถม้าเข้ามาในพระราชวังใต้ดินก่อนหน้าพวกเขาก็มีเพียงอวิ๋นซู่คนเดียวเท่านั้น
ระหว่างที่อวิ๋นซู่หลบหนีการไล่ล่าของจีหมิงซิวกับองครักษ์เกราะทมิฬ เขาก็พากงซุนฉางหลีไปด้วยตลอด ทุกคนคิดว่าคนที่อยู่ในรถม้าคือกงซุนฉางหลี ใครจะไปคิดว่ากลับเป็นเฉียวเวยกับพวกเด็กๆ ต่างหาก
“เจ้าเห็นท่านอาคนหนึ่งหรือไม่” จีหมิงซิวถาม
จิ่งอวิ๋นส่ายหน้า
จีหมิงซิวจึงเอ่ยต่อว่า “ไม่มี หรือว่าเจ้าหลับอยู่จึงไม่เห็น”
จิ่งอวิ๋นตอบว่า “หลับอยู่จึงไม่เห็นขอรับ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคาดเดา “อวิ๋นซู่พากงซุนฉางหลีหนีไปแล้วหรือเปล่า เพื่อข่มขู่พวกเราจึงจับตัววั่งซูกับแม่หนูเฉียวไปด้วย”
อวิ๋นซู่เจ้าคนวิปริตนั่น แม้แต่กำลังภายในของอวิ๋นจูยังกล้าสูบเอาไป หากเฉียวเวยกับวั่งซูตกอยู่ในมือเขาจริง ถ้าเช่นนั้นยังจะพบเจออะไรดีๆ อีกหรือ
สภาพร่างกายของเฉียวเวยในตอนนี้ก็คือเม็ดโลหิตเดินได้เม็ดหนึ่งในสายตาอวิ๋นซู่ชัดๆ อวิ๋นซู่ปล่อยนางไปง่ายๆ สิถึงจะแปลก
ส่วนวั่งซู นางง้างธนูจันทร์โลหิตได้ โลหิตของนางก็คงน่าดึงดูดใจอย่างยิ่งยวดต่ออวิ๋นซู่เช่นกัน
เมื่อคิดเช่นนี้ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็รู้สึกไม่ดีไปทั้งร่าง
ไห่สือซานโพล่งออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ฮูหยินน้อยกับวั่งซูตกอยู่ในอันตรายแล้ว! ต้องรีบตามหาพวกนางโดยเร็ว!”
…
เวลานี้วั่งซูผู้ ‘ตกอยู่ในอันตราย’ กำลังยืนอยู่หน้าตำหนักเปล่าหลังหนึ่ง แน่นอนนางไม่ทราบว่าด้านหลังคือตำหนักแห่งหนึ่ง ข้างกายนางคือรถม้าที่หยุดนิ่ง ม้าวิ่งมาตลอดทางจนเหน็ดเหนื่อยต้องหอบหายใจ บนแผ่นหินเบื้องหน้านางคืออวิ๋นซู่ที่ฟุบหมอบหายใจเข้าได้น้อยกว่าหายใจออก
ตีให้ตายอวิ๋นซู่ก็คิดไม่ถึงว่าตนเองอุตส่าห์หนีมาขนาดนี้เพื่อหนีฝ่ามือมารของเจ้าเด็กโง่คนนี้ แต่เจ้าเด็กโง่คนนี้ดันนั่งอยู่บนรถม้าของเขา
เจ้าเด็กโง่มานั่งตั้งแต่เมื่อใดกัน
เหตุใดเขาสัมผัสไม่ได้สักนิด
วั่งซูเปิดหีบร้อยสมบัติ
นางเป็นแม่นางน้อยผู้ทำสิ่งใดแล้วต้องทำให้สำเร็จ จะเลิกล้มกลางคันไม่ได้ ท่านลุงยังฝังเข็มไม่เสร็จเลย รอฝังเข็มเสร็จแล้วท่านลุงก็จะกลับมากระโดดโลดเต้นได้ดังเดิม
“ท่านลุงจะกลับมาเด็กลงด้วยนะ!”
ท่านลุงชราคนนั้นเมื่อหนก่อนยังถูกนางรักษาจนเด็กลงเลย
วิชาแพทย์ของนางสูงส่งถึงขนาดนั้นเชียวล่ะ!
ตะปูพิฆาตเทวาตัวที่สามตอกเข้ามาในร่าง แต่เดิมอวิ๋นซู่ก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงสักเท่าใดแล้ว เขาอาศัยสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดถึงแอบขับรถม้าหนีมาได้ แต่ตอนนี้รถม้าพลิกคว่ำ อวัยวะภายในก็กระทบกระเทือนจนเจ็บปวด ไม่ต้องพูดถึงการหนี แม้แต่แรงขยับมือชี้นิ้วก็ไม่มีแล้ว
สุดท้ายของสุดท้าย อวิ๋นซู่ก็ถูกหมอเทวดาน้อยวั่งซูจับพลิกไปพลิกมาฝังเข็มจนครบรอบ เจ็บปวดจนอยู่ไม่สู้ตาย
แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ร้ายแรงที่สุด
สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ เขาไม่มีแรงแม้แต่จะเหลือกตา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรวบรวมเม็ดโลหิตที่แตกสลาย…
นี่เป็นเม็ดโลหิตที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก หนหน้าไม่รู้ว่าจะทำได้อีกเมื่อใด
หรือว่าสวรรค์จะต้องการให้เขาตายจริงๆ เดินมาจนถึงก้าวนี้แล้ว เข้ามาในพระราชวังใต้ดินแล้ว เหตุไฉนจึงล้มเหลวตรงก้าวสุดท้ายเสียได้
เขาไม่ยอม เขาไม่ยอม!
แม้เขาจะไร้หนทางผนึกเม็ดโลหิตแล้ว แต่ขอเพียงเขาอยู่ที่พระราชวังใต้ดินก็ยังมีหนทางรอดเสี้ยวหนึ่ง
เจ้าโง่จีหมิงซิวคนนั้นคงไม่รู้หรอกว่าในพระราชวังใต้ดินมีสมบัติอะไรอยู่กันแน่ ขอเพียงหาสมบัติชิ้นนั้นพบ อาการบาดเจ็บของเขาก็จะหายดีโดยไม่ต้องรักษา เม็ดโลหิตที่แตกสลายไปก็จะก่อตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
ยามนั้นต่อให้ไม่มีเลือดของผู้ครอบครองเม็ดโลหิต เขาก็กลายเป็นมารโลหิตที่แท้จริงได้!
วั่งซูเก็บเข็ม จากนั้นก็ปาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริงบนหน้าผาก แล้วเอ่ยประหนึ่งปลดภาระหนักอึ้งลงจากบ่า “ฟู่ เหนื่อยนักเชียว! ท่านลุง ท่านรู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง ดีขึ้นแล้วหรือยัง ท่านพักสักครู่ก่อน ข้าจะไปดูตำราแพทย์ของมารดาข้า ตอนนี้ข้าจุดไฟเป็นแล้วนะ!”
อวิ๋นซู่กระตุกไปทั้งตัว!
วั่งซูวิ่งตึงตังขึ้นไปบนรถม้าแล้วค้นตำราแพทย์ (ตำราอาหาร) ที่มารดาเขียนเองกับมือออกมาจากหีบร้อยสมบัติ
ในตอนที่อวิ๋นซู่ใกล้จะสิ้นหวังแล้วนั่นเอง เงาร่างสูงใหญ่บึกบึนร่างหนึ่งก็ขยับเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
ปลายหางตาของอวิ๋นซู่เหลือบมองหน้าตาของอีกฝ่าย ดวงตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย เห็นชัดว่าคิดไม่ถึงว่าเขาจะเข้ามา
อีกฝ่ายเห็นอวิ๋นซู่แล้วจึงยกนิ้วชี้ทาบบนริมฝีปากสีแดงสด ทำสัญลักษณ์มือบอกให้เงียบ หลังจากนั้นเขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าที่เทยาสลบอย่างเข้มข้นผืนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วขยับเข้าไปใกล้รถม้าอย่างช้าๆ
ดวงตาของอวิ๋นซู่มองตามเขาไปตลอด เขาไปถึงหน้ารถม้าแล้ว จากนั้นก็เปิดผ้าม่านอย่างไม่เผยร่องรอย คิดจะใช้ยาสลบมอมแม่นางน้อยที่อยู่ในรถ แต่คิดไม่ถึงว่าพอเขาเพ่งสายตามองกลับพบว่าเงาคนในรถม้าหายไปแล้ว!
คนเล่า
เมื่อครู่ยังอยู่บนรถม้าอยู่เลย!
“ท่านอา!”
เสียงน่ารักน่าชังเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังมู่ชิวหยางอย่างกะทันหัน
มู่ชิวหยางสะดุ้งเฮือก พอหันกลับมาก็เห็นแม่นางน้อยที่ควรอยู่บนรถม้ามาอยู่ด้านหลังตนเองตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ในอ้อมแขนของนางหอบหีบใบน้อยสีทองอร่ามที่ส่องประกายจนคนตาแทบบอดใบหนึ่ง พลางยิ้มตาหยีมองเขาอยู่
มู่ชิวหยางเหมือนเห็นผี!
เจ้าเด็กนี่ลงมาตั้งแต่เมื่อใด!
“ท่านอาผ้าเช็ดหน้าของท่านร่วงแล้ว” วั่งซูเก็บมาส่งให้เขาอย่างมีน้ำใจยิ่ง
มู่ชิวหยางรับผ้าเช็ดหน้ามาอย่างขวัญผวา
มู่ชิวหยางเคยแอบเห็นวั่งซูมาก่อนแล้ว แต่ต่อให้ไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงใบหน้าที่เหมือนเฉียวเวยห้าหกส่วนดวงนี้ เขาก็เดาออกแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นคุณหนูเล็กของตระกูลจีกับชนเผ่าลึกลับ
สายตาของมู่ชิวหยางกวาดมองสำรวจตัวของวั่งซูครู่ใหญ่ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรขึ้นมาได้ แววตาจึงทอประกายวูบหนึ่งแล้วทำหน้าตาให้อ่อนโยนเป็นมิตร “ข้าเป็นสหายของบิดาเจ้า บิดาเจ้าให้ข้ามารับเจ้า”
วั่งซูกะพริบตา “จริงหรือ ท่านพ่อของข้าก็มาด้วยหรือ”
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง”
มู่ชิวหยางกล่าวจบ จีหมิงซิวก็พาคนเดินมาด้านนี้จริงๆ มู่ชิวหยางได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก็มองตำหนักด้านข้างแล้วเอ่ยกับวั่งซูว่า “ท่านพ่อของเจ้าอยู่ด้านใน พวกเราไปหาเขากันเถิด!”
วั่งซูพยักหน้าราวกับตำกระเทียม “ดียิ่งๆ!”
มู่ชิวหยางไม่มีเวลาจัดการกับรถม้า เขาหวดแส้ลงบนตัวม้าอย่างแรง พอม้าเจ็บปวด รถม้าก็แล่นเร็วไวจากไปจนไม่เห็นฝุ่น หลังจากนั้นมู่ชิวหยางก็แบกอวิ๋นซู่ขึ้นหลังแล้วพาวั่งซูเดินเข้าไปในตำหนักที่อยู่ด้านข้าง
ในตำหนักอันมืดสนิท วั่งซูชูมุกราตรี เดินไปพลางก็ถามว่า “ท่านพ่ออยู่ที่ใดหรือ”
“นายน้อย ท่านฟังสิ นั่นรถม้า!”
นอกตำหนักมีเสียงตื่นเต้นของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยดังลอยมา
มู่ชิวหยางคิ้วกระเด้ง เขายื่นมือข้างหนึ่งไปคว้าหมับที่มุกราตรีของวั่งซู
โถงตำหนักมืดสนิทในพริบตา หลังจากนั้นเขาก็มองประตูที่อยู่ด้านข้างแล้วหลอกว่า “บิดามารดาของเจ้าอยู่ด้านใน รีบเข้าไปหาพวกเขาเร็ว”
วั่งซูเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย