หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 104 เจ้าตุ้ยนุ้ยผู้ร้ายกาจ (3)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 104 เจ้าตุ้ยนุ้ยผู้ร้ายกาจ (3)
ตอนที่ 104 เจ้าตุ้ยนุ้ยผู้ร้ายกาจ (3)
มู่ชิวหยางถูกนกบินไล่จนมีสภาพอนาถยิ่งนัก ในพระราชวังใต้ดินยอดฝีมือล้วนถูกสะกดกำลังภายใน ทว่าแต่เดิมอินทรีทองก็ไม่มีกำลังภายในอยู่แล้ว ขณะที่พลังของมู่ชิวหยางอ่อนแอลง พลังของอินทรีทองยังคงมีเต็มพิกัด เมื่อต่อสู้กันมู่ชิวหยางจึงทำอะไรดั่งใจได้ไม่มากนัก
มู่ชิวหยางถูกเล่นงานจนไม่มีกำลังโต้กลับสักนิด
แต่มู่ชิวหยางไม่ใช่คนโง่ เขาเข้าใจว่าความหวังทั้งหมดของตนเองขึ้นอยู่กับตัวอวิ๋นซู่ หากอวิ๋นซู่ไม่รอด รอจีหมิงซิวได้ครอบครองพระราชวังใต้ดินแล้ว ชาตินี้เขาก็อย่าคิดจะรอดชีวิตออกไป
วันนี้ต่อให้ต้องตาย เขาก็ต้องได้น้ำพุเทพมาให้จงได้
ด้วยแรงขับเคลื่อนอันรุนแรงของการปรารถนาจะรอดชีวิต มู่ชิวหยางจึงกระตุ้นศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดออกมา ในตอนที่อินทรีทองกระพือปีกถลาเข้ามาหาเขา เขาก็กระโจนไปที่ริมขอบสระ ราวกับว่าเขารีดเค้นพละกำลังมหาศาลส่งไปทั่วร่างเพื่อการกระโจนหนนี้
หลังจากนั้นเขาก็สะบัดแขนข้างหนึ่ง ขวดกระเบื้องใบหนึ่งร่วงลงมากลางฝ่ามือ เขาจุ่มขวดกระเบื้องลงไปในน้ำ ขวดกระเบื้องส่งเสียงบุ๋งๆ น้ำไหลเข้าไปด้านในจนเต็ม ในที่สุดเขาก็ได้น้ำพุเทพมาสมใจปรารถนา ทว่าเพื่อน้ำพุเทพขวดนี้ เขาต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนอย่างที่ยากจะจินตนาการ
ปากขวดกระเบื้องมีขนาดเล็ก การจะกรอกน้ำให้เต็มจึงต้องใช้เวลา ในช่วงเวลานี้อินทรีทองบินเข้ามาหาเขาได้สำเร็จ แม้มู่ชิวหยางจะใช้เท้าเตะอินทรีทองออกไปได้หลายครั้ง แต่ชั่วพริบตาที่เขาลุกขึ้นเก็บขวด เขากลับป้องกันตัวไม่ทัน ทำให้อินทรีทองพุ่งลงมาจิกดวงตาข้างหนึ่งของเขาจนบอด
“อ้ากกก!” มู่ชิวหยางกรีดร้องแล้วล้มลงกับพื้น
เสียงกรีดร้องนี้เรียกสือชีให้พุ่งกลับมา
อินทรีทองตัวเดียวยังรับมือไม่ได้ หากมีนักรบมรณะเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง เขาจะต้องรับมือไม่ได้อย่างแน่นอน มู่ชิวหยางกุมดวงตา ข่มกลั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสแล้วขว้างระเบิดควันลูกหนึ่งออกมา จากนั้นฉวยจังหวะที่สับสนวุ่นวายหนีออกไป
เฉียวเจิงป้อนยาแก้พิษเม็ดหนึ่งให้ไห่สือซาน ฤทธิ์ของผงสลายกำลังจึงสลายไปอย่างรวดเร็ว ไห่สือซานลุกพรวดขึ้นมายืนแล้วทำท่าจะไล่ตามไปเอาน้ำพุเทพกลับมา แต่เฉียวเจิงเรียกเขาไว้ “อย่าไล่ตามไป พระราชวังใต้ดินลี้ลับยิ่งนัก ทางที่ดีที่สุดรออยู่ที่นี่ อย่าไปที่ไหนดีกว่า”
ทุกครั้งที่ประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินเปิดออก ตำแหน่งของสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนไปหนึ่งหน หากเปรียบเทียบว่าพระราชวังใต้ดินเป็นตัวต่อปริศนาทรงเรขาคณิต จุดที่พวกเขาอยู่ในปัจจุบันก็คือตัวต่อชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าตัวต่อชิ้นนี้มีขอบเขตอยู่ที่ใด หากก้าวออกไปเพียงหนึ่งก้าว แล้วเกิดพื้นที่ในพระราชวังสลับตำแหน่งกันอีกหน ย่อมกลับมาไม่ได้แล้ว
ไห่สือซานเอ่ยอย่างกังวล “แต่…เขาได้น้ำพุเทพไปแล้ว หากเขามอบให้อวิ๋นซู่ ไฉนมิเท่ากับว่าช่วยให้อวิ๋นซู่ครอบครองร่างมารโลหิตที่แท้จริงได้สำเร็จ”
พวกเขายังไม่รู้ว่าอวิ๋นซู่ถูกเจ้าตุ้ยนุ้ยบางคนใช้ตะปูพิฆาตเทวาทำลายเม็ดโลหิตไปแล้ว พวกเขาจึงคิดว่าน้ำของน้ำพุเทพมีสรรพคุณน่ากลัวถึงขนาดที่หนึ่งหยดสองหยดก็ทำให้อวิ๋นซู่เลื่อนขั้นได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามู่ชิวหยางเอาไปได้เต็มๆ หนึ่งขวด…แม้ว่าจะเป็นขวดที่ขนาดเท่าฝ่ามือก็ตาม แต่นั่นก็น่าจะพอแล้ว!
หากเม็ดโลหิตยังไม่แตกสลาย มันก็คงพอแล้วจริงๆ
แต่น่าเสียดาย เม็ดโลหิตของอวิ๋นซู่แตกสลายเป็นผงธุลีไปแล้ว
น้ำพุเทพเป็นยาวิเศษจริงแท้ไม่หลอกหลวง แต่ตะปูพิฆาตเทวาก็ไม่ใช่เรื่องแต่ง แค่น้ำพุเทพหนึ่งขวด ฟื้นเม็ดโลหิตที่แตกสลายไปก็ยังไม่พอ แล้วจะกลายเป็นมารโลหิตหรือ ฝันไปเถิด!
เป็นอย่างที่คิด ครั้นมู่ชิวหยางนำน้ำพุเทพกลับมาถึงห้องที่ปล่อยอวิ๋นซู่ทิ้งไว้ อวิ๋นซู่ก็สาดโทสะออกมาอย่างไม่หยุดคิดแม้แต่น้อย
อวิ๋นซู่ยามนี้อ่อนแออย่างยิ่ง แม้แต่เอ่ยคำพูดก็เปลืองแรงยิ่งนัก “เจ้า…โง่…ให้เจ้า…ไปหา…น้ำพุเทพ…เจ้ากลับ…หามาได้…น้อยนิด…เท่านี้หรือ”
มู่ชิวหยางลอบต่อว่าในใจ ก็เจ้าไม่ให้ขวดใบใหญ่กว่านี้กับข้านี่!
ความจริงแล้วตามแผนการที่คุยกันก่อนจะออกไป มู่ชิวหยางรับหน้าที่ไปสอดส่องลู่ทางเท่านั้น เมื่อหาน้ำพุเทพพบและแน่ใจว่ารอบด้านไม่มีอันตรายแล้วค่อยมารับอวิ๋นซู่ไป
ทว่าเมื่อมู่ชิวหยางเดินทางไปถึงฝั่งนั้น น้ำพุเทพก็ถูกคนตระกูลจียึดครองไปแล้ว อวิ๋นจูยังแช่อยู่ในน้ำพุเทพแล้วด้วย ไม่ใช่ว่ามู่ชิวหยางไม่เคยคิดจะกำจัดพวกเขา แต่เขาแค่ทำล้มเหลวเท่านั้นเอง
ต่อให้มีน้ำพุเทพน้อยนิดเพียงเท่านี้ แต่เขาก็ได้มันมาอย่างยากลำบาก แล้วยังต้องจ่ายค่าตอบแทนอันเจ็บปวดแสนสาหัส
เขาไม่โง่เสียหน่อย ไม่อย่างนั้นอวิ๋นซู่ก็ไปเอาเองเลยสิ!
อย่ามาเสียท่าในมือเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งสิ!
หากตนไม่ช่วยเขาออกมา เขาคงถูกทรมานจนเป็นอย่างไรแล้วก็ไม่รู้
ด่าเขาโง่หรือ
ในใจมู่ชิวหยางเกิดความไม่พอใจมหาศาล เขากำหมัดแน่น พยายามข่มความไม่พอใจนี้ลงไป “ข้าพยายามแล้ว แต่พวกเขามีคนมาก ซ้ำข้ายังถูกสะกดกำลังภายในไว้ สู้ไม่ไหวจริงๆ”
“เจ้า…ถูกสะกดพลัง…แล้วพวกเขา…ไม่ได้ถูก…สะกดหรืออย่างไร” เพลิงโทสะแล่นเข้าจู่โจมหัวใจของอวิ๋นซู่ เขาไม่ยอมรับข้ออ้างนี้อย่างสิ้นเชิง
หมัดของมู่ชิวหยางกำแน่นขึ้นอีกหลายส่วน เล็บของเขาแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ แต่กลับตอบด้วยน้ำเสียงปกติ “เจ้าลัทธิใช้น้ำพวกนี้ไปก่อน รอหาจังหวะเหมาะๆ แล้ว ข้าค่อยไปอีกหน”
ความจริงเขาไม่อยากไปอีกหนแล้ว!
ไปหนหนึ่งก็เสียดวงตาไปข้างหนึ่งแล้ว หากไปหนที่สองเขามิตาบอดเลยหรือ
แต่คำพูดนี้เขาไม่กล้าเอ่ยออกมาต่อหน้าอวิ๋นซู่
อวิ๋นซู่ถลึงตาใส่เขาอย่างโกรธเกรี้ยว แม้แต่คำด่าก็ใกล้จะไม่มีเรี่ยวแรงเอ่ยออกจากปากแล้ว
มู่ชิวหยางสูดหายใจลึกสองสามเฮือกแล้วดึงจุกขวดออก “เจ้าลัทธิบอกว่าน้ำพุนี่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าผลสองภพกับน้ำอมฤตไม่ใช่หรือ ข้าคิดว่าต่อให้มันรักษาอาการบาดเจ็บของท่านจนหายดีอย่างสมบูรณ์ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็คงมีประโยชน์อยู่บ้าง”
เขาพูดพลางก็ประคองอวิ๋นซู่ให้ลุกขึ้นมาอย่างแผ่วเบา จากนั้นจรดขวดไปที่ริมฝีปากของอวิ๋นซู่ คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นซู่กลับยกมือสั่นเทาขึ้นมาปัดขวดจนตกลงไป
ขวดตกลงบนตัวมู่ชิวหยาง มันจึงไม่ตกลงไปแตกกระจาย ถึงอย่างนั้นน้ำก็หกออกมาครึ่งหนึ่ง
เส้นความอดทนเส้นนั้นในใจของมู่ชิวหยางขาดผึงในที่สุด สิ่งที่เขาเสียสละครึ่งชีวิตเพื่อแลกมากลับถูกอีกฝ่ายโยนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจสักนิดเช่นนี้
สิ่งที่อวิ๋นซู่โยนทิ้งไม่ใช่น้ำพุเทพ แต่เป็นครึ่งชีวิตของเขา
มู่ชิวหยางไม่อาจข่มกลั้นเพลิงโทสะในใจได้อีกต่อไป หรือบางทีเขาอาจทนอวิ๋นซู่ไม่ได้มานานแล้ว แต่เพราะไม่มีทางเลือกจึงต้องประจบประแจง ทว่าอวิ๋นซู่ในตอนนี้ได้รับบาดเจ็บและอาจจะรักษาไม่ได้แล้ว ในเมื่ออวิ๋นซู่ปกป้องเขาไม่ได้อีกต่อไป เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องประจบอีกแล้ว และไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเขาอีกต่อไปแล้วเช่นกัน
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ใกล้ตายแล้วนี่ ผู้ใดจะหวาดกลัวคนตายคนหนึ่งกัน
มู่ชิวหยางหยิบขวดกระเบื้องขึ้นมาแล้วเก็บน้ำพุเทพที่เหลือครึ่งขวดให้เรียบร้อย
อวิ๋นซู่นั่งอยู่บนพื้นอันเย็นเฉียบ แผ่นหลังพิงอยู่กับกำแพงแข็งกระด้าง ตอนที่มู่ชิวหยางลุกขึ้น เขาคิดว่ามู่ชิวหยางจะไปเอาน้ำพุเทพมากกว่าเดิมมาให้เขา แล้วมู่ชิวหยางก็เดินออกไปโดยไม่พูดสักคำเดียวจริงๆ
อวิ๋นซู่นับว่าพอใจแล้ว
สุนัขตัวหนึ่ง ชี้ให้กัดตรงไหนก็ต้องกัดตรงนั้นสิถึงจะสมเหตุสมผล
ทว่าอวิ๋นซู่ได้ใจไม่นานนัก มู่ชิวหยางก็วกกลับมาในห้อง
เขากลับมาเร็วถึงเพียงนี้เชียว อวิ๋นซู่แปลกใจเล็กน้อย เมื่ออวิ๋นซู่เห็นหีบที่เขาถือไว้ในมือ สีหน้าก็ยิ่งแปลกใจขึ้นไปอีก หีบใบนี้ไม่ใช่ข้าวของที่พวกเขาพกติดตัวมา น่าจะเป็นของที่อยู่ในตำหนักหลังนี้ แม้จะผ่านกาลเวลามานับพันปี แต่มันก็ถูกเก็บรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ดีไม่เสียหาย
เมื่อมู่ชิวหยางใช้ผ้าเช็ดฝุ่นด้านบนจนหมด ไม่ว่าจะลวดลายของมันหรือรอยต่อของมันก็ประณีตจนทำให้คนอุทานชื่นชม มู่ชิวหยางวางหีบลงบนพื้น จากนั้นจึงไปลากม้านั่งยาวสองตัวมา แล้วอุ้มอวิ๋นซู่ขึ้นมาวางบนม้านั่งยาวอย่างแผ่วเบา
หากบอกว่าเขากังวลว่าอวิ๋นซู่จะหนาวเพราะอยู่บนพื้นจึงย้ายที่นั่งให้อวิ๋นซู่ก็พอจะฟังดูมีเหตุผล อยู่ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็กระชากสายคาดเอวของอวิ๋นซู่ออกจากนั้นฉีกด้วยมือเปล่า แยกจากหนึ่งเป็นสองชิ้นแล้วมัดมือของอวิ๋นซู่ติดไว้กับเก้าอี้อย่างแน่นหนา
อวิ๋นซู่โกรธจัด “เจ้า…ทำอันใด!”
มัดมือเท้าเห็นชัดว่าไม่พอ ร่างกายของเขายังบิดตัวไปมาได้แม้จะยากเย็นก็ตาม
มู่ชิวหยางมองเขาอย่างเย็นชา จากนั้นกระชากสายคาดเอวของตนเองออกมามัดเอวเขาตรึงแน่นกับม้านั่งท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเขา
อวิ๋นซู่โกรธจัดอย่างยิ่ง “มู่…ชิว…หยาง!”
มู่ชิวหยางขนโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งมาอย่างเฉยชาแล้ววางหีบไว้บนโต๊ะ จากนั้นจึงจุดเทียนไขข้างหีบ อาศัยแสงอ่อนจางของเทียนไขเปิดหีบเหล็กออก “คิดไม่ถึงเลยนะว่า ที่นี่จะมีห้องยาโบราณอยู่ห้องหนึ่งด้วย แม้ยาจะสลายกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว แต่สิ่งอื่นยังอยู่”
อวิ๋นซู่มองเขาอย่างชิงชัง
มู่ชิวหยางปลดความหวั่นเกรงทิ้งไปหมดแล้วจึงไม่หวาดกลัวแววตาของเขาอีกต่อไป ก่อนหน้านี้เขามองตนหนหนึ่ง ตนก็ตัวสั่นไปครึ่งวัน ทว่ายามนี้ ตนกลับรู้สึกว่าน่าขันยิ่ง
มู่ชิวหยางแกว่งน้ำพุเทพที่เหลือเพียงครึ่งขวด “ถูกต้องแล้ว น้ำพุเทพเท่านี้ช่วยให้เจ้ามีชีวิตรอดไม่ได้แล้ว แต่หากให้ข้า…”
คำพูดต่อจากนั้น มู่ชิวหยางไม่พูดต่อแล้ว
แต่เขาไม่พูด อวิ๋นซู่จะเดาไม่ออกหรือ
แววตาของอวิ๋นซู่สั่นไหวอย่างรุนแรง “เจ้า…คิดจะ…ทำ…อะไร!”
มู่ชิวหยางหยิบมีดขึ้นมากรีดเสื้อผ้าของเขา จากนั้นก็เล็งไปที่จุดตันเถียน “เจ้าก็กลายเป็นมารโลหิตเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ดูดกลืนไขเลือดของมารโลหิต จากนั้นก็ไปแย่งชิงโลหิตของจั๋วหม่าน้อย ข้าคงไม่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้น ในเมื่อเจ้าสร้างเม็ดโลหิตออกมาแล้ว ข้าดูดซับไขเลือดของเจ้า จากนั้นควักเม็ดโลหิตของเจ้าออกมาเพียงเศษเสี้ยว ข้าก็จะกลายเป็นมารโลหิตผู้แข็งแกร่ง”
สิ่งที่เรียกว่าเสือเลี้ยงไม่เชื่องก็คงเป็นเช่นนี้เอง
ดวงตาของอวิ๋นซู่ฉายแววหวาดกลัวออกมาเสี้ยวหนึ่ง เขาคิดไม่ถึงอย่างเด็ดขาดว่ามู่ชิวหยางจะมีใจทะเยอทะยานเช่นนี้ บางที อาจไม่ใช่ว่าเขาคิดไม่ถึงจริงๆ แต่เขาอวดดีคิดว่าตนเองกำราบจิตใจทะเยอทะยานของมู่ชิวหยางได้ง่ายๆ ต่างหาก
เห็นชัดว่า เขาคาดการณ์ผิดแล้ว
หลังจากถูกสะกดปราณของมารโลหิต แต่เดิมเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บได้มากกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว หากควักเม็ดโลหิตของเขาออกไป เขาย่อมต้องสัมผัสกับความเจ็บปวดมากกว่าธรรมดาเป็นสิบเท่า ร้อยเท่า
มารโลหิตถูกทารุณจนตายทั้งเป็นอย่างไร เขาเห็นมากับตาตนเอง แต่ตอนนี้เขากำลังจะได้เผชิญมันกับตนเอง
เขาไม่อยากเป็นเช่นนั้น!
ชางจิว…ชางจิวอยู่ที่ใด!
มู่ชิวหยางใช้ผ้าอุดปากของเขา ไม่อยากให้เสียงร้องของเขาเผยตำแหน่งที่ซ่อนตัว
อวิ๋นซู่โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม “อื้อ…อื้อ…”
“เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง ข้าจะลงมือแล้ว” มู่ชิวหยางหัวเราะหยันแล้วตวัดมีดลงไป
อวิ๋นซู่เจ็บปวดจนลูกตาแทบจะถลนออกมา “อื้อ…”
มู่ชิวหยางจดจ่อตั้งใจอยู่กับการการผ่าตัดของตนเอง เขาไม่รู้ตัวสักนิดว่าเงาดำที่ร่างกายสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปมากร่างหนึ่งกำลังเดินเข้ามาด้านหลังเขาอย่างเงียบๆ