หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 20-3 ความตายของฮองเฮา
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 20-3 ความตายของฮองเฮา
ตอนที่ 20-3 ความตายของฮองเฮา
จังหวะที่อูมู่ตัวเดินห่างจากตรอกอยู่อีกราวห้าหกก้าวนั่นเอง เงาสีขาวร่างหนึ่งก็กระโจนเหินลงมาจากหลังคา เงื้อกรงเล็บแหลมคมตะปบใส่อูมู่ตัวอย่างแรง!
อูมู่ตัวยกแขนขึ้นกันได้ทว่าเขาก็ยังถูกกำลังมหาศาลตะกุยจนแขนบาดเจ็บ พอความเจ็บปวดแล่นปราดเข้าจู่โจม เท้าของเขาก็เสียหลักล้มลงบนพื้น!
ต้าไป๋อ้าปากสีแดงสด กระโจนขึ้นไปบนร่างเขาอย่างดุร้าย
อูมู่ตัวกุมศีรษะกรีดร้อง “อย่าฆ่าข้า…”
เฉียวเวยปลดหน้ากากบนใบหน้าลงอย่างเชื่องช้า “ทำเรื่องไร้คุณธรรมมามากย่อมหนีไม่พ้นความตาย คำพูดร้องขอชีวิตเก็บเอาไว้ไปพูดกับยมบาลเถอะ!”
อูมู่ตัวมองใบหน้าที่แปลกหน้าแต่ก็คุ้นเคยดวงนี้ แววตาสั่นไหวทันที “เจ้าเองหรือ”
เฉียวเวยก้มมองเขาจากด้านบน “ข้าแล้วอย่างไร ตกใจมากหรือ”
อูมู่ตัวพูดว่า “เดี๋ยวก่อน…เดี๋ยวก่อน! เจ้าสังหารข้าไม่ได้! พี่น้องร่วมสาบานของข้าคือศิษย์ของประมุขเหยาจี เจ้า…เจ้ากล้าสังหารข้าก็เท่ากับล่วงเกินประมุขเหยาจี! นางไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
เฉียวเวยหัวเราะหยัน “สตรีนางนั้นน่ะหรือ ตอนนี้นางเป็นรูปปั้นดินพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำ ตัวเองยังเอาไม่รอด ยังจะมาแก้แค้นแทนเจ้าได้อีกหรือ”
อูมู่ตัวตะตะลึง “รูปปั้นดินพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำ ตัวเองยังเอาไม่รอดอะไร”
เฉียวเวยบอกว่า “ข้าคร้านจะพูดไร้สาระกับเจ้าแล้ว สรุปก็คือวันนี้คือวันตายของเจ้า แล้วก็เป็นวันตายของประมุขเหยาจีของพวกเจ้าด้วย พวกเจ้าสองคนไปเป็นนายบ่าวที่ภักดีกันต่อในนรกก็แล้วกัน”
อูมู่ตัวขมวดคิ้ว “พวกเจ้าส่งคนไปลอบสังหารนางแล้วหรือ”
“เกี่ยวอะไรกับเจ้าเล่า” เฉียวเวยถาม
อูมู่ตัวพลันหัวเราะจนไหล่สั่น
แววตาของเฉียวเวยเย็นชาขึ้นมาทันที “เจ้าหัวเราะอะไร”
อูมู่ตัวบอกว่า “ข้าหัวเราะความโง่ของพวกเจ้า ถึงกับกล้าส่งคนไปลอบสังหารประมุขเหยาจี…พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าประมุขเหยาจีซ่อนตัวอยู่ที่ใด นางซ่อนตัวอยู่ที่ยอดเขาชังมั่ว ห่างจากยอดเขาเชียนหลวนที่ประมุขเย่ว์หวาอยู่เพียงหนึ่งยอดเขากั้น ยอดเขาชังมั่วเกิดเรื่อง ยอดเขาเชียนหลวนย่อมรู้ทันที…เจ้ารู้หรือไม่ว่าประมุขเหยาจีกับประมุขเย่ว์หวามีความสัมพันธ์กันอย่างไร เจ้าคิดไม่ถึงหรอก เจ้าคิดไม่ถึงแน่ๆ…ฮ่าๆ…”
อูมู่ตัวหัวเราะราวกับคลุ้มคลั่ง
แววตาของเฉียวเวยดำทะมึนขึ้นเล็กน้อย พูดตามตรงนางก็ไม่คิดว่าเหยาจวิ้นจะเป็นคนที่นั่งรอความตาย หรือว่านางจะวางกับดักรอให้ท่านยายเข้าไปติดกับจริงๆ
“เจ้าเป็นเพียงผู้ดูแลตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะรู้เรื่องราวมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ตอนนี้อูมู่ตัวไม่กลัวเท่าไรแล้ว เขาหัวเราะฮ่าๆ บอกว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ดูแลที่คุมงานอะไร ข้าคอยคุมข้อมูลเกี่ยวกับศิษย์หมื่นกว่าคนตั้งแต่ระดับบนจรดระดับล่างของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ นับตั้งแต่ทุกคนก้าวเข้ามาในลัทธิ ข้อมูลทั้งหมดล้วนอยู่ในความดูแลของข้า หากไม่เชื่อเจ้าก็ลองถามมาสักคนดูสิ”
กงซุนฉางหลีสี่คำนี้ผุดขึ้นมาในสมอง แต่เฉียวเวยอดกลั้นไว้ จะติดกับของเจ้าหมอนี่ไม่ได้ ไม่ว่ากงซุนฉางหลีจะเป็นศัตรูหรือมิตร ทางที่ดีอย่าให้ผู้อื่นรู้ว่าระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์กันจะดีกว่า
อูมู่ตัวหันไปมองเฉียวเวยแล้วพูดว่า “ไม่สู้พวกเรามาทำข้อตกลงกัน ข้าจะพาเจ้าไปหาประมุขเหยาจี แล้วไปขอความเมตตาจากประมุขเย่ว์หวา เจ้าไว้ชีวิตข้าเพียงหนเดียวก็พอ หากหนหน้าข้ากล้ามาปรากฏตัวตรงหน้าเจ้าอีก เจ้าก็สังหารข้าได้เลยไม่ต้องลังเล”
เฉียวเวยว่าเสียงเย็นชา “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้คิดจะหลอกข้าไปเป็นตัวประกัน”
อูมู่ตัวหลับตา “หากเจ้าไม่กลัวว่าคนของพวกเจ้าจะเกิดเรื่องก็สังหารข้าเลยสิ ไม่ว่าอย่างไรชีวิตต่ำต้อยของข้าชีวิตเดียว จะแลกย่อมแลกได้อยู่แล้ว”
ชีวิตต่ำต้อยชีวิตเดียวจบสิ้นเสียตรงนี้ย่อมไม่มีสิ่งใดให้เสียดาย แต่ว่าท่านยาย…
เฉียวเวยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วชักกริชออกมาจากอกเสื้อ “ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก เจ้าไปตายเสียเถิด!”
ต้าไป๋ร่วมมือกับเฉียวเวย มันยกกรงเล็บขึ้นตะปบใส่อูมู่ตัว
ด้วยความสามารถของอูมู่ตัว เขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของต้าไป๋ ทว่าในพริบตาที่ต้าไป๋กำลังจะตะปบถูกเขานั่นเอง จู่ๆ ก็มีลมปราณระเบิดออกมาจากทั่วร่างของเขา มือที่เห็นข้อนิ้วชัดเจนข้างหนึ่งยื่นออกมาคว้าลำคอของต้าไป๋ได้อย่างสบายๆ
กริชของเฉียวเวยแทงใส่เขา แต่มืออีกข้างหนึ่งของเขาคว้าข้อมือของเฉียวเวยเอาไว้ได้
เฉียวเวยมองเขาอย่างตกตะลึง “เจ้าไม่ใช่อูมู่ตัว!”
‘อูมู่ตัว’ หัวเราะหยัน เสียงเย็นชาทุ้มกังวานเสียงหนึ่งดังเอื่อยเฉื่อยขึ้นในตรอก “เร็วกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เล็กน้อย คิดว่าต้องไปถึงที่นั่นแล้วถึงจะถูกจับได้เสียอีก”
เฉียวเวยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมาฉีกหน้ากากบนใบหน้าของเขา ทว่าฉีกสิ่งใดออกมาไม่ได้ทั้งสิ้น!
นี่มัน…
“แค่วิชาแปลงโฉมเท่านั้น อยากเรียนหรือสาวน้อย” เขาหัวเราะเบาๆ
วิชาแปลงโฉมที่เหมือนกับของอี้เชียนอิน มิน่านางจึงมองพิรุธไม่ออก แม้แต่เสียงของอูมู่ตัวกับลักษณะท่าทางก็คล้ายคลึงจนไม่แตกต่างเลยสักนิด
เขาแสร้งอุทานออกมาแล้วบอกว่า “ล่วงเกินแล้ว จั๋วหม่าน้อย”
เฉียวเวยว่าเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่”โ
เขาหัวเราะ “เมื่อครู่ข้าพูดไปมากมายถึงเพียงนั้น เจ้าฟังไม่เข้าหูสักคำเลยหรือ”
เฉียวเวยแววตาสั่นไหว “ยอดเขาเชียนหลวน ประมุขเย่ว์หวาหรือ”
เขาหัวเราะ “เจ้าอาจไม่เคยพบข้า แต่เจ้าเคยพบศิษย์ของข้าแล้ว จั๋วหม่าน้อยตัวปลอมแห่งชนเผ่าลึกลับ พอจำได้หรือไม่เล่า”
เฉียวเวยเบิกตาโต “เจ้าตัวปลอมคนนั้นเป็นฝีมือเจ้าหรือ!”
เขาทำหน้าจนปัญญาตอบว่า “เหยาจีขอยืมคนสักคนจากข้า ข้าจึงให้นางยืมไป หวังว่าจะไม่ได้สร้างความลำบากให้จั๋วหม่าน้อยมากนักนะ”
บัดซบเอ๊ย นั่นเรียกไม่สร้างความลำบากมากนักหรือ ข้าเกือบจะถูกเจ้าตัวปลอมคนนั้นแย่งตำแหน่งจั๋วหม่าน้อยไปแล้วเถอะ!
เขาสกัดจุดเฉียวเวยกับต้าไป๋ จากนั้นหิ้วหนึ่งคนกับหนึ่งสัตว์ขึ้นรถม้า “ข้าหามีเจตนาร้ายต่อจั๋วหม่าน้อยไม่ ขอเพียงอวิ๋นจูยอมปล่อยเหยาจี ข้าก็จะปล่อยจั๋วหม่าน้อยไปอย่างไม่บุบสลาย”
สารเลว ไอ้สารเลวสมควรตาย !
สารถีย่อมไม่ใช่สารถีคนเดิมแล้ว แต่การสวมใบหน้าของสารถีจวนอ๋องย่อมทำสิ่งต่างๆ ได้สะดวกมากกว่า
พวกเขาถือป้ายคำสั่งเฉพาะที่จวนอ๋องมอบให้เฉียวเวยเดินอาดๆ ออกจากเมือง
ถ้ำสุสานในยอดเขาชังมั่วถูกการต่อสู้ของทั้งสองคนถล่มจนเกือบราบเป็นหน้ากลอง เหยาจวิ้นกำธนูจันทร์โลหิต ปากกระอักเลือดออกมาขณะที่ร่างล้มลงไปกองบนพื้นหิมะหนาวเย็น เกล็ดหิมะหนาเป็นผืนโปรยปรายลงมา หล่นร่วงลงในกองเลือดอุ่นร้อนของนาง เพียงชั่วพริบตาก็สลายเป็นน้ำโลหิตแอ่งหนึ่ง
นางมองอวิ๋นจูที่กำราบตนเองได้ในหนึ่งกระบวนท่าอย่างเหลือเชื่อ “เพราะเหตุใด…”
“เพราะเหตุใดน่ะหรือ” อวิ๋นจูเดินเข้าไปหาทีละก้าว พื้นรองเท้าสะอาดเหยียบบนพื้นหิมะอาบโลหิตของนางจนแดงฉาน ทิ้งรอยเท้าเปื้อนเลือดเด่นสะดุดตาชวนหวาดผวารอยแล้วรอยเล่าไว้ด้านข้าง
นางหยุดตรงหน้าเหยาจวิ้น แล้วหยิบธนูจันทร์โลหิตในมือเหยาจวิ้นขึ้นมา
เหยาจวิ้นคิดจะยื้อแย่ง แต่นางไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว
อวิ๋นจูสะพายธนูจันทร์โลหิตคันแรกไว้บนหลัง ส่วนธนูคันที่สองของตัวนางเองยังถือไว้ในมือ นางเก็บกระบี่เล่มหนึ่งขึ้นมาจากพื้น ชี้ไปหาเหยาจวิ้นแล้วบอกว่า “เพราะเหตุใดเจ้าก็เข้าใจดีมาตลอดไม่ใช่หรือ ข้าเกิดมาก็สูงกว่าเจ้าขั้นหนึ่ง ไม่อยากยอมรับมากสินะ”
เหยาจวิ้นโมโหจนกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ
อวิ๋นจูพูดต่อ “ไม่อยากยอมรับก็ไม่เป็นไร ข้าจะส่งเจ้าไปขอขมาลูกสาวข้าในนรกเดี๋ยวนี้ ลูกสาวข้าต้องต้อนรับเจ้าอย่างดีแน่ เจ้าไปอย่างสบายใจเถิด”
เหยาจวิ้นหัวเราะ “เจาหมิง…ฮ่าๆ …เจ้าไม่อยากได้ศพลูกสาวเจ้าคืนแล้วหรือไร”
กระบี่ของอวิ๋นจูยื่นไปพาดบนลำคอของนางอย่างเชื่องช้า “ข้าหาเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าบอก”
เหยาจวิ้นไม่เหลือแม้แต่ไพ่ใบสุดท้ายแล้ว นางลนลานทันที “อย่าฆ่าข้า!”
อวิ๋นจูเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าไม่มีค่าอะไรแล้ว ต่อให้มี ข้าก็ไม่ต้องการ”
สิ่งใดนางก็ไม่ต้องการทั้งสิ้น นางต้องการเพียงโลหิตของคนผู้นี้มาเซ่นสังเวยแด่เจาหมิงของนาง
“เจ้าไม่ต้องการศพของเจาหมิง แล้วเจ้าไม่ต้องการหลานสะใภ้ที่ตั้งครรภ์ของเจ้าด้วยหรือไม่”
เสียงคนแปลกหน้าเสียงหนึ่งดังขึ้นกลางคัน พร้อมกับที่เสียงนั้นลอยเข้ามาใกล้ เงาร่างสีเทาอ่อนร่างหนึ่งก็จับตัวเฉียวเวยเหินลงมาบนยอดเขาของภูเขาลูกน้อยฝั่งตรงข้าม เขายังสวมใบหน้าของอูมู่ตัวอยู่ ทว่าสิ่งนี้ไม่ทำให้อวิ๋นจูมองตัวจริงของเขาไม่ออก “เย่ว์หวา”
เขายิ้มน้อยๆ “พี่อวิ๋นยังจำข้าได้ ช่างเป็นโชคดีของสามชาติจริงๆ”
เฉียวเวยถูกสกัดจุดลมปราณใหญ่กับจุดใบ้ นางขยับไม่ได้แล้วก็ส่งเสียงไม่ได้ เฉียวเวยยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น หิมะเกล็ดหนาปลิวโปรยปรายทำให้ผู้อื่นมองเห็นสีหน้าของนางไม่ชัด
เขาคลายจุดใบ้ของเฉียวเวยแล้วบอกเฉียวเวยว่า “ท่านยายของเจ้าอยู่นั่นแหนะ ทักทายสิ”
เฉียวเวยไม่ส่งเสียงสักแอะ
เขาบีบปลายคางของนางแล้วยิ้มขู่ “ทักทาย ท่านยายของเจ้าสิ”
เฉียวเวยยังไม่ยอมส่งเสียงสักแอะ
แววตาของเขาดำทะมึนลง “หากไม่ส่งเสียงอีก ส่วนที่ข้าจะบีบต่อไปจะไม่ใช่คางของเจ้า แต่เป็นท้องของเจ้า”
เฉียวเวยมองเขาอย่างเย็นชา ในดวงตาไม่มีแววตายอมจำนนสักนิด
เขาจ้องเขม็งสบตากับเฉียวเวยอยู่หลายอึดใจ ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะแล้วคลายมือที่บีบปลายคางของเฉียวเวย ใบหน้าอมยิ้มพูดขึ้นมาว่า “ช่างเถิด ไม่พูดก็ไม่พูด”
กล่าวจบเขาก็หันไปมองอวิ๋นจูที่อยุ่ไกลๆ รอยยิ้มคลี่ออกกว้างกว่าเดิมแล้วพูดขึ้นว่า “พี่อวิ๋น ข้าจำได้ว่าท่านไม่ใช่คนขี้โมโหขนาดนี้นะ เหตุใดไม่พบหน้ากันไม่กี่ปีจึงกลายเป็นคนอารมณ์ร้ายเช่นนี้แล้วเล่า ข้าอยากจะคุยเรื่องในอดีตกับพี่อวิ๋นให้เพลิดเพลิน ไม่สู้พี่อวิ๋นปล่อยเหยาจี ข้าก็จะปล่อยหลานสะใภ้ของพี่อวิ๋น แล้วพวกเราไปนั่งสนทนากันที่ยอดเขาเชียนหลวนของข้า เป็นอย่างไร”
อวิ๋นจูทิ้งกระบี่ในมือ
เหยาจวิ้นกับชายหนุ่มสีหน้าผ่อนคลายลงทั้งคู่ ทว่าอึดใจต่อมาอวิ๋นจูกลับยกธนูจันทร์โลหิตในมือยิงใส่เฉียวเวยเต็มแรง!
“เจ้าบ้าไปแล้ว!” ชายหนุ่มหน้าถอดสีทันใด เขาหยิบโล่ชิ้นหนึ่งที่อยู่ด้านหลังออกมาขวางการโจมตีของอวิ๋นจูทันที
ในตอนที่ชายหนุ่มคิดว่านี่เป็นการกระทำที่เสียสติที่สุดของอวิ๋นจูแล้ว อวิ๋นจูกลับทำสิ่งที่เสียสติยิ่งกว่า นางใช้ลมปราณดูดกระบี่ยาวที่พื้นขึ้นมาแล้วตวัดกระบี่ฉับ ประกายโลหิตสาดกระเซ็น ศีรษะของเหยาจวิ้นกลิ้งหลุนๆ ลงมา