หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 26-2 ท่านพ่อราชันอสูร!
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 26-2 ท่านพ่อราชันอสูร!
ตอนที่ 26-2 ท่านพ่อราชันอสูร!
พ่อครัวทั้งหลายจึงถูกไล่ไปเช่นนี้ ก่อนหน้านี้องค์ชายสามไม่ได้มีนิสัยประหลาดเช่นนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ประเดี๋ยวเป็นอย่างนี้ ประเดี๋ยวเป็นอย่างนั้นก็พอจะเข้าใจได้
องค์ชายสามนำเฉียวเวยเข้าไปในห้องของตนเอง
บนรถม้าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูดื่มสุรานมม้ามากเกินไปจึงอยากปัสสาวะ ตอนนี้รถม้าจอดแล้วพวกเขาจึงรีบกลิ้งลงมาจากบนรถม้า เดินไปห้องน้ำอย่างสะลึมสะลือ
สัตว์ทั้งสี่ตัวก็อยากจะตามไปด้วย ทว่าน่าเสียดายพวกมันช้าไปก้าวหนึ่ง พ่อครัวทั้งหลายเข้ามาแล้ว
พ่อครัวทั้งหลายนำรถม้าที่บรรทุกสัตว์ทั้งสี่ตัวไปทางห้องครัว หลังจากนั้นก็เริ่มขนของลง
แพะหัน…ครึ่งตัว
เหตุใดจึงมีเพียงครึ่งตัว พ่อครัวฉงนงงงวย
สุรานมม้า…ครึ่งไหหรือ
เหตุใดแม้แต่สุราก็มีเพียงครึ่งไหเล่า
โชคดีที่ยังมีอินทรีทองหนึ่งตัว
ทำปีกอินทรีทองย่างได้
เพียงพอนสองตัว
ตัวหนึ่งนึ่ง ตัวหนึ่งทำราดน้ำแดงก็แล้วกัน
ส่วนลิงน้อยสีดำตัวนี้…อืม ทำสมองลิงสดๆ ได้
เมื่อเห็นวัตถุดิบปรุงอาหารมากมายเช่นนี้ พ่อครัวก็ไม่ติดใจว่าเหตุใดจึงมีแพะหันครึ่งตัวกับสุรานมม้าครึ่งไหอีกโ
พ่อครัวนำแพะหันครึ่งตัวนั้นไปหั่นใส่จาน ผู้ฝึกยุทธ์กระเพาะไม่อ่อนแอ เนื้อเย็นๆ ก็กินได้ พ่อครัวไม่คิดอันใดมาก หั่นเนื้อชิ้นน้อยออกมาลองชิม
แต่เดิมเขาดูแคลนอยู่เล็กน้อย อยากจะรู้ว่าฝีมือทำอาหารของเมืองเยี่ยเหลียงมีอะไรดีนักหนา องค์ชายสามถึงรังเกียจเดียดฉันท์ห้องครัวอันดับหนึ่งในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของเขา
รสชาติของเนื้อตอนเย็นแล้วย่อมสู้อาหารร้อนๆ ไม่ได้อยู่แล้ว
ทว่าเมื่อเนื้อชิ้นนั้นละลายบนปลายลิ้นของเขา เขาถึงตระหนักว่าตนเองผิดแล้ว
ส่วนที่เขาหั่นออกมาคือเนื้อที่นุ่มที่สุดด้านใน เครื่องปรุงกับเกลือและน้ำมันทาเข้ามาไม่ถึง มันรักษารสชาติดั้งเดิมของเนื้อแพะไว้ได้มากที่สุด ทว่ามันกลับไม่คาวสักเท่าไร นิ่มๆ เย็นๆ แฝงด้วยรสชาติอร่อยของตัวเนื้อและน้ำมัน
เขาจิ้มน้ำจิ้มที่อีกฝ่ายจัดมาคู่กัน รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ เข้าคู่กับเนื้อแพะชิ้นบางแสนอร่อยนี้ยิ่งนัก อร่อยจนทำให้คนอยากจะกลืนลิ้นของตนเองลงไปด้วย!
หากก่อนหน้านี้เขาคลางแคลงว่าองค์ชายสามอาจจงใจติดต่อกับคนข้างนอก ถ้าเช่นนั้นหลังจากชิมอาหารฝีมือของอีกฝ่าย เขาก็ไม่เหลือความสงสัยแม้แต่น้อยอีกต่อไป
หลังจากได้ลองลิ้มรสฝีมือการทำอาหารระดับนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็เริ่มรังเกียจตนเองที่ทำให้องค์ชายสามต้องลำบากฝืนอดทนมาเงียบๆ นานขนาดนั้น…
ฝั่งนี้พ่อครัวกำลังน้ำตาไหลกับความเอร็ดอร่อยของแพะหัน อีกด้านหนึ่งองค์ชายสามพาเฉียวเวย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานกลับมาที่ห้องของตนเอง
หลังจากเข้าห้อง องค์ชายสามก็ปิดประตู “พวกท่านมาได้อย่างไรกัน ระหว่างทางไม่พบใครเข้ากระมัง”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่มี การเดินทางหนนี้ค่อนข้างราบรื่น เวลากระชั้นชิด ข้าคงไม่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับเจ้าแล้ว หนนี้เป้าหมายสำคัญของพวกเรามีสองเรื่อง หนึ่งตามหาเคล็ดวิชาฝึกยุทธ์ที่ใช้สลายยาพิษของนักรบมรณะ อีกเรื่องหนึ่งคือช่วยราชันอสูร ข้าได้ยินท่านยายบอกว่าเคล็ดวิชาส่วนมากอยู่ในหอตำราลับ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหอตำราลับอยู่ที่ใด”
“รู้สิ!” หลายวันมานี้องค์ชายสามไม่ได้อยู่ในลัทธิศักดิ์สิทธิ์เฉยๆ เขาไม่มีอะไรทำก็ออกไปเดินเล่นจนทั่วลัทธิศักดิ์สิทธิ์ นอกจากอีกฝั่งของทะเลสาบอิ๋นหูก็ไม่มีสถานที่ใดที่เขายังไม่เคยไปเตร็ดเตร่ “หอตำราลับอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ หลังออกจากเรือนนี้ไปก็เลี้ยวขวา ตรงไป ตรงไป พอเห็นหอศิลาหลังที่สูงที่สุดก็ถึงแล้ว แต่หอตำราลับไม่ได้เข้าไปง่ายๆ”
เฉียวเวยครุ่นคิด “เจ้าเข้าไปได้หรือไม่”
องค์ชายสามตบหน้าอกเล็กๆ ของตนเองแล้วตอบว่า “แน่นอนได้สิ! แต่ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าต้องการตำราอะไร”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ไห่สือซานบอกว่า “พวกเราจะไปกับองค์ชายสามเอง”
“ได้หรือไม่” เฉียวเวยหันไปมององค์ชายสาม
องค์ชายสามพยักหน้า “ไม่มีปัญหา ขอเพียงข้าไม่บอกว่าจะออกไปจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ทำสิ่งใดล้วนอิสระทั้งสิ้น”
จวบจนตอนนี้เฉียวเวยก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดลัทธิศักดิ์สิทธิ์จึงปฏิบัติกับองค์ชายสามเช่นนี้ จะบอกว่ากักบริเวณเขาไว้ เขาก็ทำอะไรได้อิสระเสรีเกินไป แม้แต่หอตำราลับสถานที่อันเป็นความลับเช่นนี้บอกจะเข้าก็เข้าไปได้ ทว่าหากจะบอกว่าไม่ได้กักบริเวณเขา เขาก็ออกไปจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อีก
เฉียวเวยกุมมือของเขา “ไม่ว่าอย่างไรหนนี้เจ้าต้องออกไปพร้อมกับพวกเรา แม่ของเจ้าอยู่ที่จวนอ๋อง รอเจ้าอย่างทุกข์ใจนัก”
องค์ชายสามคิดถึงเสด็จแม่แล้วจึงตกลงอย่างว่าง่าย
“ราชันอสูร…” เฉียวเวยเพิ่งเอ่ยออกมาได้สองคำ เสียงของศิษย์หญิงก็ดังขึ้นนอกประตู “องค์ชายสาม แพะหันหั่นเสร็จแล้ว ให้ยกเข้าไปให้ท่านเลยหรือไม่เพคะ”
เฉียวเวยหยิบใบชาอัดก้อนชิ้นหนึ่งโยนเข้าไปในหม้อใบน้อยที่ต้มน้ำเดือด
“เข้ามาเถิด” องค์ชายสามตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ศิษย์หญิงยกเนื้อแพะหันเข้ามา นางมองเฉียวเวยอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นเฉียวเวยชงชาอยู่จริงๆ ก็ไม่พูดอันใดแล้วถอยออกไป
แต่นางไม่ได้ไปไหนไกล นางเงี่ยหูฟังอยู่ชิดกับบานประตู แอบฟังความเคลื่อนไหวของด้านใน
จะโทษนางรอบคอบเช่นนี้ก็ไม่ได้ ความจริงแล้วปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์สั่งไว้ว่าให้ระวังคนผู้ใดก็ตามที่เข้าใกล้องค์ชายสาม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยฟังความเคลื่อนไหวด้านนอกแล้วทำมือบอกให้คนด้านในห้องเงียบ จากนั้นลอบส่งสายตากับไห่สือซาน
ไห่สือซานเข้าใจจึงเดินไปที่ริมประตูแล้วตะเบ็งเสียง “หนนี้ข้าไปที่เมืองเยี่ยเหลียง ซื้อของเล่นบางอย่างกลับมาด้วย องค์ชายสามเชิญทอดพระเนตร สิ่งนี้คือ…”
เสียงของเขาดังมากจนหูของศิษย์หญิงถูกวางยาทันใด
เฉียวเวยกดเสียงเบาเอ่ยกับองค์ชายสามว่า “องค์ชายสามรู้หรือไม่ว่าราชันอสูรถูกขังอยู่ที่ใด”
ใบหน้าหล่อเหลาขององค์ชายสามยับย่นก่อนจะส่ายหน้า “ข้าไม่เคยได้ยินชื่อราชันอสูรอะไรนี่มาก่อน…”
ไห่สือซานตะเบ็งเสียงต่อ “ฮ่าๆ องค์ชายสาม ท่านดูสิน่าสนุกมากใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ศิษย์หญิงขมวดคิ้ว
เฉียวเวยกระซิบเสียงเบา “เขาถูกรานีอสูรกับพวกนักเวทศักดิ์สิทธิ์จับตัวไป”
“หากเป็นนักเวทศักดิ์สิทธิ์ล่ะก็…” องค์ชายสามทำท่าครุ่นคิด “ข้าพอจะรู้ว่าตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาตั้งอยู่ที่ใด แต่ราชันอสูรที่เจ้าพูดถึงจะถูกจับไปไว้ที่ตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ข้าก็ไม่กล้ารับประกัน”
เฉียวเวยหรี่ตาลง “ตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใด”
…
ตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ตรงใจกลางค่อนไปทางฝั่งใต้ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ รอบด้านมีหอศิลาสูงเด่นตั้งเรียงรายราวกับดาวล้อมเดือน หอศิลาแต่ละหลังมีศิษย์ลาดตระเวนคุ้มกัน เฝ้าจับตาดูสถานการณ์ของตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์อย่างใกล้ชิด
ส่วนเฉียวเวยก็กำลังจับตามองการเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่
ศิษย์ที่หอศิลาทางเหนือเปลี่ยนเวรแล้ว
เฉียวเวยพุ่งฉิวผ่านไป ไม่นานหอศิลาทางใต้ก็เริ่มเปลี่ยนเวรเช่นกัน
เฉียวเวยใช้ความเร็วสูงสุดแวบผ่านไปใต้หนังตาพวกเขา จนกระทั่งมาถึงประตูใหญ่ของตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ นางถึงส่งสัญญาณมือให้สือชีที่อยู่ไม่ไกล
สือชีเดินอาดๆ ไปทางตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์
เขาเป็นนักรบมรณะ ศิษย์ที่ลาดตระเวนจึงไม่สนใจเขามากนัก แต่พอมาถึงทางเข้าตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์ที่เฝ้าประตูก็ขวางเขาเอาไว้
ศิษย์เห็นเขาแปลกหน้าจึงยื่นมือออกมาถามหาป้ายคำสั่งของนักเวทศักดิ์สิทธิ์จากเขา นักรบมรณะที่ไม่มีป้ายคำสั่งของนักเวทศักดิ์สิทธิ์จะเข้าออกตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้
สือชีแสร้งทำเป็นคลำหาป้ายคำสั่ง ทว่าเขากลับฉวยจังหวะที่ศิษย์ไม่ระวังตัว ฟันฝ่ามืออันดุดันใส่เขาจนสลบ
หลังจากทำให้เขาสลบแล้ว สือชีก็เข้ามาแทนที่เขา เฝ้าประตูตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์อย่างสง่าผ่าเผย
ศิษย์ที่ลาดตระเวนอยู่เหล่านั้นหันกลับมาเห็นคนที่เฝ้าประตูกลายเป็นนักรบมรณะคนหนึ่งก็ไม่พูดอะไรแต่ลาดตระเวนต่อ
เมื่อศิษย์ที่ลาดตระเวนจากไป เฉียวเวยก็คว้าศิษย์ที่สลบไม่ได้สติคนนั้นเข้าไปด้านใน
เฉียวเวยหามุมหนึ่งลอกคราบเสื้อผ้าของอีกฝ่ายมาสวมให้ตัวเอง
เหตุเพราะเวลากระชั้นชิดและไม่ได้เตรียมอุปกรณ์มา การแปลงโฉมเป็นอีกฝ่ายจึงเป็นไปไม่ได้ เฉียวเวยได้แต่ก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้ตัวเองดูไร้ตัวตนที่สุด
โชคดีที่เวลานี้เป็นเวลาอาหารพอดี ศิษย์ทั้งหลายจึงไปเตรียมตัวรับประทานอาหารที่โรงอาหาร นางจึงพบศิษย์อยู่ไม่กี่คน บางครั้งที่พบ เฉียวเวยก็ค้อมกาย ผงกศีรษะให้ด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจแล้วผ่านไปอย่างปลอดภัย