หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 29-1 ช่วยราชันอสูร (3)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 29-1 ช่วยราชันอสูร (3)
ตอนที่ 29-1 ช่วยราชันอสูร (3)
เฉียวเวยไม่รู้จักแม่เฒ่าคนนี้ แต่องค์ชายสาม เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานจำได้เหมือนเรื่องเพิ่งเกิด เมื่อครู่ แม่เฒ่าคนนี้ก็คือคนที่จับพวกเขาได้ที่เกาะอิ๋นหู
ทว่าแม่เฒ่าปล่อยพวกเขาไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุไฉนจึงไล่ตามมาอีก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลูบหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้า ยังไม่หลุด ยังอยู่ดี จากนั้นจึงกระแอมในลำคอเอ่ยกับท่านแม่เฒ่าว่า “ท่านแม่เฒ่า พวกเรายังไม่ทันทำสิ่งใดทั้งสิ้น หลังจากขึ้นฝั่งมาก็ไม่ได้หวนกลับไปอีกเลย”
เฉียวเวยมองเขาอย่างประหลาดใจ “พวกเจ้ารู้จักหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบอกเสียงเบา “นางคือแม่เฒ่าคนนั้นบนเกาะที่เมื่อครู่เล่าให้ท่านฟัง”
เฉียวเวยพยักหน้า แม่เฒ่าแห่งเกาะอิ๋นหูที่จับพวกเขาได้แล้วแต่เดิมคิดจะสังหารเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซาน แต่สุดท้ายถูกองค์ชายสามใช้ความน่ารักเข้าออดอ้อนจนยอมละเว้นชีวิตพวกเขาทั้งสองคน นางปล่อยพวกเขาไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุไฉนจู่ๆ จึงตามมาหาอีกเล่า
เฉียวเวยลังเลระหว่างการสวมบทบาทแม่ครัวต่อกับการเปิดเผยตัวตนอยู่สองชั่วอึดใจ สุดท้ายก็เลือกจะปิดบังตัวตนเอาไว้ก่อน หากปิดไว้ไม่อยู่ค่อยแก้สถานการณ์อีกที
ไหนเลยจะคิดว่าเพิ่งอ้าปาก แม่เฒ่าก็พูดออกมาเป็นภาษาจงหยวนว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่แม่ครัว ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เฉียวเวยเม้มริมฝีปาก
แม่เฒ่าถือไม้เท้าเดินเข้ามา สายตาคมกริบกวาดผ่านร่างของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานทีละคน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานถูกมองจนหัวใจขนลุกซู่ คงไม่ใช่ว่าแม่เฒ่าคนนี้นึกเสียใจทีหลัง เลยตั้งใจจะมาจัดการพวกเขาหรอกนะ
แม่เฒ่ามองพลางขมวดคิ้ว นางเดินไปตรงหน้าทั้งสองคนแล้วยกมือผอมแห้งที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นไปทางเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเป็นคนแรก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขยับหลบ
มือของแม่เฒ่าชะงักกลางอากาศ
แม่เฒ่ายื่นมือออกมาอีกหน หนนี้เขาหลบไม่ทัน
มือของแม่เฒ่าจับตรงกลางหว่างคิ้วของเขา ไม่รู้ว่านางทำสิ่งใด แต่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่รู้สึกผิดปกติที่ตรงไหน เพียงรู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ชวนให้กระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อยเท่านั้น
“ไม่ใช่” แม่เฒ่าชักมือกลับอย่างผิดหวัง แล้วจับหน้าผากของไห่สือซานต่อ
ไห่สือซานยืนนิ่งอย่างว่าง่าย
ถึงแม่เฒ่าคนนี้ดูอายุมาก แต่หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้
ท่านแม่เฒ่าชักมือกลับไปอย่างผิดหวังอีกครั้งโ
ทุกคนมองหน้ากัน ต่างคนต่างมองเห็นความฉงนงงงวยในแววตาของอีกฝ่าย แม่เฒ่าคนนี้คิดจะทำสิ่งใดกันแน่ คงไม่ได้กังวลว่าพวกเขาจะต้องลมเย็นที่ทะเลสาบจนต้องวิ่งมาดูว่าพวกเขาไข้ขึ้นหรือไม่กระมัง
ไห่สือซานตวัดมือกลับไปประคองร่างพิษบนหลังอย่างไม่รู้ตัว เจ้าสิ่งนี้เป็นของล้ำค่าของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ หากถูกแม่เฒ่าคนนี้จับได้ว่าพวกเขาขโมยของล้ำค่าของลัทธิศักดิ์สิทธิ์มา ไม่แน่นางอาจคิดจะจัดการพวกเขาอีกหนก็ได้
ทว่าไห่สือซานคิดมากเกินไปแล้ว แม่เฒ่าไม่สนใจมอง ‘สิ่ง’ ที่อยู่บนหลังของเขาสักนิด นางเดินเนิบนาบสองสามก้าว แล้วหันไปมององค์ชายสามที่อยู่ด้านข้าง แล้วพึมพำขึ้นมาว่า “คงไม่ใช่เจ้าหรอก”
องค์ชายสามถามอย่างประหลาดใจ “แม่เฒ่าท่านพูดเรื่องอะไรกัน”
แม่เฒ่าไม่ตอบคำ แววตาของนางวูบไหวแล้วเลื่อนสายตาไปจับบนร่างของเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
สัญชาตญาณของเฉียวเวยไม่ต้องการให้ลูกน้อยของตนถูก ‘หมายตา’ นางจึงก้าวออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่งบังสายตาของแม่เฒ่าเอาไว้ จากนั้นมองแม่เฒ่าแล้วตอบอย่างไม่หยิ่งยโสแต่ก็ไม่หวั่นเกรง “แม่เฒ่าท่านนี้ที่แท้ต้องการทำสิ่งใดกันแน่ หากคิดจะเปิดโปงพวกเรา ก็เชิญไปเปิดโปงเสียตอนนี้”
แม่เฒ่ามองเฉียวเวยแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “สายเลือดราชาเฮ่อหลัน”
เฉียวเวยตกใจจนสูดลมหายใจดังเฮือก นางแปลงโฉมตนเองจนหน้าตาอัปลักษณ์ขนาดนี้แล้ว คนผู้นี้มองตัวตนของนางออกได้อย่างไรกัน
แม่เฒ่าเก็บสายตากลับมาแล้วเอ่ยอย่างไม่แยแส “พวกเจ้าไปเถิด”
ทุกคนแลกสายตากัน พวกเขาต่างไม่เข้าใจว่าแม่เฒ่าคนนี้กำลังมาไม้ไหนกันแน่ ทว่าในเมื่อนางยอมปล่อยพวกเขาไป พวกเขาก็มีแต่ต้องไปเท่านั้น เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดก็คือด้านนอกมีกองทัพพันทหารหมื่นอาชาดักซุ่มอยู่ แต่นั่นก็ยังดีกว่านั่งรอความตาย
พวกเขามุ่งหน้าออกไปข้างนอกต่อ
ทว่าตอนที่องค์ชายสามกำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู แม่เฒ่าก็เอ่ยขึ้นมาว่า “องค์ชายสามต้องอยู่ที่นี่”
เฉียวเวยหยุดฝีเท้า หันกลับมาอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดเขาต้องอยู่ที่นี่”
แม่เฒ่าตอบว่า “หากพวกเจ้าพาเขาไป พวกเจ้าไม่มีทางหนีออกไปได้”
“เพราะเหตุใด” เฉียวเวยจี้ถาม
แม่เฒ่าไม่ตอบคำถามของเฉียวเวย แต่จ้องเฉียวเวยเขม็ง “เขาจะไม่เป็นอะไร ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางทำร้ายเขา”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเย็นชา “ขังคนเอาไว้ที่นี่ ไม่ให้ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับบิดามารดาบังเกิดเกล้า นี่เรียกว่าไม่ทำร้ายเขาหรือ พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าในใจเขาจะรู้สึกเช่นไร ความทุกข์ทรมานในใจ ไม่ใช่การทำร้ายรูปแบบหนึ่งหรือ”
แม่เฒ่าทอดเสียงยาวบอกว่า “สาวน้อย ทางที่ดีเจ้าว่าง่ายๆ ปล่อยเขาไว้ที่นี่เสียเถิด ดีทั้งกับเจ้าและกับเขา”
เฉียวเวยคว้ามือขององค์ชายสามมากุมไว้ “หากข้าดึงดันจะพาเขาไปด้วยเล่า”
องค์ชายสามพูดขึ้นมาเสียงเบา “พี่สะใภ้ พวกท่านไปกันเถิด แต่เดิมข้าก็ไม่ได้อยากจะไปอยู่แล้ว”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “เจ้าจะไม่อยากไปได้อย่างไรกัน”
องค์ชายสามตอบว่า “ข้าไม่อยากไปจริงๆ”
เฉียวเวยสวนว่า “เชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว”
แม่เฒ่าแค่นเสียงหยันอย่างเย็นชา “ข้าไม่ได้ขู่ให้กลัว แต่เขาเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ จุดจบของการทรยศลัทธิศักดิ์สิทธิ์ เจ้าคงไม่อยากจะเห็นนัก”
เฉียวเวยถามอย่างแปลกใจ “เขาจะเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไรกัน”
องค์ชายสามก็ทำหน้ามึนงงด้วย เขาคิดในใจว่า นั่นสิ ข้าเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร บนตัวข้าไม่มีตราสัญลักษณ์ดอกบัวแดงอะไรนั่นสักหน่อย!
แม่เฒ่ากระชากมือขององค์ชายสามออกมาจากมือของเฉียวเวย “พวกเจ้าไปเสียเถิด ข้ารับรองว่าจะไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา”
องค์ชายสามหันกลับมามองเฉียวเวยหนหนึ่ง ก่อนจะถูกแม่เฒ่าจูงเดินจากไป
ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยหันมามองเฉียวเวยพร้อมกัน
เฉียวเวยยืนนิ่งมองแผ่นหลังของคนทั้งสองเดินจากไป แล้วเอ่ยตอบด้วยสีหน้าซับซ้อน “ไปกันเถิด เขาอยู่ที่นี่คงจะไม่เป็นอะไรจริงๆ เขาอยู่ทางฝั่งนี้ ยังใช้มาบีบบังคับพวกเราได้ แต่หากเขาถูกพวกเราบังคับพาตัวไปจนเสียคุณค่าที่สมควรมี บางทีอาจจะเกิดอันตรายขึ้นจริงๆ ก็ได้”
ทว่าต้องมีสักวัน…ต้องมีสักวันนางจะพาเขาจากไปให้ได้!
ทั้งสามคนฉวยโอกาสยามโกลาหลหนีออกไปจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์
ยามตะวันพลบทุกคนก็เดินทางมาถึงจวนอ๋อง สิ่งที่ไม่ผิดจากที่คาดก็คือวั่งซูกับราชันอสูรกลับมาแล้ว คนตัวใหญ่กับคนตัวเล็กนอนหลับบนรถม้ามาเต็มอิ่ม ตอนนี้จึงกำลังคึก วิ่งไปเล่นหิมะที่ด้านหลังเรือน
แน่นอนว่ามีสิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงอยู่ด้วย ตัวอย่างเช่น…การเห็นราชครูนั่งอยู่ที่โถงบุปผา
เฉียวเวยเหล่มองราชครูอย่างเย็นชา แล้วเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทีเฉยเมย “เจ้ายังกล้ามาหาถึงเรือนอีกหรือ หนก่อนจับเจ้าในเมืองอวิ๋นจงไม่ได้ หนนี้เจ้าคิดจะเอาตัวมาติดตาข่ายเองหรือไร”
ในโถงบุปผา นอกจากราชครูแล้วยังมีฟู่เสวี่ยเยียนที่เฝ้าราชครูมาตลอดอยู่ด้วย
ฟู่เสวี่ยเยียนบอกเฉียวเวยว่า “ราชครูเป็นคนพาวั่งซูกับราชันอสูรกลับมาส่ง”
แล้วก็สือชีด้วย แต่สือชีไล่ตามพวกเขามาทันกลางทาง ดังนั้นหากจะพูดให้ถูกต้องก็คือเรื่องนี้เป็นคุณงามความชอบของราชครูจริงๆ ที่ทำให้วั่งซูกับราชันอสูรหนีออกมาจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้
เฉียวเวยนั่งลงข้างฟูเสวี่ยเยียน จากนั้นมองท่านราชครูอย่างคลางแคลงใจ “เจ้าจะเล่นลูกไม้อะไรอีก คิดจะใช้ประโยชน์จากเรื่องหนนี้แทรกซึมเข้ามาในค่ายศัตรูหรือ”
ภาษาจงหยวนของราชครูไม่ดีเท่าไรนัก เขาใช้ภาษาเยี่ยหลัวพูดออกมาท่อนหนึ่ง ฟู่เสวี่ยเยียนแปลให้ว่า “เขาไม่เคยรู้ว่าตนเองเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ หนนี้เดินทางกลับมาถึงเยี่ยหลัวแล้วเพิ่งจะถูกคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์พาตัวกลับไป”
“ดังนั้น?” เฉียวเวยเอ่ยถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบเสียงเบา “ดังนั้นเขาน่าจะกำลังพยายามบอกว่าเขาเองก็โกรธมาก”
เป็นราชครูอย่างตั้งอกตั้งใจมาหลายสิบปี แต่สุดท้ายตนเองกลับกลายเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ความรู้สึกเช่นนี้ประหนึ่งว่าถูกถีบลงมากหอคอยเทพ หากเป็นคนธรรมดาบางทีอาจจะยอมจำนนต่ออำนาจและสิ่งยั่วยวนมากมายของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แต่ราชครูผู้หยิ่งทะนงไฉนจะยอมรับความแตกต่างเช่นนี้ได้
ความไม่พอใจที่ราชครูมีต่อลัทธิศักดิ์สิทธิ์เริ่มหยั่งรากตั้งแต่วันที่รู้ความจริงแล้ว เพียงแต่เขาไร้อำนาจจึงไม่อาจขัดขืนอะไรได้
ราชครูไม่ชอบคนตระกูลจี แต่เขาไม่ชอบลัทธิศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งกว่า เขาไม่เคยเป็นคนที่ยอมจำนนต่อชะตาชีวิต หากเขารู้จักยอมแพ้ เขาคงไม่กล้าส่งนักรบมรณะไปโจมตีตระกูลจีโดยพลการทั้งที่ราชาเยี่ยหลัวไม่เห็นด้วย
ตาเฒ่าคนนี้ดูเหมือนว่านอนสอนง่าย แต่ความจริงในกระดูกมีแต่ความหัวขบถ
เฉียวเวยครุ่นคิดแล้วถามว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าเพิ่งรู้เรื่องลัทธิศักดิ์สิทธิ์เมื่อไม่นานมานี้ แต่ในอดีตตอนเหยาจวิ้นออกคำสั่งให้ใส่ร้ายป้ายสีอวิ๋นจู เจ้าก็ร่วมมือจนไร้พิรุธไม่ใช่หรือ”
ท่านราชครูพูดอะไรออกมาสองสามประโยค ฟู่เสวี่ยเยียนแปลออกมาว่า “เขาบอกว่า เขาไม่ได้โกหก คืนนั้นเขาดูคำทำนายจากดวงดาว เห็นว่าเยี่ยหลัวจะย่อยยับในมือลูกของอวิ๋นจูจริงๆ”
“เช่นนั้นหรือ” เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ก็พูดถูกอยู่นะ พวกเรามาเพื่อทำลายเยี่ยหลัว”
นี่ย่อมเป็นคำพูดจากความโมโห
ลูกของอวิ๋นจู คนหนึ่งตายไปแล้ว คนหนึ่งก็จิตใจดีงามไร้พิษภัยเหมือนกระต่ายขาวตัวน้อยตัวหนึ่ง จะทำลายอะไรได้เล่า
ทว่าหากจะป้องกันไม่ให้คำทำนายเกิดขึ้นจริง การสังหารเจาหมิงเสียตั้งแต่แรกก็อาจเป็นโอกาสดีหนหนึ่งที่จะช่วยเยี่ยหลัว
เฉียวเวยไม่เชื่อโชคชะตาและไม่เชื่อคำพูดขู่ให้กลัวของคนเหล่านี้ ไม่ว่าเจาหมิงจะตายเพราะเหตุใด เพราะความริษยาของเหยาจวิ้น เพราะความหวาดกลัวของเยี่ยหลัว หรือเพราะเป้าหมายบางอย่างที่ไม่อาจบอกผู้ใดได้ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แต่นางก็ตายไปแล้ว
“มีมิตรเพิ่มมาคนหนึ่งย่อมดีกว่ามีศัตรูเพิ่มมาคนหนึ่ง” ฟู่เสวี่ยเยียนบอก
เฉียวเวยพยักหน้า ลัทธิศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งมากพอแล้ว มีศัตรูน้อยลงคนหนึ่งย่อมเป็นกำไรของพวกเขาแล้วจริงๆ “เจ้าพาคนออกมา ใช้เวลาไม่นานเท่าไรลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็คงตรวจสอบมาถึงหัวเจ้า เจ้าคิดจะกลบเกลื่อนอย่างไร หรือว่า…เจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะตัดขาดกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อย่างเปิดเผย”
ราชครูส่ายหน้าแล้วบอกฟู่เสวี่ยเยียนสองสามประโยค ฟู่เสวี่ยเยียนแปลตามตรง “เขาบอกว่า พวกเราลอบเข้าไปในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ทุบเขาจนสลบ จากนั้นแปลงโฉมเป็นเขา ใช้ตะปูสะกดวิญญาณทำร้ายปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นก็พาตัวราชันอสูรกับวั่งซูจากไป ‘ราชครู’ ที่ถูกประมุขเย่ว์หวาขวางไว้ตรงประตูลัทธิก็คือพวกเจ้าที่ปลอมตัวอยู่”
เฉียวเวยมุมปากกระตุก จิ้งจอกเฒ่าโยนบาปใส่หัวคนอื่นเก่งใช้ได้เลยนี่!
ราชครูจิบชาอย่างเชื่องช้า
ใช่แค่โยนบาปให้เสียที่ไหน แม้แต่หลักฐานอย่างตะปูสะกดวิญญาณราชครูก็เตรียมตัวโยนไว้ให้พร้อมหมดแล้ว
ไม่เช่นนั้นเขาจะบอกกันว่าขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดหรือ
เฉียวเวยไม่ถือสาที่เขาจะโยนบาปมาให้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขากับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สู้กันไม่ตายไม่เลิกรามานานแล้ว มีความแค้นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเรื่องก็ไม่ได้แค้นกันมากขึ้น มีความแค้นน้อยลงหนึ่งเรื่องก็ใช่ว่าจะแค้นกันน้อยลง แต่หากทำให้ได้พันธมิตรมาคนหนึ่ง ไยจะไม่ยินดีทำเล่า
หลังจากเตี๊ยมเรื่องราวให้ตรงกันแล้ว ราชครูก็ลุกขึ้นเดินออกไป
จิ่งอวิ๋นยังหลับสนิทอยู่ เฉียวเวยไปที่ห้องของอวิ๋นจูกับฮองเฮาเยี่ยหลัว แต่เดิมอยากจะพูดกับท่านน้าเรื่ององค์ชายสาม คิดไม่ถึงว่าท่านน้าก็หลับอยู่เหมือนกัน เฉียวเวยจึงบอกอวิ๋นจูว่า “…ขออภัยยิ่ง ที่พาเขากลับมาไม่ได้”
อวิ๋นจูชะงัก แล้วบอกว่า “เจ้าไม่ต้องโทษตนเอง เขาอยู่ที่นั่น ไม่มีทางเป็นอะไรแน่”
เฉียวเวยฉงน “เหตุใดท่านยายจึงกล่าวเช่นนี้”
อวิ๋นจูอ้าปาก “เขาเป็น…”
เขาเป็นอะไร
เฉียวเวยมองอวิ๋นจูอย่างงงงวย รอคอยฟังคำอธิบายที่ละเอียดกว่านี้จากปากของอวิ๋นจู แต่อวิ๋นจูกลับไม่ยอมพูดต่อ