หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 45-1 ชัยชนะ (2)
ตอนที่ 45-1 ชัยชนะ (2)
พลังการระเบิดของราชันอสูรกระทั่งอวิ๋นจูก็ยังชื่นชมไม่ขาดปาก อวิ๋นจูเคยบอกว่าเขาเคยให้คนทำลายจุดตันเถียน และเป็นยอดฝีมือคนแรกที่หล่อตันเถียนขึ้นมาใหม่ได้ กระทั่งเรื่องที่เป็นไปไม่ได้นี้ราชันอสูรยังทำได้ กับแค่เอาชนะรานีอสูรที่วรยุทธ์เหนือกว่าตนขั้นหนึ่งนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ราชันอสูรเปิดการต่อสู้วันที่สองได้ดี คณะของเฉียวเวยยินดียิ่งนัก รานีอสูรพ่ายแพ้แล้ว เจ้าลัทธิผู้ยิ่งใหญ่สิ้นท่าแล้ว สถานการณ์ในเวลานี้ ขอเพียงอวิ๋นจูไม่ออกหน้า ก็คงไม่มีใครทำอะไรเขาได้แล้ว
แต่เมื่อใดก็ตามที่อวิ๋นจูออกหน้า จักรพรรดิอสูรก็จะออกมารับศึก เฉียวเวยเชื่อว่าความสามารถของจักรพรรดิอสูรอยู่เหนือกว่าอวิ๋นจู ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าเกรงกลัวอะไรหากทั้งสองคนจะประฝีมือกัน
หลังจากนี้น่าจะเป็นพวกเขาที่ชนะไปจนสุดท้ายแล้ว
แต่กระนั้นความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า ความเชื่อของพวกเขาออกจะตาบอดไปสักหน่อย
ในแต่ละวัน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอเพียงเอาชนะได้สามรอบ ก็จะได้รับชัยชนะของวันนั้นไป ราชันอสูรเอาชนะรานีอสูรได้แล้ว แค่ชนะใครอีกสักสองคน วันนี้ก็สามารถประกาศชัยชนะได้แล้ว
พวกเขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะยังส่งใครที่เก่งกาจกว่านี้ออกมาได้ สุดท้ายก็ส่งนักเวทที่ไม่น่าสนใจเลยจริงๆ
เป็นที่รู้กันดีว่า นักเวทเป็นศัตรูตัวฉกาจของราชันอสูร วรยุทธ์ของพวกเขาเดิมทีก็ไม่ได้กล้าแกร่งอะไรอยู่แล้ว จะยากก็ตรงที่วิชาที่พวกเขาฝึกรวมถึงอาวุธที่พวกเขาใช้ ทั้งหมดล้วนออกแบบมาเพื่อใช้เอาชนะนักรบมรณะทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่า เมื่อมาถึงขั้นราชันอสูร นักเวททั่วไปทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว ครั้งก่อนตอนถูกลากไปจากริมแม่น้ำ เป็นเพราะเขาว่ายน้ำไม่เป็น ครั้งนี้อยู่บนบก เขาจะยังให้นักเวทน่ารังเกียจคนหนึ่งรังแกได้อีกหรือ
แต่ที่คาดไม่ถึงเลยก็คือ อาวุธประเภทแรกของนักเวทน่ารังเกียจ ก็ทำให้ราชันอสูรตาค้างได้แล้ว
เข็มเงินที่ส่องประกายคือตะปูสะกดวิญญาณสิบแปดตัวชัดๆ!
ฝีเท้าของราชันอสูรพลันชะงักค้าง
นักเวทผู้นี้เดิมทีก็เป็นผู้สืบทอดของปรมาจารย์เวทอยู่แล้ว เวลานี้พอเกิดเรื่องกับปรมาจารย์เวท เขาจึงกลายเป็นปรมาจารย์เวทคนใหม่ไปโดยปริยาย และย่อมได้รับการสืบทอดสมบัติทั้งหมดของปรมาจารย์เวทด้วย หนึ่งในนั้นก็คือตะปูสะกดวิญญาณชุดนี้
ตะปูสะกดวิญญาณสามารถทำให้ราชันอสูรหืดจับได้แล้ว แต่กระนั้นเขาก็ยังบวงสรวงจนได้ตะปูสะกดวิญญาณแปดทิศออกมาอีก ราชันอสูรถูกควบคุมจนไม่สามารถขยับตัวได้ กำลังภายในทั้งหมดอัดแน่นอยู่ตรงตันเถียน ไม่สามารถเคลื่อนออกมาใช้ได้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโมโหจนตบฉาดใส่รั้วระเบียง! เอ่ยด้วยความรังเกียจว่า “เจ้าพวกเศษสวะ! รู้จักแต่ใช้วิธีการชั่วช้า! เก่งจริงก็ใช้หอกใช้ทวนของจริงมาสู้กันสิ!”
คนเขาสามารถเอาชนะได้แน่ๆ เหตุใดถึงต้องเสี่ยงด้วย แน่นอนว่าแบบไหนง่ายก็ต้องเอาแบบนั้น
เฉียวเวยเพ่งมองไปบนแท่นประลอง ไม่ได้พูดอะไร
การประลองยกนี้ สุดท้ายเป็นราชันอสูรที่พ่ายแพ้ไป
ลัทธิศักดิ์สิทธิ์กับอวิ๋นจูชนะกันไปคนละยก หลังจากนี้ก็ต้องดูว่าใครจะได้อีกสองยกที่เหลือก่อน
ราชันอสูรไพ่ตายที่พวกเขาถืออยู่ ราชันอสูรไม่ล้มลงด้วยมือรานีอสูร ใครจะคิดว่าจะมาพ่ายแพ้ในมือนักเวทคนหนึ่งได้
เฉียวเวยขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พวกเราประเมินความสามารถของนักเวทต่ำไป”
มิน่าเล่ายิ่นอ๋องถึงทำหน้าว่าข้าชนะแน่ หลายปีมานี้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์สามารถกระทำเรื่องเลวทรามได้มากมายเพียงนั้น ซ้ำยังยื่นมือเข้าไปในชนเผ่าลึกลับกับวังหลวงต้าเหลียงได้อย่างไร้ร่องรอยนั้น จะไม่มีรากฐานเลยสักนิดนั้นเป็นไปไม่ได้
เป็นพวกเขาที่ชะล่าใจไปเอง คิดว่าจำกัดปรมาจารย์เวทได้ ทั้งยังกำจัดรานีอสูรได้อีก อย่างไรราชันอสูรก็ชนะใสๆ แล้ว
“ไม่ได้บอกว่าวรยุทธ์ของนักเวทไม่สู้จะเก่งกาจนักมิใช่หรือ ข้าเห็นว่าพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนคน ไม่สู้ให้ข้าไปดีหรือไม่” ไห่สือซานรับอาสาเดินออกมา
เมื่อวานเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับอาต๋าเอ่อร์พ่ายแพ้ไปแล้ว ดูจากสถานการณ์ในเวลานี้ก็มีเพียงไห่สือซานที่ส่งไปสู้ได้แล้ว
วรยุทธ์ของไห่สือซานล้ำเลิศเท่าอีกสองคนไม่ได้ แต่การจะรับมือนักเวทสักคนน่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ใครที่จะเป็นอย่างอวิ๋นจูที่ทั้งมีความสามารถของนักเวทและมีสายเลือดของจอมเวท
วรยุทธ์ของนักเวทผู้นี้ไม่ได้ล้ำเลิศนักจริงๆ แต่ที่ไม่มีใครคาดคิดก็คือ เขาถึงขั้นวางแมลงกู่ใส่ไห่สือซาน ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
การประลองยกนี้ ไห่สือซานจึงแพ้ย่อยยับ
ไห่สือซานเดินกลับมาบนอัฒจันทร์ด้วยความรู้สึกผิด เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตบไหล่อีกฝ่าย “เจ้าเด็กนั้นใช้วิธีสกปรก!”
วิธีสกปรกแล้วอย่างไร เขาก็ใช้ได้เช่นกัน เพียงแต่เขาไม่มีกระทั่งโอกาสได้ออกอาวุธเลยด้วยซ้ำก็ถูกอีกฝ่ายวางแมลงกู่ใส่เสียแล้ว
ราชันอสูรกับไห่สือซานแพ้ราบหมดแล้ว หากแพ้อีกยก วันนี้จะถือว่าพวกเขาแพ้แล้ว
อวิ๋นจูคว้าธนูจันทร์โลหิตออกมา
“ท่านยาย ข้าไปแล้วกัน” เฉียวเวยจับข้อมือนางไว้ “ข้าเอาชนะเขาได้”
อวิ๋นจูเหลือบมองแท่นประลองที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “เจ้าเอาขนะเขาได้ไม่มีประโยชน์ เจ้าเอาชนะคนผู้นั้นได้หรือ”
เฉียวเวยมองตามสายตาของอวิ๋นจูไป นางเห็นกงซุนฉางหลีที่หน้าตาเรียบเฉย หัวใจนางเต้นผิดจังหวะ หรือว่าพวกเขาจะส่งกงซุนฉางหลีมาเล่นงานนาง
มุมปากของยิ่นอ๋องปรากฏรอยยิ้มเยาะ ถูกต้อง ข้าจะส่งกงซุนฉางหลีไปเล่นงานเจ้านี่แหละ!
เฉียวเวยเอาชนะกงซุนฉางหลีไม่ได้ และเวลาอยู่ต่อหน้าธารกำนัล กงซุนฉางหลีไม่มีทางออมมือแน่นอน มิเช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะไม่ถูกเปิดเผยเอาหรือ
สุดท้ายของท้ายสุด เฉียวเวยก็ยอมให้อวิ๋นจูออกไป
อวิ๋นจูขึ้นสังเวียน ต่อให้เป็นนักเวทที่เก่งกาจกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้ พอธนูจันทร์โลหิตง้างออก นักเวทก็ถูกยิงกระเด็นออกนอกแท่นบวงสรวงทันที
อวิ๋นจูเอาชนะกลับมาได้หนึ่งยก ยังเหลือยกสุดท้าย หากชนะยกนี้ได้ ชัยชนะวันนี้ก็จะเป็นของพวกเขาแล้ว
ในเมื่ออวิ๋นจูลงสนามแล้ว ก็ไม่คิดจะลงจากสังเวียนทันที นางกำลังรอคู่ต่อสู้คนต่อไปของตน อยากเห็นว่าวันนี้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะส่งคนแบบไหนออกมาอีก จะเป็นศิษย์หรือนักรบมรณะ หรือจะเป็นมนุษย์พิษ
แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่ทั้งหมด
“ท่านยาย สบายดีนะ” ยิ่นอ๋องอมยิ้มเดินขึ้นมาบนแท่นประลอง
มือที่ถือธนูจันทร์โลหิตอยู่ของอวิ๋นจูก็พลันกำแน่น
สายตาของเฉียวเวยเปลี่ยนเป็นดุดัน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดือดจัด “อ๊า ไอเจ้าชั่วนี่ เขารู้หรือไม่ว่าอวิ๋นฮูหยินเป็นท่านยายของเขาน่ะ เขายังกล้าขึ้นมาประลองกับอวิ๋นฮูหยินอีกหรือ เขาคิดอะไรอยู่ สมองเขาพังพินาศไปแล้วหรือ”
สายตาของเฉียวเวยหยุดมองยิ่นอ๋อง เขาไม่ได้สมองพังพินาศหรอก แต่เขาเล็งจุดตายของอวิ๋นจูไว้ได้แล้วมากกว่า เขารู้ว่าอวิ๋นจูทำใจโหดร้ายกับเขาไม่ได้ จึงใช้โอกาสนี้อาศัยจุดอ่อนของอีกฝ่ายออกมาต่อสู้
เวลานี้หวังเพียงว่าท่านยายอย่าได้ตกหลุมเขา จิ้งจอกตาใสประเภทนี้ต่อให้ซัดเขาหมอบก็เป็นเขาที่หาเรื่องเอง!
เฉียวเวยหวังจากใจจริงว่าอวิ๋นจูจะสามารถจัดการยิ่นอ๋องได้อยู่หมัด ถึงอย่างไรคนประเภทที่เป็นเจ้าสำนักน้อยแต่สามารถชักดาบเข้าใส่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นท่านยายของตนได้ เอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีอะไรให้น่าเห็นใจ ขอเพียงอวิ๋นจูไม่อ่อนให้ โดนธนูเข้าไปสักสองดอก ชีวิตของเขาก็คงปลิดปลิวได้แล้ว
สวรรค์โปรดคุ้มครอง ท่านยาย ท่านอย่าได้ใจอ่อนเชียวนะ
ทั้งสองฝ่ายเวลานี้ต่างคนต่างชนะกันไปคนละสองยก นี่เป็นยกสุดท้ายของวันนี้ ผู้ใดชนะ ฝ่ายที่ผู้นั้นอยู่ก็จะได้รับชัยชนะของวันนี้ไป
เสียงกลองดังขึ้น ยิ่นอ๋องกับอวิ๋นจูเริ่มประลองฝีมือกัน