ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 155 ไม่ยอม
นายหญิงอู๋กำลังอัดอั้นตันใจ ได้ยินคนสกุลเฉินถามเช่นนี้ ก็คิดขึ้นมาได้ว่าคนสกุลเฉินไม่ใช่คนปากโป้ง จึงไม่กังวลอะไร ไล่สาวใช้ออกไป ก่อนจะนินทาสกุลเสิ่นขึ้นมา “…ได้ยินว่าอาจารย์เสิ่นมาหลินอันก็เพราะว่าไม่อยากอยู่ใต้ชายคาเดียวกับนายหญิงเสิ่น เจ้าว่า ผู้หญิงทำเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรกัน แต่ข้าว่านายหญิงเสิ่นที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย คงไม่คิดว่าตัวเองทำผิดสักนิด อย่าพูดเลยว่ายามปกติเป็นห่วงเรื่องที่พักของอาจารย์เสิ่น กระทั่งคำพูดดีๆ ก็ยังไม่มีให้กันเลยกระมัง”
คนสกุลเฉินตกตะลึง “เช่นนั้นนายหญิงเสิ่นมาหลินอันทำไมกัน? นี่ก็ใกล้ถึงวันเซ่นไหว้บรรพบุรุษแล้วมิใช่รึ!”
นายหญิงอู๋ไม่ทราบเช่นกัน แต่นี่ก็ไม่ได้ขัดขวางความอยากรู้อยากเห็นของนางได้แต่อย่างใด
หลายวันต่อมา นายหญิงอู๋ก็มาเที่ยวเล่นที่สกุลอวี้ นางดึงคนสกุลเฉินมากระซิบ “ข้าสืบมาอย่างละเอียดแล้ว นายหญิงเสิ่นกับอาจารย์เสิ่นมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีจริงๆ”
แม้ว่าคนสกุลเฉินจะไม่ได้เป็นคนที่ชอบสืบเสาะเรื่องส่วนตัวของคนอื่นก่อน แต่หากสามารถฟังข่าวลือซุบซิบที่นางสนใจ ก็ย่อมไม่ติดขัดอันใด
“กระทั่งเรื่องนี้ท่านก็สืบได้รึ!” นางมองนายหญิงอู๋ด้วยความนับถือ แกะเปลือกส้มลูกหนึ่งให้นายหญิงอู๋อย่างเอาใจ
“ข้าก็แค่บังเอิญเท่านั้น” นายหญิงอู๋ไม่มีเวลาจะมากินส้ม ถือไว้ในมือก่อนจะเอ่ยเสียงเบากับคนสกุลเฉิน “วันนั้นหลังจากเจ้ากลับเรือน ข้ามาคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้ากล่าวถูกต้อง เจ้าบอกว่าใกล้จะเซ่นไหว้บรรพบุรุษแล้ว นายหญิงสกุลไหนบ้างที่จะไม่ยุ่งหัวหมุน แต่นายหญิงเสิ่นกลับมีเวลามาเที่ยวเล่นไปทั่ว? ข้าจึงเอ่ยเรื่องนี้กับนายท่านของเรา แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ส่งหญิงรับใช้คนสนิทไปส่งขนมที่สำนักศึกษา กล่าวว่าได้ยินว่านายหญิงเสิ่นมา จึงตั้งใจส่งขนมมาให้นายหญิงเสิ่นโดยเฉพาะ แต่เรื่องก็ช่างประจวบเหมาะ ยามที่หญิงรับใช้ของพวกเราไปส่งขนมก็เห็นนายหญิงเสิ่นกำลังทะเลาะกับอาจารย์เสิ่นพอดี”
“หา!” คนสกุลเฉินตกใจอย่างยิ่ง
นายหญิงอู๋ถอนหายใจ “หญิงรับใช้ของพวกเราก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ยามนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร ดีที่อาจารย์ในสำนักศึกษาล้วนไปเข้าสอนกันหมด บ่าวรับใช้คนอื่นๆ ก็ไม่ทราบว่าหายไปไหนกัน ไม่มีคนอยู่ที่นั่นสักคน หญิงรับใช้ของพวกเรากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ได้ยินอย่างชัดเจน เหมือนว่านายหญิงเสิ่นผู้นั้นจะได้รับการไหว้วานจากคนอื่นให้มาหลินอันเป็นเพื่อนคุณหนูคนหนึ่งโดยเฉพาะ”
เรื่องนี้คนสกุลเฉินทราบดี
นางได้ยินมาจากอวี้ถัง
นางยังรู้อีกว่าด้วยเหตุนี้นายหญิงเสิ่นจึงพักอยู่ในสกุลเผย
“นายหญิงเสิ่นทำเกินไปอยู่บ้าง” คนสกุลเฉินไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนายหญิงเสิ่น “แต่ทั้งสองคนก็คงไม่ถึงกับทะเลาะกันเรื่องนี้จนทำให้พวกบ่าวรับใช้ขบขันหรอกกระมัง?”
นายหญิงอู๋ส่งยิ้มอย่างมีลับลมคมในให้คนสกุลเฉิน
คนสกุลเฉินเอ่ย “หรือว่าเรื่องภายในยังมีอะไรที่ข้าไม่รู้อีก?”
นายหญิงอู๋เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าฟังข้าพูดจบแล้วก็จะรู้เอง”
คนสกุลเฉินตั้งอกตั้งใจฟัง
นายหญิงอู๋เอ่ยต่อ “เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องอะไร สกุลใดไม่มีเพื่อนฝูงบ้างเล่า จะโทษก็ต้องโทษที่ตัวเอง อาจารย์เสิ่นได้ฟัง ก็บันดาลโทสะ ชี้หน้าด่านายหญิงเสิ่นว่าเสแสร้งเป็นคนดี ยังพูดว่าสำหรับเขา นายหญิงเสิ่นก็เป็นแค่เศษฝุ่นเท่านั้น ยามนี้คงก้มหัวลดตัวเพราะอำนาจ ทำตัวประหนึ่งเป็นแม่สื่อ พูดทำนองว่าหากนายหญิงเสิ่นยังมียางอายอยู่บ้าง ก็ให้รีบขนของออกมาจากสกุลเผยเสีย”
เป็นผู้หญิง หากถูกสามีตำหนิเช่นนี้ก็คงปวดใจไม่น้อย
คนสกุลเฉินร้อง “หา!” ออกมา ขมวดคิ้วราวกับไม่เห็นด้วยในการกระทำของอาจารย์เสิ่น
นายหญิงอู๋ทอดถอนหายใจ “ยามที่ข้าได้ยินหญิงรับใช้พูด ก็ร้อนรนใจ ยังคิดว่าหากนายหญิงเสิ่นทำเรื่องอันใดไม่คาดฝันเพราะโมโหชั่ววูบ หวังเพียงว่าหญิงรับใช้ของพวกเราจะหัวไวขัดขวางนายหญิงเสิ่นเอาไว้”
“แต่ใครจะรู้ว่านายหญิงเสิ่นกลับไม่ใช่คนที่ชอบสร้างปัญหา”
“ได้ยินอาจารย์เสิ่นพูดเช่นนั้น นอกจากจะไม่เดินหนีหรือโต้แย้งด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว กลับยังเริ่มตำหนิอย่างใจเย็น กล่าวว่าอาจารย์เสิ่นไม่มีความสามารถเป็นของตัวเอง ตัวเองไม่ก้าวหน้า ก็คิดว่าคนอื่นควรเหมือนตัวเอง เห็นสกุลที่มีอำนาจบารมีกลับเดินหลบ คนอื่นเห็นย่อมคิดว่าเขาจงเกลียดจงชังสังคมที่เน่าเฟะ อิจฉาพวกคนที่มีความสามารถกว่าเขา แต่ตัวเองกลับคิดเองเออเอง รู้สึกว่าตัวเองสูงสง่า ไม่แปดเปื้อนทางโลก…สรุปแล้ว เอ่ยวาจาเชือดเฉือนทุกคำ หญิงรับใช้แทบจะจำมาได้ไม่หมดเสียด้วยซ้ำ”
“ยามนั้นอาจารย์เสิ่นอาจจะโมโหเพราะคำพูดของนายหญิงเสิ่น คว้าถ้วยชาเขวี้ยงไปทางนายหญิงเสิ่นทันที ยังตะโกนเสียงดังว่า หากภายในสองวันนายหญิงเสิ่นไม่ย้ายเข้ามาในสำนักศึกษาหรือกลับเมืองหังโจว เขาก็จะไปเชิญนายหญิงเสิ่นที่สกุลเผยด้วยตัวเอง ทำเอานายหญิงเสิ่นมีโทสะขึ้นมา ก่นว่าเหน็บแนมอาจารย์เสิ่นอีกครั้ง กล่าวว่าอาจารย์เสิ่นวางเพลิงได้ แต่กลับไม่ยอมให้คนอื่นจุดไฟ เขาประจบสกุลกู้ด้วยตนเองกลับไม่เป็นไร นางช่วยเป็นธุระสกุลกู้นิดหน่อย กลับมาด่ากันเหมือนหมูเหมือนหมา ไม่ใช่ว่าปกปิดเรื่องที่ตัวเองไร้ความสามารถ ปกปิดเรื่องที่ตัวเองคิดจะประจบสกุลกู้แต่ทำไม่สำเร็จหรอกรึ นางไม่ใช่อาจารย์เสิ่น นางต้องการช่วงชิงอนาคตข้างหน้าให้ลูกชายตัวเอง หากอาจารย์เสิ่นจะไปที่สกุลเผยก็ได้ แต่นางจะไปพูดกับกู้เจาหยางตามตรงว่า เรื่องนี้อาจารย์เสิ่นเป็นคนสร้างปัญหา ดูว่าอาจารย์เสิ่นจะให้คำตอบกับสกุลกู้อย่างไร ทั้งยังจะวางท่าเป็นอาจารย์ต่อหน้ากู้เจาหยางได้อย่างไร!”
“กู้เจาหยาง?” คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างคาดเดา “หรือเป็นพี่น้องของคุณหนูกู้?”
นายหญิงอู๋ได้ยินก็ร้องเสียงหลงออกมา ตำหนิคนสกุลเฉินอย่างไม่พอใจ “ที่แท้เจ้าก็รู้หมดนี่นา! คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะแสร้งไม่รู้อะไรต่อหน้าข้า! เสียแรงที่ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่น้องตัวเองจริงๆ มีเรื่องอะไรก็พูดให้เจ้าฟังก่อน…”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” คนสกุลเฉินลนลานขึ้นมา
เมื่อก่อนที่นางป่วยกระเสาะกระแสะติดเตียง ก็สนิทสนมแค่คนสกุลหวังมากที่สุด นางไม่เคยมีเพื่อนดั่งเช่นนายหญิงอู๋มาก่อน จึงหวนแหนความสัมพันธ์ของนายหญิงอู๋ไม่น้อย
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินอาถังของพวกเราพูดขึ้นมาครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้นำมาใส่ใจ” นางละล่ำละลักแก้ต่าง “ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ จึงเดาออกมาได้”
นายหญิงอู๋ครุ่นคิดดูก็รู้สึกว่าคนสกุลเฉินไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังนาง หากจะโทษก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ตัวเองไม่ถามคนสกุลเฉินดีๆ เอง
นางให้อภัยคนสกุลเฉินทันที โยนความรู้สึกไม่ดีเล็กๆ ในใจนั้นทิ้งไปข้างหลัง “พูดเช่นนี้ เจ้าก็คงรู้แล้วกระมัง!”
“รู้อะไร?” คนสกุลเฉินถามอย่างไม่เข้าใจ
“ไอหยา เจ้าอย่ามาถือกฎสิ่งไม่งามอย่ามอง สิ่งผิดกริยาอย่าได้พูดอะไรนั่นต่อหน้าข้าเลย” นายหญิงอู๋กล่าวอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง “ข้าก็ไม่ใช่คนปากมาก เจ้าพูดให้ข้าฟัง อย่างมากข้าก็พูดคุยกับเจ้าเท่านั้น ย่อมไม่เอ่ยกับคนนอกแม้แต่ประโยคเดียว ข้าจะอุบเรื่องนี้ไว้ในท้องเป็นอย่างดี”
คนสกุลเฉินดึงสติไม่ทันจริงๆ
นายหญิงอู๋เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่ว่านายหญิงเสิ่นผู้นั้นได้รับประโยชน์จากสกุลกู้ จึงตั้งใจมาเป็นแม่สื่อให้คุณหนูกู้โดยเฉพาะหรอกรึ?”
คนสกุลเฉินเบิกตาโต
นายหญิงอู๋เอ่ยอย่างภาคภูมิ “ข้าทายถูกแล้วกระมัง? ข้าก็บอกแล้ว ข้าไม่ใช่คนปากมาก หากไม่ใช่เจ้า ข้าย่อมไม่พูดแน่นอน”
คนสกุลเฉินละล่ำละลักเอ่ย “ไม่ใช่ ท่านไปได้ยินจากไหนมาว่านายหญิงเสิ่นตั้งใจมาเป็นแม่สื่อให้คุณหนูกู้? คุณหนูกู้ก็เข้าพักในจวนสกุลเผย พวกเราล้วนเป็นคนที่มีลูกมีหลานแล้ว แม้ว่าจะเป็นแม่สื่อให้ลูกสาวของตัวเอง ก็ไม่อาจยอมให้ลูกสาวตัวเองไปค้างแรมในเรือนของผู้อื่นได้หรอกกระมัง!”
นายหญิงอู๋มองพินิจคนสกุลเฉินอย่างละเอียด เห็นคนสกุลเฉินไม่คล้ายกับโยนเรื่องมาให้นาง ก็เอ่ยอย่างลังเล “เจ้ามองไม่ออกจริงๆ รึ?”
คนสกุลเฉินส่ายศีรษะระรัว
นายหญิงอู๋ถอนหายใจ แค่นหัวเราะอย่างขบขันกับตัวเอง “ดูเจ้าสิ ข้าว่าข้ายังมองคนแม่นยำไม่น้อย ก่อนหน้านี้คิดว่าเจ้าเป็นคนพึ่งพาได้ ยามนี้กลับมาเป็นเช่นนี้เสียแล้ว”
คนสกุลเฉินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
นายหญิงอู๋ก็ไม่อ้อมค้อม “เจ้าลองคิดดูดีๆ ว่าอาจารย์เสิ่นเป็นคนแบบไหน ทั้งนึกถึงคำที่อาจารย์เสิ่นเคยพูดไว้ แม้จะกล่าวว่าผู้หญิงอย่างเราไม่ควรเข้าข้างผู้ชาย แต่เรื่องนี้เป็นนายหญิงเสิ่นที่ทำไม่เหมาะสมจริงๆ แม้ว่าจะช่วงชิงอนาคตให้ลูกชายตัวเอง ก็ไม่อาจลดตัวประจบประแจง ทำให้อาจารย์เสิ่นไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้! ก็ไม่รู้ว่าลูกชายของอาจารย์เสิ่นทราบเรื่องนี้หรือไม่ หากเขาทราบกลับไม่ขัดขวางมารดาตัวเอง ข้าว่า ลูกชายคนนี้ของอาจารย์เสิ่นก็คง…”
คนสกุลเฉินฟังนายหญิงอู๋บ่นพร่ำเข้าหูซ้าย ก็ทะลุออกหูขวาไปทันที ในใจนั้นขบคิดเรื่องนี้อย่างวุ่นวาย แยกคุณหนูกู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวทิ้งไว้ด้านหลัง หากเป็นดั่งที่นายหญิงอู๋พูด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
นางอดเอ่ยไม่ได้ “แม้จะเป็นเช่นนี้ หรือไม่มีใครอบรมสั่งสอนคุณหนูกู้กัน? ยังมีนายหญิงเสิ่น ในเมื่อได้รับการไหว้วานจากคนอื่น ไฉนไม่ตักเตือนคนสกุลกู้เสียหน่อย?”
นายหญิงอู๋เห็นคนสกุลเฉินก็สั่นศีรษะ “กล่าวว่าเจ้าเป็นคนซื่อตรง ก็เป็นคนซื่อตรงเช่นนั้นจริงๆ”
คนสกุลเฉินไม่เข้าใจ
นายหญิงอู๋เอ่ยอย่างละเอียดเนิบช้า “เจ้าลองคิดดู คุณหนูกู้เป็นคนแบบไหน? นางเคยเป็นคู่หมั้นของสกุลหลี่มาก่อน! แม้นายหญิงเสิ่นจะถูกไหว้วาน แต่จู่ๆ เอ่ยขึ้นมา เจ้าว่าท่านแม่เฒ่าจะเห็นด้วยรึ?”
คนสกุลเฉินสั่นศีรษะ
หากนางเป็นท่านแม่เฒ่าสกุลเผย ย่อมไม่ยอมให้สะใภ้เช่นนี้แต่งเข้าสกุล
ไม่ใช่กล่าวว่าคุณหนูกู้ไม่ดี แต่สกุลกู้ถอนหมั้นสกุลหลี่ เห็นได้ชัดว่าสกุลกู้เป็นฝ่ายมีอำนาจกว่า สกุลเผยและสกุลหลี่เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง ก้มหน้าไม่เจอเงยหน้าเจอ[1] นายท่านสามก็ไม่ได้ขาดแคลนสะใภ้แต่อย่างใด ไฉนจะต้องสร้างความไม่พอใจกับสกุลหลี่ บาดหมางกันเพราะเรื่องนี้!
นายหญิงอู๋เอ่ยว่า “ดังนั้นนายหญิงเสิ่นจึงได้พาคุณหนูกู้มาพักในจวนสกุลเผย! เมื่อนานวันเข้าก็จะได้สร้างความประทับใจต่อกัน!”
คนสกุลเฉินเบิกตาโตเป็นไข่ห่าน
แม้คำพูดของนายหญิงอู๋จะไม่ได้กระจ่างชัดมากมาย แต่คนสกุลเฉินก็สามารถเข้าใจ นางเอ่ยว่า “เช่นนั้น เช่นนั้นไม่ใช่ว่านายท่านสามต้องหมั้นหมายกันคุณหนูใหญ่สกุลกู้หรอกรึ?”
“ได้ยินว่าคุณหนูกู้ผู้นี้ นอกจากจะกิริยามารยาทงดงาม หน้าตาก็สะสวยไม่น้อย” นายหญิงอู๋เอ่ยอย่างแผ่วเบา “นายหญิงเสิ่นเองไม่ใช่คนโง่ ในเมื่อนางกล้าออกหน้า ก็ย่อมมีความมั่นใจ ดังนั้นจึงเดินทางมาหลินอัน” พูดจบ ชั่วขณะนั้นนางกลับเอ่ยด้วยความรู้สึกไม่ยุติธรรมอยู่บ้าง “แม้จะกล่าวว่าสกุลพวกเราไม่มีคุณหนูที่อายุเหมาะสม แต่ถึงจะมี สกุลพวกเราก็ไม่อาจเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลเผยได้อยู่ดี แต่ข้ายิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ คุณหนูกู้ผู้นั้นจะเหมาะสมกับนายท่านสามได้อย่างไร! นายหญิงเสิ่นทำเช่นนั้น ไม่เหมาะไม่ควรอยู่บ้างจริงๆ”
คนสกุลเฉินได้ฟังกลับเอ่ยอย่างลังเล “ไม่อาจพูดเช่นนี้ได้ สกุลหลี่เป็นคนเช่นไร พวกเราล้วนกระจ่างใจดี คุณหนูกู้ก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายคนหนึ่ง!”
นายหญิงอู๋เอ่ยแย้ง “หรือก่อนหน้านั้นสกุลกู้ไม่ได้สืบเรื่องของสกุลหลี่อย่างชัดเจนหรอกรึ ทั้งไม่ใช่คู่หมั้นหมายตั้งแต่ยังเด็ก แต่สกุลกู้กลับมาถอนหมั้นยามที่สกุลหลี่พบเจอเรื่องราว เห็นได้ชัดว่าสกุลกู้เห็นแก่ผลประโยชน์ ในความคิดของข้าสกุลดั่งเช่นสกุลกู้ ไหนเลยจะเหมาะสมกับนายท่านสามได้!”
———————-
[1]ก้มหน้าไม่เจอ เงยหน้าเจอ อุปมาว่าโอกาสที่พบเจอกันมีมาก ทั้งไม่อาจหลบเลี่ยง