ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 208 สูดอากาศ
เผยเยี่ยนจิตใจดีปานนั้น?
อวี้ถังมองรังนกต้มน้ำตาลในมือใจก็เต้นตึกตัก “นายท่านสามให้อาหมิงส่งรังนกต้มน้ำตาลมาให้เท่านั้นรึ ได้พูดอะไรหรือเปล่า?”
ซวงเถาเค้นสมองอย่างละเอียด “ไม่ได้พูดเจ้าค่ะ”
อวี้ถังพึมพำเสียงเบา “ทำไมจู่ๆ ถึงนึกได้ว่าต้องส่งของกินมาให้ล่ะ?”
นางชิมไปคำหนึ่ง รสชาติค่อนข้างหวาน จึงค่อยเอ่ยว่า “อีกถ้วยของท่านแม่เจ้าส่งไปให้หรือยัง?”
ซวงเถารีบตอบ “ส่งไปแล้วเจ้าค่ะ นายหญิงผลัดเสื้อผ้าแล้ว เป็นป้าเฉินออกมารับ”
อวี้ถังตักรังนกเข้าปากกินไปสามคำห้าคำ แล้วคืนถ้วยเปล่าให้ซวงเถา ซวงเถาเอาถ้วยไปวางแล้วยกน้ำมาให้อวี้ถังบ้วนปาก ป้าเฉินทางนั้นก็ยกถ้วยเปล่าเข้ามาเช่นกัน “นายหญิงบอกว่า ไม่อาจรับของจากนายท่านสามอยู่ฝ่ายเดียว ตอนที่นำถ้วยไปคืน ให้พวกเราส่งถั่วตัดกรอบไปให้สองกล่องเจ้าค่ะ”
มาวัดเจาหมิงครานี้ คนสกุลเฉินทำขนมมาเยอะมากเพื่อจะมอบให้เป็นของขวัญ
อวี้ถังคิดว่าใช้ได้ จึงปล่อยให้ซวงเถากับป้าเฉินวุ่นวายไป ตัวเองพอหัวถึงหมอนก็หลับสนิท ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนฟ้าสว่างแล้ว
ซวงเถารีบเข้ามาช่วยนางหวีผม ปากก็บ่นว่า “เมื่อวานตอนที่ข้าเอาถ้วยไปคืน เรือนของนายท่านสามยังจุดไฟสว่างโร่อยู่เลยเจ้าค่ะ ได้ยินว่าสกุลซ่งนี้ นอกจากเหล่าสตรีแล้ว นายท่านใหญ่กับนายท่านสี่ของสกุลซ่ง นายท่านใหญ่ นายท่านสาม ท่านหก ท่านเจ็ด คุณชายใหญ่และคุณชายรองของสกุลเผิงล้วนมากันหมด นายท่านสามกำลังสนทนากับพวกเขาอยู่! ฟังว่าพรุ่งนี้ยังมีสองนายใหญ่กับสองคุณชาย เหล่านายหญิงและสะใภ้จากสกุลอู่แห่งหูโจวมาด้วย พระผู้ดูแลของวัดเจาหมิงน่าจะหัวหมุนแล้ว ปรึกษากันทั้งคืนว่าจะจัดการห้องเซียงฟางอย่างไร ดีที่พวกเราเข้ามาพร้อมกับสกุลเผย ไม่อย่างนั้นกระทั่งที่ยืนก็คงไม่มีแน่”
นางยังคร่ำครวญต่อว่า “เมื่อก่อนสกุลเผยก็เคยเป็นเจ้าภาพงานบุญกับพิธีบรรยายธรรมมาก่อน แต่ครั้งนี้มีคนมามากที่สุด พระชั้นสูงที่ท่านแม่เฒ่าเชิญมาจากวัดเส้าหลินใต้คงจะเก่งกาจมากเป็นแน่ คุณหนู ถ้าหากท่านนั้นยอมสวดภาวนาให้แก่ท่านและเหล่าคุณหนูสกุลเผย ท่านว่า พวกเราควรเตรียมของขวัญตอบแทนไว้หน่อยหรือไม่? แล้วจะมอบอะไรเป็นของขวัญดีเจ้าคะ? เรื่องนี้ต้องไปขอคำชี้แนะจากจี้ต้าเหนียงหรือไม่?”
ในสายตาซวงเถา จี้ต้าเหนียงกับเถ้าแก่ใหญ่ถงเป็นญาติกัน ถือว่าเป็นสกุลที่มีสัมพันธ์อันดีกับสกุลของพวกนาง
อวี้ถังพยักหน้าส่งๆ ปากก็บอกว่า “เรื่องนี้ต้องไปถามท่านแม่” ในใจกลับใคร่ครวญว่าหลายๆ สกุลที่มาร่วมพิธีบรรยายธรรมครั้งนี้ ล้วนเป็นสกุลที่เคยเข้าประมูลแผนที่เมื่อคราวก่อน ลองนับเวลาดู เรือคงใกล้จะต่อเสร็จแล้ว หากจะบอกว่าการปรากฏตัวของสกุลเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวพันกับการค้าทางทะเล นางร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อแน่
ฝนฟ้าย่อมตั้งเค้าก่อนพายุจะถล่มเสมอ!
อวี้ถังสูดหายใจลึก ในใจพลันไม่อาจเป็นสุข
คนสกุลเฉินแต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินมาหาบุตรสาว เห็นว่าอวี้ถังเตรียมตัวใกล้เสร็จแล้ว จึงให้ป้าเฉินยกข้าวเช้าเข้ามา ตนเองหย่อนตัวนั่งลงบนตั่งไม้เตี้ยของโต๊ะกลมที่อยู่กลางห้อง เอ่ยถึงเรื่องของขวัญที่จะมอบแก่พระชั้นสูง พลางชื่นชมอวี้เหวินว่า “โชคดีที่ท่านพ่อเจ้าให้ข้านำแท่นฝนหมึกชั้นดีติดมาด้วยสองชิ้น ไม่อย่างนั้น แค่ขนมที่พวกเราทำมา จะมีหน้ามอบออกไปได้อย่างไร ยิ่งบนเขาก็ไม่เหมือนกับด้านล่าง มีเงินก็ใช่ว่าจะหาซื้อของได้ เห็นชัดว่าในเรือนต้องมีคนที่เป็นผู้นำอยู่ด้วย” จากนั้นก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องงานแต่งของอวี้ถัง “เจ้าก็อย่าฟังแต่บิดาเจ้า เห็นคำของข้าเป็นลมผ่านหู หากนายหญิงอู๋นัดให้เจ้าดูตัวรอบหน้า เจ้าก็ต้องตั้งใจไปดูตัวสักครั้งถึงจะใช้ได้ คนหากไม่พูดคุยคบหาแล้วจะรู้นิสัยใจคอได้อย่างไร ไม่แน่นี่อาจเป็นวาสนาของเจ้า…”
อวี้ถังรับฟังอย่างนอบน้อม แต่พอเสียงเข้าหูซ้ายก็ผ่านออกไปทางหูขวาทันที
นางรู้ถึงความกังวลของมารดาดี แต่นางมักรู้สึกว่า เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานต้องอาศัยวาสนา หากว่าวาสนามาถึงแล้ว ต่อให้คนเดินสวนกันไปหลงกันมา อย่างไรคนผู้นั้นก็ต้องเป็นของเราวันยังค่ำ หากไร้วาสนา ก็จะเหมือนชาติก่อน ต่อให้แต่งกันแล้วก็ยังคลาดจากกันไป
กระทั่งป้าเฉินยกข้าวเช้าเข้ามา ถึงได้ตัดจบบทสนาของคนสกุลเฉินได้
คนสกุลเฉินรู้ว่าทำเช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่พอนางเห็นท่าทีเฉื่อยชาไม่เดือดร้อนของบุตรสาวก็ร้อนรนแทน ทว่า การมาร่วมพิธีบรรยายธรรมครั้งนี้ ช่างเป็นความคิดที่ดีเหลือเกิน ได้ยินว่าเหล่านายหญิงของคหบดีที่มีหน้ามีตาต่างมากันครบ ไม่แน่วาสนาของบุตรสาวอาจจะเกิดที่พิธีบรรยายธรรมครั้งนี้ก็เป็นได้
คิดได้ดังนั้น คนสกุลเฉินพลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าไปทั่วร่าง กินอาหารเช้าพร้อมกับบุตรสาวเสร็จ ก็หยิบกล่องไม้สองใบที่อาหมิงส่งมาให้เมื่อคืน เตรียมจะไปหาท่านแม่เฒ่าทางนั้น พลันมีเณรน้อยวิ่งเข้ามา เอ่ยว่า “คุนายหญิงอวี้ มีนายหญิงสกุลอู๋ท่านหนึ่ง บอกว่าเป็นเพื่อนบ้านของท่าน นางมีเรื่องขอพบท่านขอรับ”
คนสกุลเฉินกับอวี้ถังตะลึงไป รีบเชิญคนเข้ามา
คนที่มาคือหญิงรับใช้ข้างกายของนายหญิงอู๋ นางเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “นายหญิงเรือนข้าได้ยินว่าที่นี่จะจัดพิธีบรรยายธรรม จึงให้ข้าล่วงหน้ามาจองห้องเซียงฟางไว้ ใครจะคิดว่าขนาดมาก่อนตั้งสามวัน มาถึงที่นี่ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แต่พระผู้ดูแลกลับบอกว่าเซียงฟางเต็มหมดแล้ว…ข้าได้ยินมาว่า ท่านจะติดตามเหล่าสตรีสกุลเผยมาเข้าพักล่วงหน้า จึงได้หน้าหนามาขอพบท่าน ดูว่าท่านจะช่วยนายหญิงสกุลเราจองได้สักห้องไหมเจ้าคะ”
เรื่องนี้สกุลเฉินตัดสินใจเองไม่ได้ นางเอ่ยว่า “ข้าก็อาศัยบารมีของสกุลเผย” แต่สกุลอู๋ก็ช่วยพวกนางเยอะมาก นางละอายเกินกว่าจะตอบปัด จึงได้แต่เอ่ยว่า “เอาอย่างนี้สิ พวกเจ้าก็ลองถามดูอีกสักรอบ ข้าเองก็จะช่วยถามด้วย พวกเราทุกคนลองหาทางด้วยกัน ดูว่าจะจองห้องเซียงฟางให้นายหญิงได้หรือไม่?”
หญิงรับใช้ถึงกลับออกไปด้วยความซาบซึ้ง
คนสกุลเฉินส่ายหน้า “วันก่อนนายหญิงเว่ยก็บอกว่าจะพาเหล่าสตรีในสกุลมาร่วมงาน เห็นท่าเช่นนี้ คงจองห้องเซียงฟางไม่ทันแล้ว”
อวี้ถังไม่ได้ส่งเสียง
คนสกุลเฉินรู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจจัดการได้ง่ายๆ ทั้งมิใช่เรื่องที่จะแก้ปัญหาได้ในทันที จึงได้แต่ข่มใจเอาไว้ก่อน แล้วไปหาท่านแม่เฒ่ากับอวี้ถัง
จี้ต้าเหนียงยืนเวรอยู่หน้าประตู เห็นว่าสองแม่ลูกเดินมาก็ส่งสายตาให้ จากนั้นก็กระซิบสั่งหญิงรับใช้ที่อยู่ข้างๆ เสียงเบา ก่อนพาอวี้ถังสองแม่ลูกไปยังห้องน้ำชาที่อยู่ด้านข้าง
อวี้ถังสองแม่ลูกพบว่านายหญิงสามสกุลหยางกับคุณหนูสวีได้นั่งดื่มชาอยู่ในห้องก่อนแล้ว
นายหญิงสามสกุลหยางกับคุณหนูสวีลุกขึ้นยืนแล้วทักทายอวี้ถังสองแม่ลูก นายหญิงสามสกุลหยางชี้ไปที่ขนมบนโต๊ะแล้วเอ่ยกับคนสกุลเฉินว่า “ขนมจากเป่ยจิงเจ้าค่ะ ข้าเองก็ไม่ได้กินหลายปีแล้ว ท่านลองชิมดู ไม่รู้จะถูกปากหรือไม่”
คนสกุลเฉินตอบขอบคุณ แล้วนั่งลงข้างนายหญิงสามสกุลหยาง
จี้ต้าเหนียงยิ้มแหยๆ แล้วอธิบายว่า “เหล่านายหญิงสกุลซ่งกับสกุลเผิงพาคุณชายทั้งหลายมาเจ้าค่ะ ได้แต่ลำบากท่านกับนายหญิงสามให้นั่งดื่มชาที่นี่ก่อน”
ฟังจากน้ำเสียง ดูไม่ค่อยจะต้อนรับคนสกุลซ่งกับสกุลเผิงเท่าไรนัก
คนสกุลเฉินรีบเอ่ยว่า “ข้ากับนายหญิงสามเดิมก็พาคุณหนูมาด้วย ท่านแม่เฒ่าจัดการเช่นนี้ นับว่าใคร่ครวญอย่างรอบคอบและถี่ถ้วน อย่างนี้ก็ดี ข้ายังสามารถนั่งคุยกับนายหญิงสามได้อีก”
นายหญิงสามสกุลหยางพยักหน้า หัวเราะพลางเอ่ยกับจี้ต้าเหนียงว่า “ท่านแม่เฒ่ามีแขกมาพบตั้งมาก คงต้องวุ่นวายแน่ พวกเราก็ไม่ใช่คนนอก ท่านไม่ต้องสนใจพวกเราหรอก ข้ากับท่านหญิงอวี้จะคุยกันต่อเอง จะไปว่า ตอนเด็กข้าเคยติดตามท่านพ่อมาที่หลินอันครั้งหนึ่ง นี่นับเป็นครั้งที่สอง ได้ยินว่านายหญิงอวี้ทำขนมได้เลิศรส จึงอยากขอคำชี้แนะจากนายหญิงอวี้สักหน่อยด้วย!”
นางมอบทางลงให้สกุลเผยและจี้ต้าเหนียง จี้ต้าเหนียงย่อมซาบซึ้งจากใจจริง ทั้งรู้สึกดีต่อนางเป็นอย่างมาก ไม่เพียงพูดจาเยินยอนายหญิงสามสกุลหยาง ซ้ำยังรินน้ำชาให้นายหญิงสามสกุลหยางกับคนสกุลเฉินด้วยตนเอง ทิ้งสาวรับใช้ไว้คอยดูแลคนหนึ่ง แล้วเดินออกจากห้องน้ำชาไป
นายหญิงสามสกุลหยางถามเรื่องเคล็ดลับการทำขนมจากคนสกุลเฉินจริงๆ
ฟังจากคำพูดคำจาของนายหญิงสามสกุลหยางแล้ว เห็นได้ชัดว่านางเกิดมาในสกุลที่ดี เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ มามาก นายคุยเรื่องขนมของแถบหนานเป่ยได้อย่างฉะฉาน รู้ลึกปรุโปร่ง คนสกุลเฉินเองก็ต้องการคำชี้แนะจากนายหญิงสามเช่นกัน สองคนสนทนาอย่างออกรส เสียงหัวเราะดังขึ้นไม่หยุด
อวี้ถังนั้นยังพอไหว เพราะเคยถูกคนสกุลเฉินบังคับให้ทำขนม ถึงพอฟังเข้าใจบ้าง
คุณหนูสวีคล้ายว่าไม่เคยจับเรื่องพวกนี้มาก่อน เหมือนว่าฟังภาษาเทพอยู่อย่างนั้น ตอนเริ่มแรกยังพออดทนนั่งหลังตรงได้ ผ่านไปนานเข้า ก็เริ่มขยับตัวขยุกขยิก คล้ายกับเด็กน้อยคนหนึ่ง
อวี้ถังแอบหัวเราะ
คุณหนูสวีไม่ใส่ใจ ยังคงหาจังหวะมากระซิบข้างหูนางได้ว่า “พวกเราไปห้องน้ำกันไหม?”
อวี้ถังเกือบจะเก็บเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่
คุณหนูสวีจึงถลึงตาใส่นางอย่างไม่พอใจ
อวี้ถังคิดว่าตนไม่สมควรหัวเราะคุณหนูสวี จึงรีบตอบตกลงแล้วไปห้องน้ำเป็นเพื่อนนาง
ดวงตาสองข้างของนางเปล่งประกาย เอ่ยขอตัวกับนายหญิงสามสกุลหยางอย่างระมัดระวัง
นายหญิงสามสกุลหยางมองคุณหนูสวีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แม้จะอนุญาต แต่ก็สั่งให้หญิงรับใช้ข้างกายออกไปเป็นเพื่อนคุณหนูสวีกับอวี้ถังด้วย ทั้งบอกกับหญิงรับใช้ว่า “เจ้าจับตาดูให้ดีหน่อย อย่าให้ไปเจอกับคนที่ไม่ควรเจอเข้าล่ะ”
หญิงรับใช้ค้อมกายต่ำตอบว่า “เจ้าค่ะ”
คุณหนูสวีจึงลากอวี้ถังออกมาจากห้องน้ำชา
นางยืนอยู่ใต้ชายคาแล้วสูดหายใจอย่างแรง จากนั้นกระซิบบอกอวี้ถังเสียงเบาว่า “เจ้าก็ทนนั่งอยู่ได้นะ ข้าทนไม่ไหวหรอก ให้ข้านั่งอยู่แบบนั้นครึ่งค่อนวัน ข้าคงอายุสั้นไปครึ่งหนึ่งแล้ว” นางพูดจบ ก็หันไปถามหญิงรับใช้ว่า “รู้ไหมว่าคุณหนูรองสกุลเผยทำอะไรอยู่? หากเรียกนางออกมาเล่นด้วยได้ก็คงดี” ประโยคสุดท้ายนั่น นางหันมาพูดกับอวี้ถัง
หญิงรับใช้คงจะรู้จักนิสัยของคุณหนูสวีดี ไม่รอให้อวี้ถังตอบความก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรองถูกท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเรียกไปทักทายผู้อาวุโสของสกุลซ่งและสกุลเผิงเจ้าค่ะ ตอนที่นางออกมาแล้ว คุณหนูก็คงต้องเข้าไปพบท่านแม่เฒ่าพอดี”
คุณหนูสวีทำหน้าผิดหวัง
อวี้ถังถามนางว่า “แล้วพวกเราจะไปห้องน้ำกันอยู่ไหม?”
คุณหนูสวีตอบอย่างลังเล “ห้องน้ำของที่นี่คงเหม็นมากกระมัง?”
หญิงรับใช้จึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นคุณหนูตามข้าไปเดินเล่นที่ลานด้านหลังดีไหมเจ้าคะ? ด้านหลังมีต้นดอกกุ้ยฮวาเยอะมาก น่าเสียดายมิใช่ฤดูใบไม้ร่วง ไม่อย่างนั้นกลิ่นดอกกุ้ยฮวาคงหอมโชยไปทั่วแล้ว”
คุณหนูสวีคล้ายไม่สนใจเท่าไร “ช่างเถอะ ข้าไปนั่งเล่นใต้ต้นการบูรทางนั้นกับน้องอวี้ดีกว่า”
อวี้ถังเพิ่งรู้ตอนนั้นเองว่าเรือนที่ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยพักอยู่ มีต้นการบูรใหญ่เท่าหนึ่งคนโอบอยู่ระหว่างโถงหลักทางทิศเหนือกับห้องเซียงฟางทางทิศตะวันออก ใต้ต้นไม้ยังมีตั่งไม้ไผ่ยาววางอยู่ตัวหนึ่งด้วย
หญิงรับใช้หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นคุณหนูกับคุณหนูอวี้รอข้าสักครู่นะเจ้าคะ ข้าให้คนไปหยิบที่รองนั่งมาก่อน แม้จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่เก้าอี้ไม้ไผ่ก็ยังมีไอเย็นอยู่”
คุณหนูสวีเร่งให้นางรีบไป จากนั้นก็ชวนอวี้ถังว่า “พวกเรายืนอยู่ตรงนี้สะดุดตาเกิดไป มิสู้ไปรอที่ด้านโน้นเลย”
สีหน้าท่าทางคล้ายว่ามีประสบการณ์อย่างยิ่ง
อวี้ถังยิ้มหวาน แต่นางกับคุณหนูสวีเพิ่งจะหยุดเท้าที่ใต้ต้นการบูร ก็เห็นนายหญิงรองเดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากโถงหลักของท่านแม่เฒ่าสกุลเผย ด้านหลังมีเฉินต้าเหนียงที่ทำหน้าร้อนรนตามมาด้วย
————————————————————-