ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 224 เรียกหา
ด้านเผยเยี่ยนที่อวี้ถังพะวงหากำลังทำอะไร
เขากำลังใช้นิ้วมือลูบลูกประคำไม้จื๋อหลิน เอนกายพิงหมอนอยู่บนตั่งหลัวฮั่น ฟังคนของพวกสกุลอู่ สกุลเผิงประชันฝีปากกันอยู่ตรงนั้น
เถาชิงนั่งอยู่ต่ำกว่าเผยเยี่ยน เห็นฉากนี้ก็หลุบตาลง เอ่ยกับเผยเยี่ยนเสียงเบา “ตกลงเจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่? เจ้าบอกให้ข้าฟังหน่อยเถิด อีกเดี๋ยวข้าจะได้รู้ว่าควรพูดอย่างไร”
เผยเยี่ยนฟังจบก็ยกมุมปากขึ้น กดเสียงเบาตอบกลับเถาชิงเช่นกัน “ข้าจะมีวิธีอะไรอีก? นี่ไม่ใช่เรื่องของสกุลเผยเพียงสกุลเดียวเสียหน่อย! แน่นอนว่า หากมีคนคิดว่านี่เป็นเรื่องของสกุลเผยก็ได้เช่นกัน ทุกคนล้วนกลับไปก็เพียงพอแล้ว มีเรื่องอะไร ให้พวกเราสกุลเผยรับผิดชอบ สกุลเผยของพวกเราย่อมไม่มีความเห็นอื่นใด”
“นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน!” เถาชิงได้ฟังก็ไม่พอใจ เอ่ยว่า “รังไข่พลิกคว่ำ จะมีไข่ที่ไม่แตกอยู่รึ ยามนี้พวกเราต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ผ่านเรื่องร้ายไปด้วยกัน ไฉนเจ้าจึงพูดเช่นนี้? หากข้ารู้ว่าเจ้ามีท่าทีเช่นนี้ ข้าก็คงไม่เข้ามาหรอก อย่างไรจะล้มเลิกสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลของหนิงปัวและเฉวียนโจวก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสกุลเถาของพวกเราอยู่แล้ว? คนที่ร้อนใจ ย่อมไม่ใช่ข้า”
เผยเยี่ยนเบะปาก พบว่าห้องโถงที่เดิมทีคล้ายตลาดขายผักสดจู่ๆ ก็สงบลงมา เขาถึงกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองอยู่เลือนราง เผยเยี่ยนอดมองไปรอบๆ ไม่ได้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่ยามใด ทุกคนล้วนนั่งอย่างเงียบเชียบมองมายังเขา ท่าทีราวกับรอเขาเอ่ยปาก ตัดสินใจอย่างไรอย่างนั้น
เขากลายเป็นคนสำคัญขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด?
หรือจะกล่าวว่า จู่ๆ สกุลใหญ่ของเจียงหนานเหล่านี้ก็พบว่าเขายังมีประโยชน์อยู่บ้าง?
เผยเยี่ยนลอบแค่นหัวเราะในใจ ใบหน้ากลับไม่ปรากฏสิ่งใด ยังคงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ทุกคนยังมีความคิดอันใดอีก ก็พูดออกมาในคราเดียวเถิด! จะได้ไม่นินทากันลับหลัง ตำหนิหรือเล่นลูกไม้อะไรกัน”
เถาชิงเห็นด้วยกับความคิดนี้ของเขาอย่างยิ่ง เอ่ยทันที “ออกจากห้องนี้ไป ทุกคนต้องสามัคคีกัน ทำงานร่วมกัน มีความเห็นต่างหรืออะไรที่ไม่พอใจ ก็ข่มกลั้นไว้ เก็บซ่อนไว้เสีย รอเรื่องร้ายครั้งนี้ผ่านไปค่อยว่ากันเถิด”
นายท่านใหญ่สกุลเผิงได้ยินก็ค่อยโล่งใจ
เรื่องที่องค์ชายสามเก็บรวบรวมทรัพย์สินโดยมิชอบในเจียงหนาน เดิมทีก็ไม่มีอะไรน่ากังวล คนที่ทำเช่นนี้ มีเป้าหมายเพียงสองอย่างเท่านั้น ประการแรกอยากยืมเรื่องครั้งนี้โจมตีองค์ชายสาม ประการที่สองอยากยืมเหตุผลนี้ตักตวงผลประโยชน์อีกครั้ง ไม่ว่าจะอย่างหน้าหรืออย่างหลัง สำหรับพวกเขาล้วนเป็นเรื่องที่ต้องเสียเงินหน่อยเท่านั้น แต่หากมีคนใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง คิดว่าสกุลใหญ่ของเจียงหนานทำกิจการใหญ่เกินไป แนะนำให้ปิดท่าเรือการค้า นั่นก็เป็นปัญหาแล้ว ทางกว่างโจวยังพูดง่าย แต่ไหนแต่ไรก็เป็นท่าเรือการค้าที่มีความสำคัญที่สุด ทางหนิงปัวและเฉวียนโจวย่อมไม่แน่แล้ว แถบฝูเจี้ยนและเจ้อเจียงมีโจรสลัดเพ่นพ่าน นับวันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น บางครั้งยังขึ้นฝั่งปล้นสะดมเข่นฆ่า คนส่วนมากล้วนคิดว่าปราบปรามโจรสลัดไม่สำเร็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเพราะมีเรือขนส่งสินค้าพวกนั้นให้การสนับสุนนพวกเขาอยู่ ทำให้คนยากจะแยกแยะว่า เรือไหนคือโจรสลัด เรือไหนคือเรือสินค้าธรรมดา วิธีที่ดีที่สุดก็คือเสริมกำแพง เคลื่อนย้ายผู้คนและทรัพย์สิน ปิดสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลของหนิงปัวและเฉวียนโจว งดออกทะเล ทั้งคำสั่งเช่นนี้ ราชวงศ์ก่อนและยามที่เริ่มต้นราชวงศ์นี้ก็เคยทดสอบใช้เช่นกัน ปรากฏว่าโจรสลัดลดน้อยลงไปมากจริงๆ
พวกสกุลเผิงและสกุลซ่ง บ้างก็อาศัยท่าเรือเฉวียนโจว บ้างก็อาศัยท่าเรือหนิงปัวในการทำการค้าทางทะเล หากยุบสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลทั้งสองแห่งไป สำหรับกิจการของพวกเขา ย่อมเป็นการโจมตีที่ถึงแก่ชีวิต สำหรับสกุลเถา ก็จะครองความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ในกว่างโจว ทั้งการค้าก็สามารถก้าวไปอีกขั้น
เขาอยากให้เถาชิงเข้าใจผิดว่า ครั้งนี้ราชสำนักไม่เพียงพุ่งเป้ามาที่สกุลใหญ่ของเจียงหนาน แต่ยังอิจฉาความมั่งคั่งในมือพวกเขา และที่จัดการสกุลเผย ก็เพราะราชสำนักนำพวกเขาเป็นข้ออ้างในการลงมือก่อนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็สามารถหยิบยืมโอกาสนี้ให้สกุลเถาเปิดท่าเรือของกว่างโจวให้กับสกุลใหญ่ของเจียงหนานเหล่านี้
และเถาชิงก็หลงกลเขาดังที่คาด เห็นด้วยที่จะเดินหน้าและถอยหลังร่วมกับพวกเขา
เขาดื่มชาหนึ่งคำอย่างพอใจ คิดว่าเถาชิงอ่อนหัดไปอยู่บ้าง ใช้ความรู้สึกในการทำเรื่องมากเกินไป ส่วนมากสกุลเถาก็เป็นเช่นนี้
น่าเสียดายท่าเรือที่กว่างโจวจริงๆ!
นายท่านใหญ่สกุลเผิงขบคิดในใจว่าจะสามารถเกี่ยวดองอะไรกับสกุลเถาได้หรือไม่ หลังจากนั้นก็อาศัยความสัมพันธ์ค่อยๆ ย้ายกิจการของสกุลเผิงไปยังกว่างโจว
ทางนายท่านสี่สกุลซ่งกลับปกปิดความดีใจไม่มิด
เขาทราบถึงความเก่งกาจของเผยเยี่ยน แต่นั่นมาจากท่านผู้เฒ่าเผย เผยเยี่ยนในยามนี้ ล้วนเดินตามทางที่ท่านผู้เฒ่าเผยหลงเหลือให้เมื่อก่อน ไม่ได้แสดงความสามารถที่พิเศษแต่อย่างใด ยามนี้สกุลเถาและสกุลเผยยืนอยู่ฝั่งเดียวกัน อาศัยความสามารถของเถาชิง ย่อมสามารถพาพวกเขาข้ามผ่านเรื่องยากครั้งนี้ได้แน่
ชั่วขณะนั้นนายท่านสี่สกุลซ่งก็มีความมั่นใจร้อยเท่า เป็นคนแรกที่ออกมายืนแสดงท่าที “พี่เถาวางใจ คนอื่นพวกเราไม่อาจยุ่งได้ แต่สกุลซ่งของพวกเราย่อมร่วมเดินหน้าและถอยหลังกับทุกคน มีเรื่องอะไรก็เอ่ยออกมายามนี้เถิด ออกจากห้องโถง ย่อมไม่ตำหนิแม้แต่ประโยคเดียว อีกเดี๋ยวหากข้าพูดตรงเกินไป ก็ขออภัยทุกคนล่วงหน้าตรงนี้ด้วย!” พูดจบ ยังคิดอย่างขบขัน คำนับให้กับทุกคน
นายท่านใหญ่สกุลอู่ฝืนกลั้นไว้จึงไม่ได้ขำออกมา
เจ้าโง่ผู้นี้ ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นผู้นำของสกุลซ่งได้ สกุลซ่งก็นับว่าเป็นครอบครัวใหญ่มีกิจการมาก ถึงจะถูกเขาถลุงก็ไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
ขณะที่เขาคิดก็มองเผยเยี่ยนไปแวบหนึ่ง
ภายในห้องที่มีแสงไฟขมุกขมัว กลับส่องแสงสว่าง รูปงามจนทำให้คนหายใจติดขัด ทั้งมือยังกำทรัพย์สินและเส้นสายของสกุลเผยที่ต่อสู้บากบั่นก่อตั้งขึ้นมาหลายชั่วอายุคน จะไม่ทำให้คนอิจฉาได้อย่างไร?
หากมีลูกเขยเช่นนี้ได้ ไม่รู้ว่าสกุลอู่ของพวกเขาจะได้รับประโยชน์ขนาดไหน?
โดยเฉพาะนับตั้งแต่เขาเห็นสกุลซ่งและสกุลเผิงเริ่มร่วมมือกันสร้างเรือ สกุลเผิงนั้นวางอำนาจบาตรใหญ่แค่ไหน กลับถูกสกุลเผยที่หนุนหลังสกุลซ่งอยู่จัดการจนหมดหาทาง เห็นได้ชัดว่าสกุลเผยมีความสามารถในการสร้างเรือ ทั้งทำการค้าทางทะเลอย่างสิ้นเชิง เหตุใดสกุลพวกเขาถึงไม่ทำล่ะ? เพราะกลัวว่าเงินมากจะทำให้คนอิจฉา พาให้คนอื่นเพ่งเล็งสกุลพวกเขาอย่างนั้นรึ?
ตกลงสกุลเผยมีกิจการมากน้อยเท่าใดกัน?
นายท่านใหญ่สกุลอู่ลูบคางตัวเอง คิดว่าเรื่องที่สกุลอู่อยากเกี่ยวดองกับสกุลเผย เขาต้องออกโรงด้วยตัวเองเสียหน่อย ขอเพียงแค่สกุลอู่และสกุลเผยแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน อย่างน้อยพื้นที่น้ำแถบทะเลสาบไท่หูจนถึงซูโจว เขาก็มีความสามารถจะทำให้สกุลซ่งเฝ้าดูอยู่ด้านข้างเฉยๆ ได้แล้ว
นายท่านใหญ่สกุลอู่ขบคิดในใจ ตัดสินใจจะเอ่ยปากเป็นคนสุดท้าย ฟังคนอื่นก่อนว่าจะพูดอย่างไร
เดิมทีนายท่านใหญ่สกุลเผิงก็ไม่ได้เห็นสกุลอู่อยู่ในสายตา เป็นสกุลหน้าใหม่ ทั้งเพราะอาศัยเจียงหวา สองปีนี้จึงดิ้นรนขึ้นมาได้ พวกเขาพูดคุย คนของสกุลอู่รับฟัง เดิมทีก็ควรเป็นเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่สนใจสกุลอู่ เอ่ยตามตรงกับเผยเยี่ยนแทน “กู้เจาหยางหมายความว่าอย่างไร? หรือสกุลกู้ไม่ใช่คนเจียงหนาน คาดไม่ถึงว่าเขาจะรับคำสั่งมาตรวจสอบคดีองค์ชายสามที่เจียงหนาน เขาคิดจะทำอะไร? สกุลกู้หมายความว่าอย่างไร? ไม่ใช่ว่าพอเขามาเจียงหนานก็จะมาเยี่ยมเยียนเจ้าเป็นอันดับแรกหรอกรึ?”
คนที่เขาถามคือเผยเยี่ยน
แม้ว่าสกุลกู้จะเป็นสกุลใหญ่ในหังโจว เป็นขุนนางมาหลายชั่วอายุคน เป็นสกุลบัณฑิตทั้งทำเกษตรได้ แต่หลายปีมานี้ก็ตกต่ำลงมาก ลูกหลานในสกุลที่เป็นขุนนางขั้นสี่แทบไม่มี กิจการยิบย่อยยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในความคิดของสกุลเผิง นั่นก็แค่พอฝืนประทังชีวิต สถานการณ์เช่นนี้ไม่มีความจำเป็นต้องปรากฏตัว
สกุลเผยเพิ่งจะมีงานหมั้นหมายกับสกุลกู้ คนที่คุณหนูสกุลกู้แต่งให้ยังเป็นหลานคนโตบ้านใหญ่ของสกุลเผย
เผยเยี่ยนตระหนักถึงปัญหาของการเกี่ยวดองกับสกุลกู้ได้อีกครั้ง
เขาเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “กู้เจาหยางเป็นผู้ตรวจการยิ่งดี นายท่านใหญ่เผิงก็พูดแล้ว พวกเขาสกุลกู้ก็เป็นคนเจียงหนานเช่นกัน เขาไม่อาจทำเรื่องอกตัญญูบ้านเกิดเมืองนอนได้แน่ เว้นเสียแต่ว่าเขาไม่อยากให้สกุลกู้อยู่ในเจียงหนานแล้ว พูดขึ้นมา ครั้งนี้พวกเรารวมตัวกัน แม้ว่าพวกเราสกุลเผยจะเป็นผู้ดำเนินการหลัก กลับเป็นความประสงค์ของสกุลเผิง ข้าจึงอยากถามว่า พวกเราควรจะจัดการคดีขององค์ชายสามก่อน? หรือควรแก้ไขปัญหาของสำนักการค้าทางทะเลก่อน? พอดีที่กู้เจาหยางก็อยู่ที่นี่ หากมีความจำเป็น ทุกคนก็ให้เขาเข้ามาพูดคุย ช่วยกันออกความเห็นเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด!”
นายท่านสี่สกุลซ่งคิดว่าดี “คนนั้นกลัวการเผชิญหน้า มีเรื่องอะไรพบหน้ากันย่อมดีที่สุด!”
เขาไม่เชื่อว่า กู้เจาหยางจะกล้าตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่เป็นผลดีต่อสกุลใหญ่เจียงหนานต่อหน้าทุกคน
นายท่านใหญ่สกุลเผิงดูแคลนนายท่านสี่สกุลซ่งในใจ
กระทั่งกู้เจาหยางที่เพิ่งเดินสายขุนนางยังกลัว เขาจะทำเรื่องอะไรได้อีก?
เดิมทีนายท่านสี่สกุลซ่งก็เป็นคนขี้ขลาดตาขาวคนหนึ่ง เขากลับร่วมสร้างเรือไปกับสกุลอู่เสียแล้ว
ยามนี้เสียใจก็สายเกินไปแล้ว!
“เช่นนั้นก็เชิญกู้เจาหยางเข้ามาพูดคุยเถิด” เถาชิงตัดสินใจในทันที “มีเรื่องอะไรทุกคนจะได้พูดคุยต่อหน้าอย่างชัดเจน ย่อมดีกว่าคาดเดาลับหลังกัน”
เผยเยี่ยนนั้นอย่างไรก็ได้
กู้เจาหยางมาหาเขา เพราะมาคุยเรื่องคุณหนูกู้ งานแต่งของเผยถง เขาอาจจะไม่ค่อยเห็นดีเห็นงามกับงานแต่งครั้งนี้ กู้เจาหยางจึงอยากหนุนหลังให้คุณหนูกู้ เป็นฝ่ายเอ่ยจุดประสงค์ที่มากับเขาก่อน ทั้งยังถามเขาว่าต้องการให้ช่วยเหลือหรือไม่
เช่นนั้นก็มอบพื้นที่นี้ให้เขาแสดงความสามารถแล้วกัน
เขาเรียกเผยชีที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ให้เขาไปเชิญคนมา
เผยชีรับคำสั่งออกไป
นายท่านอู่จึงพูดถึงท่านผู้เฒ่าเผยกับเผยเยี่ยน “เดือนเก้าก็จะถอดชุดไว้ทุกข์แล้วกระมัง? ทะเลสาบไท่หูไกลจากที่นี่อยู่บ้าง เจ้าส่งจดหมายให้ข้าล่วงหน้า ถึงเวลานั้นจะมากราบไหว้ท่านผู้เฒ่าเสียหน่อย”
เพราะท่านแม่เฒ่าสกุลเผยนับว่าอาวุโสกว่า นายท่านใหญ่สกุลอู่และนายท่านสี่สกุลซ่งจึงเรียกกันเป็นพี่น้อง จากทางสกุลซ่งพูดขึ้นมาแล้ว ท่านแม่เฒ่าเผยยังพอเรียกได้ว่าอาวุโสกว่านายท่านใหญ่สกุลอู่ แต่สกุลใหญ่เจียงหนานเกี่ยวดองระหว่างกันมาก ยังมีอาหลานที่กลายเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กัน แต่ไหนแต่ไรการนับญาติก็ล้วนขึ้นอยู่กับฝ่ายชาย
เผยเยี่ยนมีช่วงหนึ่งที่สนิทสนมกับเจียงหวา จึงเข้าใจวิธีประจบของสกุลอู่เป็นอย่างดี การปฏิบัติต่อคนสกุลอู่จึงมีความเกรงใจแฝงมาด้วยความเหินห่างอยู่หลายส่วน เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงเวลานั้นย่อมจะบอกกล่าวท่านล่วงหน้า”
จากนั้นนายท่านใหญ่อู่ก็พูดเรื่องการค้าทางทะเล “ได้นำเรือทดสอบน้ำแล้ว รู้สึกว่ายอดเยี่ยมไม่น้อย เดิมทีข้ายังคิดจะออกทะเลจากหนิงปัว หากสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลของหนิงปัวถูกปิด เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเรือนี้ของพวกเราต้องลากไปที่กว่างโจวหรอกรึ? นี่ย่อมเสียหายไม่น้อย” ขณะที่พูด ก็เผยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน
เผยเยี่ยนไม่คิดเช่นนั้น
สกุลอู่ยังมีกิจการขนส่งทางน้ำ!
ไม่อาจไปทางทะเล ไม่อาจผ่านคลองต้าอวิ้นเหอ ก็สามารถอ้อมไปทางน้ำได้
นายท่านใหญ่สกุลเผิงที่เงี่ยหูฟังพวกเขาพูดคุยอยู่ตลอดเอ่ยทันที “กิจการขนส่งทางน้ำของปีนี้เป็นอย่างไร? ข้าได้ยินว่าหูเป่ยและหูโจวกำไรไม่ค่อยดี กิจการขนส่งเกลือไปไหนเสียล่ะ?”
นายใหญ่สกุลอู่ไม่อยากเอ่ยเรื่องกิจการของสกุลตัวเองนัก พูดกระอึกกระอักกับนายท่านใหญ่สกุลเผิงอยู่ค่อนวันก็ยังไม่เอ่ยอะไรออกมาชัดเจน
ยังดีที่กู้เจาหยางมาแล้ว ทำให้สองคนไม่มีเวลาประจันหน้ากันอีก
กู้เจาหยางบอกทุกคนว่า ขันทีของซือหลี่เจี้ยน หวังชีเป่าก็เข้ามาแล้วเช่นกัน “ตามเว่ยซานฝูเข้ามา เว่ยซานฝูอยู่ที่แจ้ง เขาอยู่ที่ลับ ยามนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าหวังชีเป่าไปถึงไหนแล้ว”
ทุกคนต่างก็สบสายตากันพักหนึ่ง
เว่ยซานฝูเป็นขันทีที่มีหน้ามีตาของซือหลี่เจี้ยน ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้อย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ส่งเขามาเจียงหนาน แต่หวังชีเป่าผู้นี้ กลับเป็นขันทีที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ตั้งแต่ยามที่เป็นรัชทายาท เป็นคนสนิทที่แท้จริง พี่ใหญ่ของยี่สิบสี่สำนัก ย่อมไม่ออกจากเมืองหลวงโดยง่าย
ครั้งนี้เขาก็ตามมาด้วย เกรงว่าคดีองค์ชายสามจะไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว!
ควรรู้ว่า ยามที่องค์ชายสามยังเล็กนั้นมีหวังชีเป่าคอยเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ส่วนเว่ยซานฝู ว่ากันว่าลอบไปมาหาสู่กับองค์ชายรองอยู่เรื่อยมา
นายท่านใหญ่สกุลเผิงปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด
เขาไม่กลัวว่าองค์ชายพวกนี้อยากได้เงินจากเขา แต่กลัวว่าองค์ชายพวกนี้จะบีบพวกเขาให้เลือกข้างต่างหาก
————————