ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 230 ไม่รู้
อวี้ถังไม่รู้เลยว่าการเคลื่อนไหวเล็กๆ ของนางจะดึงดูดความสนใจจากทั้งสองสกุลซ่งและสกุลเผิงได้
หลังจากอวี้ถังปรับอารมณ์ความคิดเสร็จ นางไม่เพียงคัดหนังสือสวดมนต์จบอย่างราบรื่น ทั้งลองชิมขนมข้าวหวานเย็นด้วยความกระตือรือร้น
มันค่อนข้างเหมือนกับขนมสาคูห่อไส้ของหลินอัน แต่ขนมสาคูห่อไส้ของหลินอันทำจากแป้งมันสำปะหลัง เป็นประกายใสและแวววาวกว่าหน่อย ส่วนขนมข้าวหวานเย็นของเฟิงเฉิงนั้นใช้แป้งข้าวเหนียว สีจะออกขาวมากกว่า
เห็นชัดว่าขนมแต่ละอย่างมักไม่ต่างกันนัก เพียงแค่เปลี่ยนวัตถุดิบหลักและชื่อเรียกเท่านั้น
อวี้ถังตัดสินใจคัดหนังสือสวดมนต์ให้เผยเยี่ยนสักหลายหน้าเช่นกัน เพื่อพระพุทธองค์จะคุ้มครองเขาให้ราบรื่นปลอดภัย
ซวงเถาที่นำขนมไปส่งกลับมาถึงแล้ว ทั้งนำของขวัญตอบแทนของคุณหนูสวีติดมาด้วย นางเอ่ยว่า “คุณหนูสวีเป็นคนดีมากเลยเจ้าค่ะ เห็นว่าข้าหอบของกินแรงมาก จึงให้อาฝูไปเรือนของเหล่าคุณหนูสกุลเผยเป็นเพื่อนด้วย แต่ว่า พวกคุณหนูสกุลเผยไม่มีใครอยู่เลย เห็นว่าออกไปเดินตลาดกัน ข้าฝากของเอาไว้แล้วจึงกลับมา” จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เจอเหล่าสตรีของสกุลซ่งและสกุลเผิงระหว่างทางให้นางฟัง แต่ไม่ได้บอกว่าคุณหนูสกุลซ่งพยายามสร้างความลำบากให้ บอกเพียงว่าพวกนางเด็ดดอกยี่โถกลับไป “อาฝูเห็นว่าเหล่าคุณหนูสกุลเผยไม่อยู่สักคน จึงบอกกับหญิงรับใช้ในเรือนคุณหนูห้าไว้ อาฝูยังพูดว่า อย่างไรสิ่งที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ส่วนหญิงรับใช้เรือนคุณหนูห้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกนายหญิงรองต่อหรือไม่ คุณหนูสกุลซ่งกับสกุลเผยจะเกิดเรื่องเพราะดอกยี่โถหรือเปล่า ก็ปล่อยให้เป็นไปตามเวรกรรมแล้ว แม้พระพุทธองค์จะมองอยู่ แต่ก็ไม่อาจตำหนิว่าเราไม่ลงมือช่วยเหลือเหล่าคุณหนูสกุลซ่งและสกุลเผิงได้” นางยังเอ่ยด้วยเสียงซาบซึ้งเต็มเปี่ยมว่า “คุณหนู ข้ารู้สึกว่าครั้งนี้ที่ติดตามท่านมาด้วยเป็นเรื่องที่ดีงามนัก พอได้เจอกับพวกอาฝูข้าถึงรู้ว่าตัวเองโง่เง่าเพียงใด ต่อไปข้าจะมองให้มาก คิดให้มาก พูดให้น้อย ตั้งใจศึกษาจากพวกนางให้ดีว่าควรรับใช้คุณหนูเช่นไร”
อวี้ถังหัวเราะทันที “เจ้าคิดจะเป็นบ่าวรับใช้ไปชั่วชีวิตรึ? ไม่คิดจะไถ่ตัวบ้างหรือไร?”
ชาติก่อน หลังจากที่สกุลอวี้ตกต่ำนางไม่ได้ขายซวงเถาออกไป แต่ไถ่ตัวให้ซวงเถาแทน จากนั้นเลือกพ่อค้าคนหนึ่งให้เป็นสามี แต่ซวงเถาก็ไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายนัก ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไรนั้น อวี้ถังเคยถามไปหลายรอบ แต่นางก็อึกๆ อักๆ ตอบอย่างคลุมเครือไปเสียทุกครั้ง ภายหลังอวี้ถังเจอเรื่องมากมาย จึงไม่มีเวลาสนใจนางอีก ดังนั้นชาตินี้เมื่อมีป้าสะใภ้ใหญ่เป็นแม่สื่อให้ซวงเถา คิดให้นางแต่งกับหวังซื่อ อวี้ถังรู้สึกว่าเช่นนี้ไม่เลว อย่างน้อยนางก็ยังปกป้องซวงเถาได้
ซวงเถาได้ยินก็โบกมืออย่างไม่เห็นด้วย “ไถ่ตัวออกไปมีอะไรดีเจ้าคะ? นายท่านนายหญิงต่างมีเมตตา คุณหนูก็ดูแลข้าอย่างดี ข้าอยากอยู่กับสกุลอวี้เจ้าค่ะ”
รอให้ท่านเขยชายแต่งเข้ามา สกุลอวี้ยังมีคุณหนูเป็นผู้ดูแล หากนางทุ่มเทแรงใจ คุณหนูไม่มีทางเอาเปรียบนางแน่
เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับลมช่วงฤดูใบไม้ผลิที่พัดมาแล้วผ่านไป นางกังวลเรื่องที่คุณหนูสกุลซ่งและสกุลเผิงเก็บดอกยี่โถไปมากกว่า “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าสกุลใหญ่ๆ ก็ยังแบ่งเป็นสูงกลางต่ำได้ สาวใช้ข้างกายคนหนึ่งของคุณหนูสวีรู้ว่าดอกยี่โถมีพิษ แต่คุณหนูจากสกุลซ่งและสกุลเผิงกลับไม่รู้ เห็นได้ชัดว่าสกุลสวีเก่งกาจยิ่งนัก ที่คุณหนูพวกนั้นยกยอคุณหนูสวีก็มีเหตุผลอยู่”
อวี้ถังพูดขึ้นว่า “ข้าเคยเห็นคนเก็บดอกยี่โถบ่อยๆ แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีใครถูกพิษเลยนะ? แต่เพราะกลิ่นของดอกยี่โถไม่น่าอภิรมย์ ผู้คนจึงไม่นิยมนำมาประดับผม อาจเพราะเหนือใต้มีความแตกต่าง มิใช่มีคำว่า ‘เหนือคือส้มหวาน ใต้คือส้มซ่า[1]’ หรอกหรือ?”
สองคนคุยเล่นกันอยู่พักหนึ่ง เหล่าคุณหนูสกุลเผยต่างก็วิ่งเฮโลเข้ามา
หลังจากพบคนสกุลเฉินแล้ว คุณหนูห้าก็ดึงมืออวี้ถังไปจับไว้ “วันนี้พวกเราไปเดินเล่นที่ตลาดตั้งแต่เช้า มีของกินเล่นขายเต็มไปหมด เสียดายที่อาซันไม่ยอม ข้าก็เลยซื้อมาไม่ได้ แต่ว่า ข้าได้ของดีมาอย่างหนึ่งล่ะ”
สีหน้าของนางแดงระเรื่อ มือก็หยิบหวีแกะสลักขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋า
ไม้ที่ใช้ทำหวีเป็นไม้ธรรมดาทั่วไป แต่แกะสลักลายปลาไนตัวอวบอ้วน เทียบกับลายสาลิกาเกาะกิ่งเหมย ลายรักมั่นยืนนานจำพวกนั้นแล้ว ทำให้คนตื่นตาตื่นใจกว่ามาก
“น่ารักยิ่ง!” อวี้ถังเอ่ยชมจากใจ
คุณหนูสามกับคุณหนูสี่ต่างลอบเม้มปากหัวเราะ
คุณหนูห้าถึงได้วางหวีเล่มนั้นลงบนฝ่ามือของอวี้ถัง เอ่ยว่า “สิ่งนี้มอบให้เจ้า”
อวี้ถังทั้งประหลาดใจแกมตื่นเต้น “ให้ข้ารึ?”
คุณหนูห้าหันไปพยักพเยิดหน้ากับคุณหนูรองด้วยท่าทางลำพองใจ
สายตาของคุณหนูรองเหลือบมามองอวี้ถังอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แม้อวี้ถังจะไม่รู้เหตุผล แต่เวลาเช่นนี้ นางย่อมไม่หักหน้าคุณหนูห้าแน่นอน จึงรีบเอ่ยว่า “ไอหยา ข้าชอบมันมากเลย แค่วิญญูชนไม่ชิงของรักของผู้อื่น หวีที่สะดุดตาเช่นนี้ ข้าแค่มองดูก็พอแล้ว เจ้ารีบเก็บกลับไปเถอะ ต่อไปเอาไว้ใช้งานได้”
คุณหนูห้าหัวเราะชอบใจ แล้วนั้นก็ล้วงหวีอีกเล่มที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะออกมาจากกระเป๋า เอ่ยว่า “เจ้าดูนี่ ข้าเองก็มีอีกเล่ม”
อวี้ถังชะงักไปเล็กน้อย
คุณหนูสามกับคุณหนูสี่หัวเราะฮ่าๆ ออกมาพร้อมกัน “พวกเราซื้อมาตั้งหลายเล่ม เหมาหวีบนร้านแผงลอยมาจนเกลี้ยง สุดท้ายพวกคุณหนูอู่จึงหาซื้อไม่ได้ แต่พวกเราพอแบ่งกันคนละเล่มพอดี”
คุณหนูอู่คือคนที่คุณหนูหกสกุลซ่งพูดว่านางอยากแต่งเข้าสกุลเผยคนนั้นน่ะรึ?
อวี้ถังรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ แต่ก็ข่มความอยากรู้ไม่ไหว “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? พวกเจ้าเล่าให้ข้าฟังบ้างสิ!”
คุณหนูสี่จึงเล่าเรื่องที่เจอคุณหนูอู่กับกู้ซีที่ร้านแผงลอยนอกวัดให้ฟังอย่างถูกอกถูกใจว่า “สองคนนั้นใส่หมวกผ้าโปร่งคลุมหน้า คนถูกล้อมรอบด้วยสาวใช้และหญิงรับใช้ ทั้งยังมีคนอารักขาอีก…มองเห็นตั้งแต่ไกลโน้น…เลือกว่าอันนั้นไม่ดีอันนี้ก็แย่…ชิ้นนี้นางเคยเห็นที่เมืองหลวง ชิ้นนั้นนางเคยซื้อที่ซูโจว คงกลัวหนักหนาว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าตนเกิดในสกุลร่ำรวย…นางก็ไม่กลัวไปสะดุดตาพวกโจรเสียบ้าง…น่าสงสารก็แต่พี่กู้ ต้องคอยเดินอยู่เป็นเพื่อน รอยยิ้มบนหน้าแข็งทื่อหมดแล้ว!”
เรื่องนี้มีกู้ซีมาเกี่ยวด้วยอย่างนั้นรึ?!
อวี้ถังพลันหูตั้งขึ้นมาทันที ก่อนได้ยินคุณหนูห้าถอนหายใจเอ่ยว่า “ตอนนั้นพวกเราควรจะลากพี่กู้ออกมาด้วย”
คุณหนูรองขมวดคิ้ว “พี่กู้ไม่ใช่เจ้าเสียหน่อย อาศัยว่าอายุยังน้อย ไม่เพียงเหมาของจากร้านแผงลอยมาจนหมด ยังจะพูดต่อหน้าคุณหนูอู่อีกว่าพวกเราพี่น้องหนึ่งคนหนึ่งเล่ม คุณหนูอู่ไปดักรอพี่กู้ที่หน้าประตูตั้งแต่เช้าตรู่ หากเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะปฏิเสธได้รึ? อีกอย่าง ใครจะคิดว่าคุณหนูอู่มีนิสัยชอบโอ้อวดล่ะ! พี่กู้ถึงพลอยลำบากไปด้วย”
คุณหนูสามได้ฟังก็เอ่ยอย่างกังวลว่า “สกุลอู่เมื่อก่อนเคยเป็นโจรสลัดมาก่อน ตอนนี้พวกเขาคงไม่ได้ลอบทำอาชีพเก่าอยู่ใช่ไหม?”
“เป็นไปไม่ได้หรอก?!” คุณหนูรองโต้แย้งทันควัน “หากว่าสกุลเขายังทำอาชีพเดิมอยู่ ท่านอาสามไม่มีทางยอมให้ไปมาหาสู่กับสกุลเราแน่ สกุลอู่ใช้อำนาจอวดเบ่งอยู่ที่หูโจวจนเคยตัว คุณหนูอู่ก็แค่ได้รับอิทธิพลจากครอบครัวมาก็เท่านั้น”
คุณหนูสี่ได้ฟังก็พึมพำเสียงเบาว่า “อย่างไรข้าก็ไม่ชอบคุณหนูอู่อยู่ดี ข้าไม่อยากให้นางแต่งเข้าสกุลเรา”
คุณหนูรองโมโหจนต้องหัวเราะออกมา “ต่อให้พวกเราอยากไปสู่ขอนาง อย่างน้อยก็ต้องมีคู่หมายที่เหมาะสมเสียก่อน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้หรอก หันไปสนใจเรื่องของตัวเองจะดีกว่า”
“ข้ามีเรื่องอะไรล่ะ?” คุณหนูสี่หน้าแดง รีบเอ่ยอย่างร้อนตัวว่า “ข้าจะฟ้องท่านย่าว่าท่านรังแกข้า!”
คุณหนูรองคล้ายจะมองนางด้วยสายตาโง่งม จากนั้นก็ไม่สนใจนางอีก
คุณหนูห้าแอบกระซิบเล่าให้อวี้ถังฟังว่า “คนของสกุลเผิงต้องการสู่ขอคุณหนูจากสกุลเราน่ะ”
ท่าทางนั้น คล้ายว่าไม่ได้คำนึงถึงตนเองเลย
บางทีอาจเป็นเพราะนางอายุยังน้อย
อวี้ถังเม้มปากขำ คิดว่าไม่ว่าจะเป็นสกุลเผิงหรือสกุลอู่ เกรงว่าครั้งนี้ต้องคว้าน้ำเหลวแล้ว
นางเก็บหวีไว้เป็นอย่างดี แล้วขอบคุณเหล่าคุณหนูสกุลเผยอย่างจริงใจอีกครั้ง
หลังจากพวกนางถามไถ่สุขภาพของอวี้ถังแล้ว รู้ว่านางหายดีอย่างรวดเร็ว ก็เริ่มส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจคุยกันเรื่องถวายธูปหอมวันพรุ่งนี้
กู้ซีทางนั้นก็กลับไปยังที่พักของตน
เพียงแต่นางเพิ่งจะย่างเท้าเข้าห้องโถง ก็เห็นพี่ชายกู้ฉ่างซึ่งเดิมควรจะนั่งหารืออยู่กับเผยเยี่ยนทางนั้น กลับนั่งหน้าอึมครึมอยู่บนเก้าอี้ไท่ซื่อกลางห้อง ท่าทางคล้ายว่ากำลังรอนางอยู่
หัวใจนางกระตุกกึก รีบตั้งสติใหม่ทันทีก่อนจะส่งยิ้มให้กู้ฉ่าง เอ่ยเสียงหวานว่า “ท่านพี่มาตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ? มิใช่บอกว่ากลางวันจะกินข้าวกับนายท่านสามรึ? ทางนั้นเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?”
เมื่อวานพี่ชายมาพบนางทันทีที่มาถึงวัด นางถึงได้รู้ว่าเพราะเรื่องงานแต่งของนาง พี่ชายจึงขอรับภารกิจในมือนี้เพื่อจะได้มายังหังโจว แต่พอรู้ว่านางอยู่ที่นี่ถึงได้เดินทางตามมา
สองพี่น้องโต้เถียงกันทั้งคืนเพราะเรื่องงานแต่งระหว่างนางกับเผยถง หากมิใช่เด็กรับใช้ของพี่ชายเข้ามาแจ้งว่าเผยเยี่ยนทางนั้นมีเวลาว่างแล้ว น่ากลัวสองคนคงทะเลาะกันไม่จบแน่
พี่ชายนางตีหน้าขึง เขาต้องการคุยเรื่องเผยถงกับนางต่อรึ?
ในใจกู้ซีค่อนข้างจะหวาดกลัว
พี่ชายคอยปกป้องนางตั้งแต่เล็ก นางมีปัญหาอะไรก็ล้วนแต่ปรึกษาพี่ชายทั้งนั้น มีเพียงเรื่องแต่งงานกับเผยถงที่ตนตัดสินใจก่อนแล้วค่อยแจ้งตามหลัง แน่นอนว่าพี่ชายของนางย่อมไม่สบอารมณ์อย่างมาก
กู้ซีใคร่ครวญดู จากนั้นก็รินน้ำชาส่งให้พี่ชายของตนก่อน แล้วเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “ท่านพี่ ท่านอย่าโกรธข้าเลย ข้ารู้ว่าท่านหวังดีต่อข้า แต่ข้าก็มีความคิดของตนเอง ต่อให้เผยสยากวงจะดีเพียงใด แต่เขาไม่ได้ชอบข้า ทั้งเขายังเป็นผู้นำสกุลเผยอีก ตัดขาดกับเส้นทางขุนนางโดยสิ้นเชิง ข้าไม่ยินดีจะแต่งกับคนเช่นเขา ท่านดูสกุลหลีสิเจ้าคะ แต่ก่อนมิใช่ประกาศไปทั่วว่าคุณหนูสกุลเขาให้เผยสยากวงเลือกได้ตามใจ แล้วท่านดูตอนนี้สิ พวกเขายังจะพูดคำเดิมอยู่ไหม? นั่นก็เพราะเผยสยากวงมิได้เป็นขุนนางอีกต่อไปแล้ว และแม้เผยถงจะแย่ขนาดไหน แต่เขาอ่านเขียนได้เก่งกาจจริง มีสกุลฝั่งมารดาที่ยินดีจะสนับสนุนเขาจริง เป็นหลานชายคนโตของสกุลเผยบ้านหลักจริง อีกอย่างเผยสยากวงมีความรู้สึกว่าติดค้างเขา เรื่องเงินทองไม่มีทางแบ่งให้เพียงเล็กน้อยแน่ พวกเราควรถือโอกาสนี้สะบัดตำแหน่งผู้สืบทอดของสกุลเผยบ้านหลักทิ้งไป ให้ลูกหลานได้เล่าเรียนเขียนอ่านสอบเป็นขุนนาง เช่นนี้มิดีกว่าการเก็บตัวอยู่ที่หลินอันตลอดชีวิตหรือเจ้าคะ?”
“ก่อนหน้านี้ท่านก็เคยบอกว่าสกุลเผยเป็นสกุลที่คู่ควร”
“นายหญิงใหญ่ยังส่งคนมาสู่ขอทาบทามครั้งแล้วครั้งแล่า สัญญากับข้าว่าหากแต่งเข้าไปแล้ว จะให้ข้ากลับไปอยู่สกุลกู้เป็นเพื่อนเผยถงที่ต้องไปเล่าเรียน”
“ท่านก็รู้นี่เจ้าคะ นายหญิงใหญ่เป็นม่าย นางไม่อาจออกจากเมืองหลินอันได้”
“อาศัยแค่จุดนี้ ข้าก็ยินดีจะแต่งให้เขาแล้ว”
“เหลวไหว!” กู้ฉ่างได้ฟังก็แตกตื่น ลุกตัวยืนขึ้นแล้วกวาดสายตามองรอบๆ “มีสะใภ้ที่ไหนไม่อยู่ดูแลรับใช้แม่สามีบ้าง ข้าว่าพอข้าไม่อยู่เรือน เจ้าถึงได้กำเริบเสิบสานขึ้นเช่นนี้”
กู้ซีปิดปากหัวเราะ
อย่างไรพี่ชายก็รักนาง
นางคิดถึงสกุลหลี่ผู้โชคร้าย จึงถามถึงเรื่องของสกุลนั้นขึ้นมาว่า “สกุลเขายังมีโอกาสฟื้นกลับมาไหมเจ้าคะ? ข้าได้ยินว่าท่านเสิ่นวิ่งรอกไปทั่วเพื่อช่วยสกุลนั้น เรื่องแบบนี้โสมมเกินไป ข้าคิดว่าหากท่านเสิ่นทำเช่นนี้ มีแต่จะทำให้ชื่อเสียงตัวเองต้องด่างพร้อย”
“เจ้าจะไปรู้อะไร?” กู้ฉ่างเห็นว่ารอบข้างไม่มีคน ในใจจึงเริ่มสงบลงบ้าง เขานั่งลงอีกครั้ง แล้วตำหนิน้องสาวว่า “หลี่ตวนเป็นศิษย์ของท่านเสิ่น ตอนนี้เขามีสองทางเดินให้เลือกเท่านั้น หนึ่งคือขีดเส้นแบ่งกับสกุลหลี่เสีย สองคือวิ่งรอกหาทางช่วย จากนิสัยของท่านเสิ่น ย่อมจะวิ่งรอกหาทางช่วยเหลือแน่ ไม่อย่างนั้นเขาจะได้ชื่อว่าลาออกจากขุนนางกลับไปอยู่บ้านเกิดได้อย่างไร? ส่วนเรื่องสกุลหลี่นั้น ต้องดูว่าเผยสยากวงยินยอมจะช่วยพวกเขาหรือไม่ ตอนนี้บุตรชายคนรองของจางอิงทำงานอยู่ที่ศาลต้าหลี่ เขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผยสยากวง หากว่าเผยสยากวงเอ่ยปาก ให้ลงโทษสกุลหลี่ด้วยการปรับเงินจำนวนหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะเอาตัวรอดจากเรื่องนี้ไม่ได้เสียทีเดียว”
——————————–
[1]เหนือคือส้มหวาน ใต้คือส้มซ่า เปรียบถึง สิ่งเดียวหรือเหตุการณ์เดียวกัน เพราะสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย