ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 240 เดือดดาล
คราวนี้ทุกคนในวิหารตะวันออกต่างก็รู้ว่าเกิดเรื่องกับอวี้ถังแล้ว
เหล่าท่านแม่เฒ่าอาบน้ำร้อนมาก่อน แม้จะตกใจ แต่ก็ไม่ถึงขนาดนั่งไม่ติดที่ ส่วนเหล่านายหญิงกับพวกหลานสะใภ้ต่างวางท่าว่าไม่ใช่เรื่องของตน เพียงมองดูความครึกครื้นเท่านั้น มีเพียงคนสกุลเฉินที่นั่งอยู่ด้านหลังเหล่าท่านแม่เฒ่าที่จู่ๆ ก็เห็นว่าบุตรสาวของตนเป็นลมไป นางเองก็ตกใจจนสติหลุด ได้แต่นั่งโง่งมอยู่ที่เก่าไม่ได้ขยับไปไหน ส่วนนายหญิงรองที่กำลังดูแลรับใช้เหล่าท่านแม่เฒ่าอยู่นั้น หัวใจพลันแทบหยุดเต้น ในใจลอบตะโกนไม่หยุดว่า ‘แย่แล้ว’
อวี้ถังเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของครอบครัว หากว่านางเกิดเป็นอะไรขึ้นมาระหว่างที่สกุลตนกำลังจัดพิธีบรรยายธรรม สกุลอวี้ทั้งสกุลเกรงว่าคงมองหน้ากันไม่ติด ส่วนสกุลเผยของนางที่จัดการเรื่องราวได้บกพร่อง ย่อมไม่อาจมีหน้าไปแก้ต่างกับผู้อื่นได้
นายหญิงรองรีบวิ่งเข้าไปดูทันที
คนสกุลเฉินเพิ่งจะได้สติกลับมา น้ำตานางไหลพรูดั่งสายฝนแล้วร้องว่า “ลูกสาวข้า” ก่อนจะวิ่งตามนายหญิงรองไปติดๆ
คนที่เป็นลมหมดสติมักจะตัวหนักมาก มีเพียงคุณหนูห้าที่ร่างกายยังไม่โตเต็มวัยยืนอยู่ใกล้อวี้ถังมากที่สุด นางประคองอวี้ถังเอาไว้ รอจนนายหญิงรองกับคนสกุลเฉินวิ่งมาหาแล้วรับตัวอวี้ถังไป คุณหนูห้าพลันพบว่าครึ่งร่างของตนชาหนึบไปหมดแล้ว แต่นางก็ยังจำคำพูดของพี่สาวได้ขึ้นใจ รีบเอ่ยกับนายหญิงรองว่า “ท่านแม่ พี่อวี้คล้ายจะเป็นลมแดดเจ้าค่ะ!”
คนสกุลเฉินร้อนใจจนคิดอะไรไม่ออก ได้ยินดังนั้นก็รีบขอร้องนายหญิงรองว่า “เร็วเข้า รีบเชิญท่านหมอมาดูอาการที!”
นายหญิงรองมองสีหน้าซีดเหลือง ริมฝีปากแห้งผาก ดวงหน้าไม่มีแม้เหงื่อสักเม็ด ไม่คล้ายคนที่เป็นลมแดด แต่เมื่อเห็นท่าทางสับสนแตกตื่นของคนสกุลเฉินแล้ว จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “นายหญิงอวี้ ตรงนี้มีคนมาก อย่างไรก็ให้คุณหนูอวี้อยู่ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด ท่านคิดว่าเช่นนี้ดีหรือไม่? ข้าจำได้ว่าหลังวิหารมีห้องสงบใจห่างออกไปไม่ไกลนัก ข้าจะให้คนไปแจ้งต่อเจ้าอาวาสเดี๋ยวนี้ ขอยืมใช้สถานที่พวกเขาชั่วคราว แล้วพาคุณหนูอวี้ไปพักที่นั่นก่อน ส่วนเรื่องท่านหมอ ก็ให้เชิญท่านหมอที่ติดตามพวกเรามาให้ไปตรวจอาการ ขณะเดียวกันก็ส่งคนไปเชิญหมอในเมืองมาด้วย เช่นนี้ย่อมจะปลอดภัยกว่า ท่านหมอที่ติดตามมาด้วยจัดการได้ง่าย ให้จี้ต้าเหนียงไปแจ้งสักคำก็ได้แล้ว ส่วนท่านหมอที่อยู่ในเมือง ข้าให้หญิงรับใช้ข้างกายไปบอกกับผู้ดูแล สองอย่างจัดการพร้อมกันเช่นนี้ ไม่มีทางล่าช้าต่ออาการป่วยของคุณหนูอวี้แน่ ท่านเองก็สงบใจลงก่อน อีกเดี๋ยวคุณหนูอวี้ยังต้องการให้ท่านดูแลอีก!”
ระหว่างที่พูดท่านแม่เฒ่าก็รีบร้อนเดินเข้ามาหา
นางไม่พร่ำทำเพลง ทรุดตัวลงแล้วจับชีพจรให้อวี้ถังทันที
นี่ใช่ว่าเป็นลมแดดที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่าได้รับความแตกตื่น
ในใจนางพลันบันดาลโทสะ
เหล่าคุณหนูเล่นอุบายพวกนี้ ในสกุลใหญ่ไม่นับว่าเป็นอะไร แต่หากลงมือทำกันถึงขั้นนี้ ออกจะเลยเถิดเกินไปหน่อยแล้ว
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยส่งสายตาให้นายหญิงรองอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็ปลอบขวัญคนสกุลเฉินว่า “ถูกต้อง! เจ้าวางใจเถอะ แม่หนูน้อยไม่เป็นอะไรหรอก นางเป็นเด็กดี ทั้งพวกเราก็อยู่ในวัด พระพุทธองค์ย่อมคุ้มครองนางแน่ ตอนนี้เจ้าต้องสงบใจลงก่อน รอให้ท่านหมอมาดูตรวจอาการแล้วค่อยว่ากันใหม่”
คนสกุลเฉินได้รับการปลอบใจจากท่านแม่เฒ่าและนายหญิงรองสกุลเผย ในที่สุดก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวถึงเพียงนั้นแล้ว
นางได้แต่เอ่ยขอบคุณไม่หยุดปาก
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยบอกกับคนที่มุงดูด้วยเสียงราบเรียบไร้เรื่องราวว่า “ไม่มีอะไรแล้ว อาจเพราะจุดกำยานมากเกินไปหน่อย คุณหนูน้อยถึงได้หายใจไม่สะดวก ปรับตัวไม่ค่อยทัน รอให้ท่านหมอมาถึงกินยาสักหลายเม็ดก็หายดีแล้ว”
นอกจากสิ่งนี้ ทุกคนก็นึกความเป็นไปได้อย่างอื่นไม่ออกอีก บวกกับท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเพิ่งจะจับชีพจรให้อวี้ถัง แต่ละคนจึงส่งเสียงว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกกล่าวได้เต็มที่ มีเพียงเผิงสืออีที่เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงขออภัยว่า “คงมิใช่ถูกข้าทำให้ตกใจกระมัง? รอยแผลเป็นบนหน้าข้าน่ากลัวเกินไป! หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่มาคารวะท่านที่นี่แล้ว”
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยได้ฟังก็ชะงักกึก รู้สึกว่าไม่แน่อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ แต่นางก็ปฏิเสธสมมติฐานของตนอย่างรวดเร็ว ด้วยเชื่อว่าอวี้ถังไม่ใช่คนขี้กลัวเพียงนั้น นางอดจะยิ้มแล้วเอ่ยไม่ได้ว่า “คุณชายสืออีคิดมากไปแล้ว เหล่าคุณหนูสกุลข้ามิได้ไร้ประสบการณ์เพียงนั้นหรอก”
เผิงสืออีค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยยังคงเอ่ยกับทุกคนด้วยรอยยิ้มต่อว่า “ข้ารู้ว่าทุกคนเป็นห่วงคุณหนูอวี้ แต่แยกย้ายกันเสียเถอะ! คุณหนูอวี้เดิมก็หายใจไม่สะดวก พวกเรามามุงอยู่แบบนี้ นางมีแต่จะแย่กว่าเก่า”
แต่ละคนต่างรับคำเห็นด้วย แม้จะไม่ได้กลับไปนั่งที่ของตนเอง แต่ก็เดินจากออกมาเล็กน้อย บรรยากาศของวิหารตะวันออกจึงค่อยอบอุ่นขึ้นบ้าง
คุณหนูอู่กับกู้ซียืนอยู่ด้านนอกสุดของวงล้อม แต่เพราะคุณหนูอู่เขย่งเท้าจึงมองเห็นอวี้ถังอยู่หลายที นางกระซิบข้างหูกู้ซีว่า “นางคงไม่ได้แกล้งทำใช่ไหม? ข้าว่าเป็นลมแดดมิได้มีอาการเช่นนี้”
กู้ซีคิดไม่ตกว่าเหตุใดอวี้ถังต้องทำเช่นนี้ นางเอ่ยอย่างฉงนว่า “น่าจะไม่ใช่กระมัง?”
คุณหนูอู่อดจะทำเสียงเย้ยหยันไม่ได้ “บางคนก็มีเล่ห์เหลี่ยมเยอะเกินไป ใครจะรู้ว่านางมีแผนอะไรอีก?”
กู้ซีอยากถามว่าคุณหนูอู่มองเห็นอะไรผิดปกติหรือไม่ แต่จี้ต้าเหนียงพาหญิงรับใช้ร่างกำยำสองคนแบกเกี้ยวเข้ามาเสียก่อน
นายหญิงรองกับคนสกุลเฉินช่วยกันประคองอวี้ถังขึ้นเกี้ยว
เผยเยี่ยนคอยติดตามความเคลื่อนไหวของวิหารฝั่งตะวันออกอยู่ก่อนแล้ว ด้วยกังวลว่าอวี้ถังกับกู้ซีจะมีเรื่องทะเลาะกัน บัดนี้ทางนั้นทั้งเรียกใช้เกี้ยว ทั้งเรียกหาท่านหมอ คนอื่นอาจจะไม่ได้สนใจ แต่กลับปิดเผยเยี่ยนได้ไม่มิด
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบชั่วพริบตา แต่ไม่รอให้พวกอาหมิงที่เขาเรียกเข้ามาเปิดปากถาม เผยหม่านก็สาวเท้าฉับๆ เข้ามาหา แล้วกระซิบเรื่องที่อวี้ถังเป็นลมให้เผยเยี่ยนฟังทันที
“เจ้าว่าอะไรนะ?!” เผยเยี่ยนสูดหายใจเย็นเยือกเข้าปอด คล้ายลมหนาวปัดผ่านส่วนลึกในใจของเขา ทำให้เขาสะท้านจากภายใน สีหน้าเหมือนถูกแช่แข็งจนซีดเผือดไปหมด
เขากระเด้งตัวลุกทันที อ้าปากได้ก็อยากถามว่า ‘ทำไมคุณหนูอวี้ถึงเป็นลม’ แต่หางตาเห็นว่าเถาชิงกำลังมองเขาอยู่ด้วยสีหน้าสนใจใคร่รู้
เผยเยี่ยนได้แต่ข่มคำพูดพวกนั้นกลืนลงคอไป
หากเขาตะโกนถามเช่นนั้นออกไป คุณหนูอวี้อาจมีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วสกุลใหญ่ทั้งหลาย หรืออาจเป็นที่รู้จักทั่วทั้งเจียงหนานก็เป็นได้
ชั่วขณะหนึ่ง ในใจเผยเยี่ยนเหมือนถูกกรงเล็บแมวตะปบข่วนใส่ มันปวดแปลบและบีบรัดอย่างทรมาน
สีหน้าของเขาย่ำแย่ลงกว่าเก่า
คุณหนูอวี้เดิมก็เป็นตัวปัญหาอยู่แล้ว มักชอบเดินอยู่ข้างแม่น้ำ ครั้งนี้ยังทำรองเท้าเปียกอีก มิใช่เรื่องปกติหรอกรึ?
แล้วเขาจะเป็นห่วงนางเรื่องอะไร?
แม้สมองคิดได้เช่นนั้น แต่ความรู้สึกปวดหนึบในใจกลับกดเอาไว้ไม่อยู่
อีกอย่างเขาไม่รู้ว่าอวี้ถังทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ เขาไม่มีกะใจจัดการกับอารมณ์ของตนอย่างละเอียด มีแต่สั่งกับเผยหม่านด้วยสีหน้าอึมครึมว่า “เจ้าตามข้ามา!”
พูดจบ เขาก็ไม่ให้คำอธิบายแก่ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นสักคำ ยกเท้าได้ก็ก้าวไปทางประตูหลังของวิหารทันที
พวกนายท่านสี่สกุลซ่งที่นั่งอยู่กลางวิหารถูกทิ้งอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ละคนได้แต่มองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น จะส่งคนออกไปถามสักหน่อยดี? หรือแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วรออยู่ตรงนี้ต่อไปดี?
เผยหม่านสัมผัสได้ถึงความเกรี้ยวกราดที่เผยเยี่ยนกดเอาไว้ภายใน เขารีบดึงสติแล้วเร่งฝีเท้าตามหลังมา แล้วเล่าเรื่องที่อวี้ถังเป็นลมให้เขาฟังอย่างละเอียด
ความรู้สึกของเผยเยี่ยนเหมือนกับหนึ่งวันในเดือนหกที่ฝนใกล้จะถล่มลงมา มันอึมครึม กังวล และร้อนรุ่ม
เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไม่มีใครรู้เรื่องสักคนเลยรึว่าเกิดอะไรขึ้น?”
เผยหม่านนับว่ารู้แจ้งแล้ว นายท่านสามของเขาขอเพียงได้เจอกับคุณหนูอวี้ ต่อให้ไม่มีเรื่องก็ทำให้เป็นเรื่องได้ นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่เกิดเรื่องกับคุณหนูอวี้จริงๆ ไม่รู้ว่าในใจของนายท่านสามจะเดือดดาลเพียงใดแล้ว!
เขาไม่อยากถูกพาลโกรธไปด้วย
เผยหม่านตอบอย่างระมัดระวังว่า “ต้องรอให้ท่านหมอมาตรวจจึงจะรู้แน่ชัดขอรับ”
เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างรำคาญใจว่า “แล้วเจ้ายังไม่รีบไปเชิญหมอมาอีก?”
เผยหม่านแทบจะสำลักจนพูดไม่ออก
เขาเป็นพ่อบ้านใหญ่ในจวน ต้องดูแลธุระต่างๆ ของสกุล หากว่าเขาไปเชิญหมอ แล้วงานเป็นกระบุงที่กองอยู่ตรงหน้าใครจะดูแล? อีกอย่าง ในมือเขาก็ยังมีผู้ดูแลอีกหกเจ็ดคน ไว้ทำเรื่องจุกจิกเบ็ดเตล็ด หากว่าเรื่องเล็กๆ อย่างตามหมอยังต้องให้เขาลงมือเอง แล้วจะเลี้ยงบ่าวรับใช้ไว้ทำอะไรตั้งมากมาย?
หลักการนี้เมื่อก่อนนายท่านสามเป็นคนพูดกับเขาด้วยตนเอง!
แต่นายท่านสามในเวลานี้เหมือนกับเขาเปลวเพลิงที่ใกล้ปะทุเต็มแก่ เขาไม่อยากจะเติมเชื้อไฟเข้าไป แล้วจุดชนวนเปลวเพลิงให้ระเบิด จนเผาตัวเขาเองให้มอดม้วย
เขาตอบทันทีว่า “จะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
ส่วนเขาจะไปเชิญด้วยตนเองหรือส่งคนอื่นไปเชิญแทน นั่นก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว
คนหนึ่งข่มเพลิงโทสะเอาไว้ คนหนึ่งเป็นพ่อบ้านที่รับคำส่งๆ สองคนเดินตามกันออกทางประตูหลังของวิหาร เผอิญได้เห็นเกี้ยวหลังหนึ่งที่แบกอวี้ถังออกมาพอดี
คนที่เคยกระโดดโลดเต้นทำให้เขาโมโหแทบตาย บัดนี้กลับนอนไม่ได้สติ…
เผยเยี่ยนตื่นตะลึง เป็นนานที่สติหลุดลอยออกไป
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยที่เดินออกมาส่งอวี้ถังมองเห็นเผยเยี่ยนแทบจะในทันที
“เจ้ามาได้อย่างไร?” ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเร่งฝีเท้าเดินมาหา เพราะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกับอวี้ถังแน่ แม้ต่อหน้าคนนอกจะทนฝืนไว้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบุตรชายกลับเผยสีหน้ากังวลหลายส่วน นางเอ่ยเสียงรัวเร็วว่า “เจ้ารู้เรื่องคุณหนูอวี้แล้วรึ? ข้ากลัวว่าท่านหมอที่พามาจะรักษาได้แต่อาการปวดหัวตัวร้อนทั่วไป ต้องรีบไปเชิญท่านหมอที่เก่งๆ มาจึงจะใช้ได้ หากว่าไม่ไหว ก็ต้องส่งคนไปเมืองหังโจว ถ้าตอนนี้ติดต่อท่านหมอหลวงหยางได้ก็คงดี”
หมอหลวงหลางเมื่อครู่เพิ่งมาจับชีพจรให้นายหญิงใหญ่สกุลเผย
เผยเยี่ยนสั่งว่า “เช่นนั้นก็ให้เขามาที่นี่อีกสักรอบ”
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยพยักหน้าอย่างกระวนกระวาย “เจ้าไม่ต้องห่วง ทางนี้มีข้าดูแลอยู่! วันนี้พี่สะใภ้รองเจ้าก็รับมือได้เหมาะสม เจ้าไปต้อนรับคนของสกุลซ่งสกุลอู่ที่โถงหลักเถอะ”
เผยเยี่ยนมองดูข้อมือของอวี้ถังที่ตกห้อยอยู่นอกเกี้ยวอย่างไร้เรี่ยวแรง ในใจเขาไม่รู้เกิดความรู้สึกใดบ้าง มันลนลานสับสนไปหมด
“ไม่เป็นไรขอรับ มิใช่ยังมีพี่รองอยู่หรือ?” สายตาของเผยเยี่ยนติดแน่นอยู่ที่ร่างของอวี้ถัง คิดจะละสายตาแต่ก็ทำไม่ได้ เขาเอ่ยว่า “ข้าตามไปดูด้วยจะดีกว่า อย่างไรข้าก็เป็นคนเชิญคุณหนูอวี้มาด้วยตนเอง ท่านยังต้องไปรับรองพวกนายหญิง พี่สะใภ้รอง…” เรื่องใหญ่ทำไม่ได้ แต่ดูแลคนป่วยคงทำได้กระมัง ทว่าเขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี
เผยเยี่ยนอ้าปากพะงาบๆ ต้องการหาเหตุผลมาหว่านล้อมมารดา นายหญิงรองกับคนสกุลเฉินเพิ่งเห็นว่าเผยเยี่ยนก็มาด้วย จึงรีบร้อนเอ่ยทักทายเขา
นายหญิงรองมีเรื่องอยากพูดกับเผยเยี่ยน คนสกุลเฉินกลับกลัวว่าจะเสียเวลารักษาอาการของอวี้ถัง พอทักทายเสร็จก็เร่งให้หญิงรับใช้ทั้งสองพุ่งหน้าไปที่ห้องสงบใจทันที นายหญิงรองจึงได้แต่มองเผยเยี่ยนอย่างลำบากใจ
เผยเยี่ยนกลับเอ่ยว่า “พวกท่านรีบส่งคุณหนูอวี้ไปก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวข้าค่อยตามไปพร้อมกับท่านหมอ”
พูดเช่นนี้นับว่าไม่ผิดกระมัง?
เขาลอบถอนหายใจโล่งอก
ท่านแม่เฒ่ากับนายหญิงรองสกุลเผยถูกเขาชังจูงให้เข้าใจผิดทาง คิดว่าเขารอให้ท่านหมอจากหลินอันมาถึงแล้วค่อยมาเยี่ยมอวี้ถังพร้อมกัน
ในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน นับว่าเหมาะสมดีแล้ว
สองคนจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
นายหญิงรองกับคนสกุลเฉินสาวเท้าฉับๆ พลางดูแลอวี้ถังขณะมุ่งไปยังห้องสงบใจ ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยกลับไปรับรองเหล่านายหญิงสกุลต่างๆ ต่อ
เผยเยี่ยนลังเลว่าเวลานี้จะตามไปได้แล้วหรือไม่ หรือรออีกสักพักเดินวนอีกสักรอบค่อยตามเข้าไป แต่พอเขาเงยหน้าขึ้น สายตาก็เห็นกู้ซีกับคุณหนูอู่ที่ยืนหันซ้ายแลขวาอยู่ข้างประตูวิหารฝั่งตะวันออกพอดี
———————————————————–