ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 26 ดูตัว
สองสามีภรรยาพูดคุยเปิดอกกันอย่างสบายใจ ป้าสะใภ้ใหญ่สกุลหวังหอบสาลี่สดใหม่มาจากตลาด บอกว่าให้อวี้ถังลองชิม สะใภ้ทั้งสองอดจะคุยเรื่องงานหมั้นหมายของอวี้ถังไม่ได้ พอรู้ว่าเถ้าแก่ถงจะเป็นพ่อสื่อให้อวี้ถัง คนสกุลหวังก็เอ่ยยินดีว่า “ถ้ากำหนดวันได้แล้ว อย่าลืมบอกข้าด้วย ข้าก็อยากไปเห็น”
คนสกุลเฉินหัวเราะ “ไม่รู้ว่าจะตกล่องปล่องชิ้นหรือไม่? เพียงไปดูลาดเลาก่อนเท่านั้น”
คนสกุลหวังยิ้มเพราะไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น “อาศัยอาถังของพวกเรา มีแต่นางที่เลือกผู้อื่น ไม่มีหรอกที่ผู้อื่นเลือกนาง”
คนสกุลเฉินค่อนข้างคาดหวังกับคู่หมายนี้เช่นกัน จึงยิ้มแล้วเอ่ยต่อว่า “ต้องหยิบยืมความโชคดีของท่านแล้ว”
—
บางทีอาจจะมีวาสนาต่อกันจริง เพราะไม่นานเถ้าแก่ถงก็ตอบจดหมายกลับมา บอกว่าบุตรชายคนรองกับคนที่สามของสกุลเว่ยล้วนรุ่นราวคราวเดียวกับอวี้ถัง ให้สกุลอวี้เลือกได้ตามใจ
คนสกุลหวังได้ยินก็หัวเราะจนหุบปากไม่ได้ พูดกับอวี้ป๋อว่า “ดูแล้วสกุลเว่ยน่าจะเป็นคนจริงใจไม่เลว ไม่แน่อาจเป็นคู่หมายที่ดีก็ได้!”
อวี้ถังเป็นดั่งไข่มุกบนฝ่ามือ ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ของทั้งชีวิต อวี้ป๋อแม้จะไม่ได้ไปถามไถ่ด้วยตนเอง แต่ก็ห่วงใยอย่างมาก พอได้ยินอย่างละเอียดแล้วก็กำชับคนสกุลหวังว่า “เจ้าอายุมากกว่าน้องสะใภ้ จัดการเรื่องใดก็ละเอียดรอบคอบ เรื่องของอาถังนี้ เจ้าต้องคอยดูให้ดี สิ่งอื่นล้วนเป็นรอง นิสัยใจคอมาเป็นอันดับหนึ่ง ครอบครัวกับเรื่องอื่นๆ หากเป็นคนอารมณ์ร้อน ต่อให้เก่งกาจ หล่อเหลาเพียงใด ซื่อตรงเพียงไหน ก็ไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้”
“ทราบแล้ว ทราบแล้ว!” คนสกุลหวังพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็นึกถึงบุตรชายของตน ขณะที่นั่งหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งก็เอ่ยกับอวี้ป๋อว่า “งานแต่งของหย่วนเอ๋อร์ ท่านตัดสินใจแล้วหรือยัง”
แต่ก่อนคนสกุลหวังคิดจะดองกับพี่น้องสกุลฝั่งมารดา ใครจะคิดว่าเด็กคนนั้นอายุได้แปดขวบก็จากไปเสียแล้ว คนสกุลหวังใจหายใจคว่ำ ไปวัดเพื่อทำนายชะตาให้อวี้หย่วน ได้ความว่าอวี้หย่วนไม่เหมาะจะแต่งงานเร็วเกินไป งานมงคลของเขาถึงได้ยืดเยื้อมาจนบัดนี้
สกุลอวี้มีลูกหลานน้อย แต่ไรก็เห็นความสำคัญของเด็กๆ เป็นที่สุด อวี้ป๋อจึงไม่กล้าตัดสินใจลวกๆ “รอให้ข้าปรึกษากับฮุ่ยหลี่ก่อนค่อยว่ากัน” ทั้งถามคนสกุลหวังอีกรอบว่า “จะไปดูตัวเด็กทั้งสองคนเลย หรือเลือกแล้วว่าจะไปดูคนไหน?”
คนสกุลหวังหัวเราะ “น้องสะใภ้เล่าว่า บุตรคนรองโตกว่าอวี้ถังสองปี อายุมากกว่าหน่อย น่าจะรู้ความ จึงจะไปดูตัวบุตรคนรองของพวกเขา”
อวี้ป๋อพยักหน้า ไม่ถามเรื่องนี้ต่ออีก
—
อวี้ถังทางนั้นพอถึงเวลา ในใจกลับกระวนกระวายรู้สึกไม่สงบ
งานแต่งงานของนาง จะจบลงเช่นนี้แล้วจริงหรือ?
ไม่รู้ว่าคนที่ชื่อเว่ยเสี่ยวซานจะหน้าตาเช่นไร? นิสัยแบบไหน? แล้วมองการแต่งงานครั้งนี้อย่างไรบ้าง?
นางถอนหายใจยาวเหยียด แล้วบอกกับตัวเองว่า สกุลเว่ยมีความจริงใจเต็มเปี่ยม ได้ยินว่าบุตรคนโตสกุลเว่ยยังสอบเป็นถงเซิงได้ด้วย สามารถมีคู่หมายเช่นนี้ ก็นับว่าคู่ควรเหมาะสม นางควรจะพอใจจึงจะถูก แต่แม้จะคิดเช่นนั้น หัวใจกลับไม่ฟังคำสั่งของนาง มันมีแต่ความกลัดกลุ้ม ไม่รู้สึกยินดีเลยสักนิด
จนถึงวันที่ไปดูตัว คนสกุลเฉินก็เชิญหม่าซิ่วเหนียงไปเป็นเพื่อนอวี้ถังด้วย
เพราะสถานที่ดูตัวนัดหมายไว้คือวัดเจาหมิง อวี้ถังนอกจากต้องเช่ารถม้า ตระเตรียมอาหารแห้ง ยังต้องไปจองอาหารเจที่วัดเจาหมิงล่วงหน้าและเชิญคนกลาง…คนสกุลเฉินมัววุ่นหน้าวุ่นหลัง อวี้ถังก็จงใจปกปิด คนสกุลเฉินจึงไม่เห็นท่าทีผิดปกติของอวี้ถัง ทว่าหม่าซิ่วเหนียงกลับสังเกตเห็นแล้ว
นางหาข้ออ้างไล่ซวงเถาที่รับใช้อยู่ในห้องออกไปด้านนอก ดึงมืออวี้ถังแล้วกระซิบถามนางว่า “เจ้าเป็นอะไรไปอีก? ไม่พอใจรึ? หรือว่ามีความคิดเป็นอื่น? อีกเดี๋ยวต้องไปดูตัวแล้ว หากว่าไม่มีอะไรย่ำแย่เกินเหตุ เรื่องนี้แปดเก้าส่วนคงตกลงกันได้ ถ้าเจ้ารู้สึกว่ามีอะไรไม่ดี ถือโอกาสตอนไม้ยังไม่กลายเป็นเรือ รีบพูดมันออกมาเสีย ถ้าเรื่องหมั้นหมายกำหนดเรียบร้อยแล้ว ต่อให้เจ้ามีพันความคิดหมื่นคำพูด ก็ต้องกดเอาไว้ในใจชั่วชีวิต นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ มีแต่จะเป็นผลร้ายต่อผู้อื่นและตัวเจ้าเองด้วย”
หม่าซิ่วเหนียงไม่เชื่อว่าอวี้ถังจะไม่รู้สึกหวั่นไหวสักนิดต่อผู้ที่ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือความจริงใจก็ไม่อาจหาข้อบกพร่องอย่างหลี่จวิ้นได้
อวี้ถังหันไปยิ้มให้หม่าซิ่วเหนียง เพียงแต่นางคงไม่รู้ว่า รอยยิ้มของตนฝืดเฝื่อนปานใด
“ข้ารู้น่า” นางตอบเสียงเบา “ท่านแม่กับท่านพ่อข้าใช่ว่าเป็นคนไร้เหตุผล ข้าเพียงรู้สึกว่า ถ้าต้องแต่งออกไปเช่นนี้…”
นางกลัว
คิดถึงตอนแรก หลี่ตวนกับกู้ซี ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรคอยอิจฉา ขนาดนางเองตอนที่ยังไม่รู้ว่าหลี่ตวนเป็นคนมีความคิดวิปริต ก็ยังเคยรู้สึกว่าสามีภรรยาคู่นี้ไม่ว่าจะดื่มสุรารอบวง เขียนคิ้วให้กัน ช่างเหมือนกับนกยวนยางคู่หนึ่งหรือ?
หม่าซิ่วเหนียงไม่เชื่อ แต่กลัวว่าถ้านางพูดมากไปจะทำให้อวี้ถังรู้สึกต่อต้าน ต่อไปหากมีเรื่องใดก็จะไม่ปรึกษานางอีก เหมือนก่อนหน้าที่เที่ยวก่อกวนจะไปดูหน้าหลี่จวิ้นที่วัดเจาหมิงให้ได้ ถ้านางก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีกต้องแย่แน่ๆ มิสู้คอยจับตาดูให้มากหน่อย อย่าให้เกิดเรื่องกับอวี้ถัง
“ทุกคนก็เหมือนกันนั่นแหละ!” นางคล้อยตามคำพูดของอวี้ถังแล้วปลอบใจนาง “เจ้าดูข้าสิ กับคุณชายจางแม้นับได้ว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก แต่ตอนที่คุยเรื่องหมั้นหมาย จะตบแต่งกันจริงๆ ในใจข้าก็เป็นกังวลอยู่ตลอด กลัวว่าตอนนี้จะทำได้ไม่ดีพอ ตอนนั้นจะทำออกมาแย่ รอให้ผ่านช่วงนี้ไป ก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง”
อวี้ถังขอบคุณหม่าซิ่วเหนียงด้วยรอยยิ้ม เหมือนว่าได้รับคำปลอบโยนจากนางแล้ว ทว่าใจยิ่งไม่อาจสงบลงได้มากกว่าเดิม
สิ่งที่นางกลัวกับความกลัวที่หม่าซิ่วเหนียงพูดถึงไม่เหมือนกัน
นางไม่กลัวสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทั้งไม่กลัวว่าพอแต่งออกไปแล้วจะไม่มีความสุข สิ่งที่นางกลัว คือนางไม่อยากแต่งให้คนผู้นี้ ไม่อยากให้เรื่องราวจบแบบชาติก่อนอีก…
ความคิดที่แวบผ่าน ทำให้อวี้ถังชะงักไป
ที่แท้อวี้ถังไม่อยากแต่งให้คนผู้นี้อย่างนั้นรึ?
แต่คนผู้นี้มีอะไรไม่ดีกันเล่า?
ทุกคนก็เหมือนกันหมดมิใช่หรือ? บิดามารดาจัดการ แม่สื่อชี้แนะบอกนำ เมื่อคู่ควรเหมาะสม ก็แต่งงานกันได้แล้ว
สกุลเว่ยยังโค้งเอวแทบติดพื้น บุตรชายสองคนให้พวกนางเลือกได้ตามใจชอบ นางยังมีอะไรให้ไม่พอใจอีก?
นางต้องการคนเช่นไรกันแน่?
อวี้ถังถูกความคิดตัวเองทำให้ตกใจยกใหญ่ อยากจะพูดออกไปให้หม่าซิ่วเหนียงฟัง แต่กลับไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
คนสกุลเฉินเร่งพวกนางอยู่ด้านนอกแล้ว “พวกเจ้าเก็บของเสร็จหรือยัง? รถม้ามาถึงแล้ว เราต้องรีบไปให้ทันมื้อเที่ยงที่วัดเจาหมิงอีกนะ!”
หม่าซิ่วเหนียงรีบร้องตอบกลับ แล้วช่วยอวี้ถังเก็บข้าวของก่อนออกประตูไป
คำพูดมากมายของอวี้ถังจึงติดอยู่ในลำคอ
วัดเจาหมิงยังคงโอ่อ่ายิ่งใหญ่ดั่งที่เคยเป็น แต่ในสายตาของอวี้ถังในตอนนี้ กลับรู้สึกว่ามันจอแจเกินไป ไม่มีความน่าเกรงขามและเงียบสงบอย่างที่วัดใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองควรจะมี
อาจเพราะหัวใจเปลี่ยนไปแล้ว อารมณ์ที่ใช้มองสิ่งต่างๆ จึงเปลี่ยนไปด้วย
นางแอบครุ่นคิดเงียบๆ จนคนสกุลเฉินพามาถึงวิหารเทียนหวัง
คนที่มาดูตัวเป็นเพื่อนอวี้ถังนับว่าไม่น้อยทีเดียว นอกจากคู่สามีภรรยาอวี้เหวิน ฝ่ายสตรียังมีหม่าซิ่วเหนียงกับคนสกุลหวัง แขกบุรุษมีเถ้าแก่ถง อวี้ป๋อและอวี้หย่วน
ตามที่นัดหมายกับสกุลเว่ยเอาไว้ หลังจากที่สองสกุลแยกกันกินอาหารเที่ยงแล้ว ทุกคนจะไปเดินเล่นที่ด้านหลังเขา จากนั้นค่อยทำทีเป็นบังเอิญพบกันที่น้ำตกสีปี่ สองสกุลก็ถือโอกาสนี้มองฝ่ายตรงข้ามให้มากหน่อย
อวี้ถังกินมื้อเที่ยงด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง นางคล้องแขนหม่าซิ่วเหนียงเอาไว้ เดินตามอยู่ด้านหลังคนสกุลเฉินกับคนสกุลหวัง มุ่งหน้าไปยังน้ำตกสีปี่
เพื่อไม่ให้โดดเด่นเกินหน้าตัวหลัก วันนี้หม่าซิ่วเหนียงจึงสวมเสื้อกั๊กยาวปี๋เจี่ยตัวบาง ปักปิ่นชุบเงิน ห้อยตุ้มหูดอกติงเซียง ดูแล้วเรียบง่ายยิ่งนัก อวี้ถังกลับสวมเสื้อกั๊กตัวยาวที่ตัดจากผ้าหังโจวสีแดงปักขอบด้วยด้ายเขียว หวีผมทรงก้นหอยสองข้าง เสียบหวีสับฝังหินสีน้ำเงิน ทั้งงดงามและมีชีวิตชีวายิ่ง
คนสกุลเว่ยมองปราดเดียวก็เห็นอวี้ถังในทันที
นายหญิงเว่ยไม่รอดูท่าทีของบุตรชายก็พออกพอใจยิ่งแล้ว
กระทั่งหันไปมองบุตรชาย เห็นว่าเขาดวงหน้าแดงก่ำ แทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
นายหญิงเว่ยอดจะเม้มปากยิ้มไม่ได้
คนในสกุลอวี้ก็มองเห็นเว่ยเสี่ยวซานในทันทีเช่นเดียวกัน
เขาอยู่ในชุดใหม่เอี่ยมที่มีรอยจีบ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวค่อนข้างคล้ำ แต่คิ้วหนาตาโต ท่าทีซื่อสัตย์แฝงความองอาจผึ่งผายอยู่หลายส่วน เป็นชายหนุ่มที่มีกำลังวังชายิ่ง ตอนที่เขามองอวี้ถังดวงตาสองข้างก็เปล่งแสงพราวระยับ แสดงให้เข้าใจได้ในทันทีถึงความชมชอบ ไม่ต้องพูดถึงลูกสาวของนางแล้ว ขนาดอวี้ถังที่ตอนมาไม่ค่อยจะสดใส ยังพลันรู้สึกดีตามไปด้วย หัวใจที่ลอยเคว้งก็เริ่มไม่คลอนแคลนอีก
หากเป็นคนนี้ นับว่าพอไหว
นางคิดในใจ พลางลอบประเมินคนในสกุลเว่ยอยู่ในที
ผู้เป็นบิดาเป็นคหบดีชนบทที่เงียบขรึม นายหญิงเว่ยเปิดเผยชาญฉลาด สายตาซื่อตรงเที่ยงธรรม บุตรชายคนโตกับเว่ยเสี่ยวซานหน้าตาคล้ายกันมาก ทว่าดวงหน้าออกแนวคงแก่เรียนมากกว่าน้องชายอยู่หลายส่วน สะใภ้ใหญ่ของสกุลเว่ยก็นับว่าไม่เลว งดงามอ่อนโยน พูดจาเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน คล้ายเป็นผู้เล่าเรียนเขียนอ่าน ผู้ที่ติดตามมาด้วยยังมีพี่สะใภ้ฝั่งมารดาของนายหญิงเว่ย ท่าทางสบายๆ คล่องแคล่วยิ่งนัก กลับเป็นบุตรคนที่ห้าของสกุลเว่ยนามว่าเว่ยเสี่ยวชวน เขาอายุเพิ่งครบสิบขวบดี แต่พอเห็นอวี้ถังก็ฮึดฮัดไม่พอใจ ตอนที่สองสกุลพูดคุยกัน เขาก็ไปอยู่ด้านหลังสุด ไม่รู้ว่าไปหักกิ่งไม้มาได้ตั้งแต่ตอนไหน ครู่หนึ่งก็กวาดไม้ไปทางต้นหญ้าที่สูงถึงเข่า ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนไปตีกิ่งไม้ข้างกาย บางครั้งก็ทำเสียงดังลอยมา ขัดความสำราญในการสนทนาของสองสกุลยิ่งนัก
นายหญิงเว่ยเห็นแล้วก็ขมวดคิ้ว เรียกบุตรคนโตเข้าไปหาแล้วกระซิบสองสามคำ บุตรชายคนโตสกุลเว่ยนามเว่ยเสี่ยวหยวนจึงหิ้วคอเว่ยเสี่ยวชวนไปด้านข้างด้วยสีหน้าทะมึน ตำหนิเขาเสียงเบาไปหลายที เว่ยเสี่ยวชวนกลับยิ่งโมโหแล้ววิ่งหนีไป
คนในสกุลอวี้ทุกคนเห็นแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ
คงเพราะสังเกตสีหน้าของทุกคนอยู่ตลอด นายหญิงเว่ยจึงรีบอธิบายต่อคนสกุลเฉินว่า “เด็กคนนี้เป็นลูกคนสุดท้อง ถูกคนในเรือนตามใจจนเคยตัว วันนี้เดิมไม่คิดพาเขามาด้วย แต่พอถึงวัดเจาหมิงเพิ่งพบว่าไม่รู้เขาตามมาแต่เมื่อไร ได้แต่พาขึ้นเขามาด้วยกัน พวกท่าน…เอ่อ นายหญิงอวี้อย่าได้ใส่ใจ กลับไปข้าจะสั่งสอนเขาให้ดี”
คนสกุลเฉินมีนิสัยเจ้าให้เกียรติข้าหนึ่งฉื่อ ข้าต้องให้คืนหนึ่งจั้ง เห็นว่านายหญิงเว่ยเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้ รีบตอบว่า “เด็กๆ ก็ซุกซนเช่นนี้เป็นธรรมดา นายหญิงเว่ยก็อย่าได้ใส่ใจนัก”
นายหญิงเว่ยได้ยิน ก็รีบเอ่ยเสริมคนสกุลเฉินทันที แม้หัวข้อส่วนใหญ่ที่คุยจะเป็นเรื่องจิปาถะประจำวันทั่วไป แต่ก็พอจะมองออกว่านางใส่ใจคนสกุลเฉินยิ่งนัก อยากจะเกี่ยวดองกับสกุลอวี้เป็นที่สุด
คนสกุลเฉินก็พอใจกับคนของสกุลเว่ยเป็นหนักหนา ตอนแยกย้ายยังพูดกับนายหญิงเว่ยอย่างชัดเจนว่าหากมีเวลาก็เชิญมาเป็นแขกนั่งเล่นที่เรือนได้
คนในสกุลเว่ย รวมถึงสกุลเว่ยผู้เป็นบิดา ล้วนแต่มีสีหน้ายินดี
ระหว่างทางที่กลับไป หม่าซิ่วเหนียงก็เยินยอเว่ยเสี่ยวซานไปตลอดทาง
อวี้ถังถอนหายใจ เลิกผ้าม่านรถม้าขึ้นแล้วมองวัดเจาหมิงที่ค่อยๆ เลื่อนห่างออกไป หัวใจที่เต้นไม่เป็นสุขถึงค่อยๆ สงบลงได้
—
เช้าตรู่วันถัดมา สกุลเว่ยได้เชิญแม่สื่อมาถึงประตูเรือน พูดชื่นชมอวี้ถังไปหลายกระบุง แต่สีหน้าของคนสกุลเฉินหาได้บ่ายเบี่ยง สุดท้ายก็ตอบตามจารีตไปว่าจะพิจารณาดูอย่างรักษาท่าที
แม่สื่อดูออกว่าการหมั้นหมายครานี้มั่นใจได้ถึงเก้าส่วนได้ ก็รับเงินตอบแทนจากคนสกุลเฉินไปอย่างหน้าชื่นตาบาน
ป้าสะใภ้คิดถึงเรื่องก่อนหน้าที่ผู้คนซุบซิบนินทาหาว่าอวี้ถังเย่อหยิ่งใฝ่สูงคิดหาบัณฑิตแต่งเข้าเป็นเขยชาย จึงได้ปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกไปทันที
————————–