ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 297 ไร้คน
ตอนที่อวี้เหวินเดินเข้าไปในห้องของอวี้ถัง อวี้ถังกับซวงเถากำลังจัดดอกไม้ผ้าที่ทำเสร็จแล้วบางส่วนใส่กล่องกระดาษพอดี อวี้เหวินเห็นภาพนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ เอ่ยว่า “สองสามวันที่ผ่านมาพวกเจ้าทำสิ่งนี้อยู่รึ!” พูดไป ก็หยิบดอกไม้ผ้าที่ทำเสร็จไปครึ่งหนึ่งขึ้นมาพินิจอย่างละเอียด “ทำได้เหมือนเหลือเกิน”
อวี้ถังเม้มปากยิ้ม เดินไปรินน้ำชาให้บิดาด้วยตนเอง “ข้าได้ยินว่านายท่านอู๋มาหา เขากลับหรือยังเจ้าคะ? แล้วท่านพ่อมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
ตอนมาอวี้เหวินมาพร้อมอารมณ์ฉุนเฉียว คิดอะไรเรียบง่ายไปหน่อย พอเห็นหน้าบุตรสาว ก็รู้สึกละอายแก่ใจ ไม่รู้ว่าจะเปิดปากอย่างไรดี
อวี้ถังเห็นเช่นนั้น ก็ไล่ซวงเถาออกไป นางเดินไปล้างผลไม้มาหนึ่งจานแล้ววางลงตรงหน้าบิดา จากนั้นก็นั่งลงข้างกายเขา ลงมือทำดอกไม้ผ้าต่ออย่างไม่รีบร้อน ให้เวลาบิดาได้เปิดปากพูด
ผ่านไปพักหนึ่ง อวี้เหวินก็เริ่มสบายใจขึ้น เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงครุ่นคิดว่า “อาถัง เจ้าอายุยังน้อย เรื่องงานแต่งของเจ้า เจ้ามีแผนไว้ว่าอย่างไร?”
ความคิดแวบแรกของอวี้ถังคือนายท่านอู๋คงมาเพื่อทาบทามนางกระมัง
นางตอบอย่างไม่ต้องคิดว่า “ข้าอยากแต่งให้คนที่ข้าชอบเจ้าค่ะ”
ในใจพลันมีความว้าวุ่นทะลักล้น
เผยเยี่ยนผู้นี้ ปกติเห็นว่าเป็นคนหนักแน่น เหตุใดพอถึงเวลาสำคัญกลับทำเรื่องเหยาะแหยะเช่นนี้?
เขามิใช่บอกว่าจะรีบมาขอหมั้นหมายนางรึ? จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาคน
ในใจแม้คิดเช่นนั้น แต่สมองกลับบอกนางว่า นี่ยังไม่พ้นช่วงไว้ทุกข์ของท่านผู้เฒ่า บางทีเขาอาจตั้งใจมาสู่ขอหลังออกจากไว้ทุกข์ก็ได้ รอให้พ้นช่วงไว้ทุกข์ของท่านผู้เฒ่าไป ก็คงมีแม่สื่อมาเยือนเอง นี่ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึ นางไม่ควรกล่าวโทษเขาสักหน่อย
แต่อวี้ถังเริ่มร้อนใจขึ้นทุกที จึงอดถามไม่ได้ว่า “นายท่านอู๋มาเรือนเรา เพราะต้องการทาบทามข้าหรือเจ้าคะ? เป็นสกุลเช่นไรกัน? เขาพูดว่าอย่างไรบ้าง? แล้วท่านแม่ล่ะ? ไฉนนางไม่มาด้วยเจ้าคะ?”
ปกติหากเป็นเรื่องแบบนี้ ต่อให้บิดาจะรู้ก่อน แต่ก็ต้องบอกมารดาให้เป็นคนมาพูดกับบุตรสาว
อวี้ถังกลับไม่ได้คิดมาก ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับบิดาใกล้ชิดมากกว่าพ่อลูกทั่วไป เป็นไปได้ที่บิดาจะเป็นคนมาพูดแทน เพียงแต่ตอนนี้นางออกจะคัดค้านเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง จึงยกมารดามาเป็นข้ออ้างยื้อเวลาโดยไม่รู้ตัว
นางยืดคอชะเง้อชะแง้ไปด้านนอก
อวี้เหวินถูกถามจนงะชักไป รับรู้ได้ถึงความไม่เหมาะสมในสิ่งที่ตนทำ
เขาอึกอักอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านแม่เจ้ารับรองแขกอยู่ข้างหน้า ข้าไม่มีเรื่องอะไร ถึงมาถามเจ้าก่อน ข้ามีเจ้าเป็นลูกสาวคนเดียว ย่อมคาดหวังให้เจ้าสมหวังดั่งใจทุกเรื่อง แม้จะบอกว่างานแต่งของบุตรสาวขึ้นอยู่กับพ่อแม่ แต่ข้าคิดว่าขอเพียงเจ้าพอใจและมีความสุขก็พอแล้ว”
แม้อวี้เหวินจะพูดจากำกวม แต่อวี้ถังเข้าใจในทันที บิดามารดามีความเห็นขัดกันเรื่องงานแต่งของนาง
มารดาเห็นด้วย แต่บิดาเป็นฝ่ายที่คัดค้าน
นางถามขึ้นมา “ท่านพ่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ? ไฉนท่านแม่ต้องเป็นคนไปรับแขกที่ด้านหน้า? หรือว่าท่านกับท่านแม่…”
พูดถึงตรงนี้ สายตาวาววับก็หันไปมองบิดา นัยน์ตาซื่อตรงเผยความวิตกกังวลให้เห็น
อวี้เหวินใจอ่อนยวบ คิดว่าเด็กสาวที่ดีเพียงนี้ ตนทะนุถนอมไว้กลางฝ่ามือจนเติบใหญ่ แล้วจะปล่อยให้แต่งเข้าสกุลเผย ต้องคอยมองสีหน้าคนสกุลเผย ถูกคนของสกุลเผยเรียกใช้งานได้อย่างไร?
ความกล้าหาญพลันพุ่งพรวดเป็นสองเท่า เขาต้องปกป้องบุตรสาวไม่ให้ใครมารังแก พลางเอ่ยอย่างดุดันว่า “อาถัง ข้าคิดรั้งตัวเจ้าไว้เพื่อแต่งเขยชายเข้าสกุล เจ้าคิดอ่านอย่างไร?”
จะแต่งเขยชายเข้าสกุลหรือว่าให้นางแต่งออก นี่เป็นเรื่องที่สกุลอวี้ถกเถียงกันมาหลายครั้งแล้ว แต่อวี้เหวินกลับไม่เคยเด็ดขาดเช่นนี้มาก่อน
อวี้ถังใจร้อนรุ่มไปหมด อยากจะรู้ให้ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
อวี้เหวินคล้ายตัดสินใจเสร็จสรรพแล้ว เขาหันไปโบกมือให้อวี้ถัง ขณะที่ลุกยืนขึ้นก็เอ่ยว่า “เจ้าอยู่แต่ในเรือนก็พอ เรื่องข้างนอกนั้น ข้าจะจัดการให้เอง” จากนั้นก็เดินพรวดๆ ออกจากห้องอวี้ถังไป
อวี้ถังรีบวิ่งตาม
อวี้เหวินกลับบอกให้นางกลับเข้าห้อง “ข้ายังมีเรื่องต้องพูดกับมารดาเจ้า เจ้ารออยู่ในห้องก็พอ”
อวี้ถังไม่กล้าดื้อรั้น รอจนอวี้เหวินเดินไปแล้ว ก็รีบกวักมือเรียกซวงเถาเข้ามาหา “เจ้าไปสืบหน่อยว่าด้านหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ตั้งแต่ซวงเถาได้พบกับหวังซื่อ ไม่เพียงรู้จักนิสัยใจคอของหวังซื่อมากขึ้น ทั้งยังหารือรายละเอียดเรื่องงานแต่งงานแล้ว คนจึงเบิกบานใจอย่างมาก ทำเรื่องใดล้วนทุ่มเทแรงใจเต็มกำลัง ได้ยินดังนั้นก็ร้องว่า “เจ้าค่ะ” พลันวิ่งหายวับไปทันที
อวี้ถังรออยู่ในห้องด้วยความร้อนใจ
อวี้เหวินเดินตีหน้าขรึมเข้าไปในห้องรับแขกด้วยท่าทีแน่วแน่ เห็นว่านายท่านอู๋ไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าคนสกุลหวังกับคนสกุลเซียงที่อุ้มเด็กไว้ในอกมาถึงตั้งแต่เมื่อไร ยังมีอวี้ป๋อกับอวี้หย่วน ทุกคนนั่งล้อมวงคุยเรื่องงานแต่งของอวี้ถังอยู่กับคนสกุลเฉินอย่างหน้าชื่นตาบาน
“ตอนเด็กๆ ก็ตัวขาวเป็นยองใย ตาโตกลมแป๋วเหมือนลูกแก้ว ไม่รู้ว่าฉลาดเฉลียวขนาดไหน ข้ายังคิดว่า เด็กคนนี้ต้องมีวาสนาดีแน่ๆ แล้วเป็นอย่างไร ข้าเดาถูกจริงเสียด้วย อาถังของพวกเรานะ ถึงขนาดแต่งให้กับนายท่านสามสกุลเผย เขาเป็นถึงนายท่านจิ้นซื่อเชียว! หน้าตาก็งดงามเพียงนั้น ทั่วเมืองหลินอันหาคนที่สองไม่ได้อีกแล้ว” คนสกุลหวังเอ่ยด้วยความทอดถอนใจ
คนสกุลเซียงปลื้มปริ่มแทนอวี้ถังจากใจจริง นางจึงพูดจาส่งเสริมแม่สามีเป็นธรรมดา “นั่นสิเจ้าคะ! ตอนที่ข้าอยู่ฝูหยางก็เคยได้ยินเรื่องของสกุลเผย ร่ำรวยเป็นเรื่องรอง แต่คนนั้นเป็นสกุลผู้ดีอย่างแท้จริง! ไม่มีรับอนุหรือเลี้ยงสตรีไว้ข้างนอก ลูกหลานก็ใฝ่รู้ สอบติดซิ่วไฉได้เป็นจวี่เหรินกันไม่ขาด อาถังของพวกเรานับว่าโชคดีมาเยือนแล้ว”
“ข้าก็คาดไม่ถึงเลยจริงๆ” คนสกุลเฉินยิ้มปริ่ม “ข้าคิดว่าอาจเป็นเพราะท่านแม่เฒ่าโปรดปรานนางกระมัง ครั้งก่อนที่วัดเจาหมิงข้าก็รู้สึกได้รางๆ ว่าท่านแม่เฒ่าสกุลเผยชื่นชมอาถังของเราที่สุด ขนาดข้ายังพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ไม่เพียงได้นั่งร่วมกับเหล่าท่านแม่เฒ่าสกุลเผย ตอนที่อาถังเป็นลมแดด ท่านแม่เฒ่าก็คอยถามไถ่ด้วยตนเอง ให้หญิงรับใช้ข้างกายส่งโสมมาให้ใช้ทำยาลูกกลอน พอคิดเช่นนี้แล้ว หากอาถังของเราแต่งเข้าไป อย่างน้อยก็มีแม่สามีรักใคร่ วันข้างหน้านางย่อมจะมีความสุข”
อวี้เหวินได้ยินก็ลมออกหูคนแทบเป็นลม เดินพรวดพราดเข้าไปแล้วตะคอกว่า “บุตรสาวของอวี้เหวินข้าแย่กว่าผู้อื่นตรงไหน? ทำไมต้องไปประจบเอาใจท่านแม่เฒ่าสกุลเผย? งานแต่งนี้ข้าไม่เห็นด้วย…”
ทุกคนตกอกตกใจ พลันเงียบเสียงทันที
อวี้เหวินเห็นดังนั้น ก็ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย
ใครจะคิดว่าอวี้ป๋อที่ปกติมักเคารพการตัดสินใจของน้องชายจะทำหน้าเครียดทันที เขาเดินเข้าไปแล้วดึงอวี้เหวินไปด้านข้าง ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด แล้วหันเอ่ยกับคนสกุลเฉินว่า “ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยจะชอบอวี้ถังหรือไม่เป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือนายท่านสามสกุลเผย เขาย่อมชอบอวี้ถังเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นนายท่านรองสกุลเผยคงไม่ออกหน้ามาพูดเรื่องนี้ด้วยตนเอง ข้าว่า พวกเราทางนี้ก็ต้องเตรียมตัวได้แล้ว ถ้ารอให้แม่สื่อของสกุลเผยมาถึงหน้าประตู เช่นนั้นออกจะอัตคัดเกินไป” เขาพูดพลางกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วเอ่ยต่อว่า “คนที่มาคงไม่เดินไปทั่วอยู่แล้ว พวกเราก็อย่าทำให้โจ่งแจ้งเกินไปนัก ในลานกับโถงรับแขกต้องปัดฝุ่นให้เกลี้ยง ต้นไม้ใบหญ้าในลานก็ต้องตัดแต่งให้ดี ถ้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เช่นนั้นก็ไปเชิญคนตัดแต่งต้นไม้จากนอกเมืองมา ให้จัดแต่งดอกไม้เพิ่มเข้าไปสักหน่อย แล้วก็แจกันบนโต๊ะยาวนั่น มองแล้วธรรมดาเกินไป ข้าจำได้ว่าห้องหนังสือน้องรองมีเก็บไว้อยู่ ถึงเวลานั้นค่อยยกออกมา ดูว่าวางแล้วเข้ากันหรือไม่ หากใช้ไม่ได้ ก็ต้องออกไปหาซื้อ…”
เขากำชับกำชาออกไปทั้งเรื่องใหญ่เรื่องน้อย อวี้หย่วนพยักหน้ารัวเร็ว ทั้งเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเถอะขอรับ! เหยาซานกลับมาเมื่อหลายวันก่อน นัดให้ข้าไปดื่มสุราด้วยกัน กิจการของเขารุ่งเรืองขึ้นทุกปี มักส่งสินค้าให้สกุลใหญ่ในเมืองหังโจวบ่อยๆ เขาน่าจะมีสายตากว้างขวาง ข้าจะขอให้เขาช่วยออกความเห็น”
คนสกุลเซียงทางหนึ่งก็กล่อมเด็ก ทางหนึ่งก็รีบกำชับเขาว่า “ออกความเห็นได้ แต่ไม่ใช่เรื่องอะไรก็เล่าให้เขาฟังจนหมด นายท่านสามยังไม่ออกจากไว้ทุกข์ แม่สื่อก็ยังไม่มาทาบทาม ดวงชะตายังไม่ได้ผูก พวกเราก็เอะอะจนคนรู้กันทั้งบางแล้ว หากคนของสกุลเผยรู้เข้า จะคิดว่าผู้นำสกุลเราไม่หนักแน่น จัดการงานใหญ่ไม่ได้ ต่อไปหากอวี้ถังแต่งเข้าสกุลเผยไป จะถูกคนมาดูแคลนเอาได้”
คนสกุลหวังคิดว่าคนสกุลเซียงกล่อมลูกได้มือหนักเกินไป จึงเดินเข้าไปรับเด็กมากล่อมเอง “ลูกสะใภ้พูดถูกแล้ว หากว่าจะเก็บกวาดห้องหับลานเรือน ก็ต้องรีบทำแต่ต้น เช่นนี้พอต้นไม้ดอกไม้โตขึ้นหน่อย จะได้ดูเหมือนว่าเป็นของในบ้านเรา เดี๋ยวคนเขาจะมองออกว่าเพิ่งซื้อมาปลูกใหม่ หาว่าเราเป็นพวกตื้นเขินฉาบฉวย”
คนสกุลเฉินพยักหน้าติดๆ กัน ทั้งยังเรียกป้าเฉินเข้ามาสั่งว่า “เจ้าจำไว้ให้ดี หากว่าข้าลืมตรงไหน ก็ทักเตือนข้าด้วย”
ป้าเฉินเดิมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งอวี้เหวินกับนายท่านอู๋มีปากเสียงกัน คนในเรือนจึงพลอยรู้เรื่องกันหมด นางคิดอะไรเรียบง่ายกว่าคนสกุลเฉินมาก คิดว่าคุณหนูบ้านนางได้โชคชั้นใหญ่ ต่อไปสกุลอวี้ก็จะรุ่งเรืองขึ้น อย่างพวกนางที่เป็นบ่าวไพร่ เดินไปทางใดผู้อื่นก็เป็นต้องอิจฉาตาร้อน นางยังดีใจยิ่งกว่าคนสกุลเฉินเสียอีก
นางยิ้มแป้นเหมือนดอกไม้บาน รับคำด้วยความกระตือรือร้น ทั้งยังเอ่ยว่า “นายหญิงใหญ่ นายหญิง แล้วคุณหนูทางนั้น จะเพิ่มเสื้อผ้าหน้าหนาวอีกสักหลายตัวไหมเจ้าคะ? ช่างตัดเสื้อที่มีชื่อในหลินอันก็มีเพียงไม่กี่คน ตอนนี้หากไม่จองล่วงหน้า เกรงว่าจะไม่ทันการ หากข้าจำไม่ผิด ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยท่านนั้นกลางเดือนเก้าก็จะออกทุกข์ได้แล้ว”
พอออกทุกข์ งานแต่งนี้ก็ต้องจัดอย่างเอิกเกริกแน่
คนสกุลเฉินรีบบอกว่า “ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าคงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว…”
“ไม่ต้อง!” คนสกุลหวังที่อยู่ข้างๆ ร้องขัดคนสกุลเฉิน “เสื้อผ้าของอาถัง ให้ไปตัดที่หังโจว ต่อไปนางต้องไปมาหาสู่กับพวกสกุลซ่ง สกุลเฉียนระดับนั้น เสื้อผ้าไม่ต้องเยอะมาก แต่ทุกตัวต้องออกงานได้ไม่อายใคร ช่างตัดเสื้อของหลินอันต่อให้เก่งเพียงใด แต่ฝีมือเทียบช่างจากหังโจวไม่ได้เลย”
อวี้ป๋อขัดขึ้นมาว่า “เรื่องนี้ก็กำหนดเช่นนี้ไปก่อน เรื่องตัดเสื้อ ก็ให้เป็นหน้าที่ของสะใภ้อาหย่วนแล้วกัน สะใภ้อาหย่วนยังสาว นางรู้ว่านิยมเสื้อผ้าแบบไหน ส่วนเรื่องเงิน ก็หยิบเงินจากร้านค้าไปก่อน จดบัญชีไว้ให้ชัดเจน ต่อไปจะได้รู้ว่าใช้สอยไปเท่าไรบ้าง”
“ขอบคุณท่านลุงใหญ่มากเจ้าค่ะ!” คนสกุลเฉินยอมรับน้ำใจอย่างไม่แสแสร้ง ทั้งเรื่องแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งด้วย
นางรู้สึกซาบซึ้งจนแทบจะสวดมนต์ขอพรให้อวี้ป๋ออยู่รอมร่อ
ไม่มีใครสนใจอวี้เหวินที่เดือดปุดๆ
อวี้เหวินโมโหจนก้าวขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ไท่ซือ ตะโกนใส่พี่ชายและพี่สะใภ้เสียงดังลั่นว่า “งานแต่งนี้ข้าไม่เห็นด้วย ข้าไม่เห็นด้วย!”
นี่มิใช่แค่หารือเรื่องงานแต่งแล้ว สกุลเขาเพื่อจะเอาใจสกุลเผย ถึงขั้นว่าจะควักเงินจ่ายหมดกระเป๋า หากว่าได้ดองกับสกุลเผยขึ้นมาจริงๆ แล้วสกุลเขาไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตกันต่อแล้วรึ? พอถึงเทศกาลงานสำคัญก็ต้องคิดหาทุกวิถีทางเพื่อเสริมหน้าตาให้กับบุตรสาว
อวี้เหวินตะโกนต่อว่า “พี่อู๋ล่ะ? เขาไปทำอะไรแล้ว? เขาไปส่งข่าวให้สกุลเผยแล้วรึ?”
เขาถามจบ ก็กระโดดลงจากเก้าอี้ไท่ซือ ก้าวเท้าพรวดๆ พุ่งออกไปด้านนอก
พวกเขาเป็นถึงสกุลบัณฑิต ไม่อาจให้นายท่ายอู๋ไปแจ้งข่าวต่อสกุลเผยแล้วค่อยปฏิเสธเรื่องงานแต่งทีหลังได้
หากว่าพูดกลับไปกลับมาเช่นนั้น แล้วพวกเขาสกุลอวี้จะกลายเป็นตัวอะไร?