ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 35 นั่งเรือ
เผยเยี่ยนสวมเสื้อคลุมลำลองตัวบางสีเขียวใบไผ่ แม้แต่ปิ่นก็ยังไม่ปัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเครื่องประดับอย่างอื่น ทั่วร่างเผยความสะอาดสะอ้าน ยังคงทำหน้านิ่งขรึม ไม่สนใจอะไร ด้านโจวจื่อจินสวมชุดคลุมผ้าไหมสีม่วงอมแดงปักด้วยกิ่งดอกสีฟ้ากระจ่าง ที่เอวห้อยหยกแขวน จินซานซื่อ[1] รวมถึงกระเป๋าเล็กๆ บนหัวปักปิ่นมรกต ถือพัดสีแดงเคลือบทองในมือ กำลังพูดอะไรบางอย่างกับเผยเยี่ยน เผยเยี่ยนพยักหน้าเป็นครั้งคราว ท่าทีไม่ใส่ใจนัก
เบื้องหน้าของทั้งสองคนมีเรือเทียบอยู่ลำหนึ่ง
เรือใบสองเสากระโดง ยาวประมาณสิบจั้ง[2] ผิวไม้มันวาวจนสะท้อนเห็นเงาคน หน้าต่างช่องตารางแกะสลักอย่างงดงาม คลุมด้วยผ้าม่านสีขาว แขวนโคมไฟเคลือบเงา
ไม่ใช่เรือลำเดียวกับที่โจวจื่อจินนั่งมาในวันนั้น
แต่ประณีตชดช้อยกว่ามาก
เผยหม่านกำกับบ่าวรับใช้ให้ยกสัมภาระอยู่ด้านข้างเรือ ดูท่าแล้วคงจะมีใครออกเดินทาง
อวี้ถังยื่นคอกวาดสายตามองไปแวบหนึ่ง
อวี้เหวินกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา เผยยิ้มกล่าวกับอวี้ถังและอวี้หย่วน “คาดไม่ถึงว่าจะเจอนายท่านสามสกุลเผยที่นี่ พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะเข้าไปทักทายเสียหน่อย”
อวี้ถังนึกถึงท่าทีเย่อหยิ่งไร้มารยาทของเผยเยี่ยน ไม่อยากให้บิดาถูกเขาทำลายน้ำใจจึงดึงแขนเสื้ออวี้เหวินไว้ กระซิบเสียงเบา “เขาไม่ได้เห็นพวกเราเสียหน่อย แล้วเขาก็มากับสหายด้วย พวกเราจำเป็นต้องเข้าไปทักทายด้วยหรือ?”
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบิดาของนางไม่คิดที่จะสอบจวี่เหรินแล้ว ทั้งไม่ตั้งใจจะรับราชการ มีความจำเป็นต้องผูกสัมพันธ์กับสกุลเผยถึงขนาดนั้นเลยรึ?
อวี้เหวินกลับกล่าว “นายท่านสามเป็นคนดีคนหนึ่ง ยามที่ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยล่วงลับ ข้าก็อยู่ช่วยเหลือมิใช่รึ? นายท่านสามมาทักทายพวกเราทุกวัน ทั้งยังส่งบ่าวอีกสองคนมารับใช้พวกเราเป็นพิเศษ ดูแลอย่างดี ปฏิบัติด้วยความจริงใจ วันนี้พบเขา ไฉนจึงต้องทำเป็นไม่เห็นไปได้?”
แต่ท่านให้ความสำคัญเขา ใช่ว่าเขาจะให้ความสำคัญท่าน?
อวี้ถังดึงแขนเสื้อของอวี้เหวินไม่ปล่อย “ท่านพ่อ เรือของพวกเราใกล้จะถึงแล้วเจ้าค่ะ”
พวกเขาจะนั่งเรือโดยสารไปเมืองหังโจว
อวี้เหวินกล่าว “ยังมีเวลาเหลือเฟือ หากเรือมาถึงก็ต้องพักที่ท่าเรืออีกสิบห้านาที ไม่กินเวลามากหรอก” พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินไป
อวี้ถังกระทืบเท้าเงียบๆ อย่างโมโห
ทว่าอวี้เหวินกลับคล้ายคิดอะไรได้ ชะงักฝีเท้าก่อนจะหมุนกายกลับมา
อวี้ถังเผยสีหน้าดีใจ คิดว่าอวี้เหวินเปลี่ยนใจแล้ว
ใครจะรู้ว่าอวี้เหวินกลับกวักมือเรียกอวี้หย่วน “เจ้าก็ตามมาทักทายนายท่านสามสกุลเผยกับข้าด้วย เผยหม่านก็อยู่พอดี ให้เขาได้เห็นหน้าค่าตา ภายหลังเจ้ามีเรื่องอะไร มาหาเขาก็จะสะดวกราบรื่น”
บิดาของนางเป็นฝ่ายเข้าไปทักทายเผยเยี่ยน ลูกผู้พี่ยังต้องทำความรู้จักกับเผยหม่าน อวี้ถังนั้นโกรธเหลือทน
แต่อวี้หย่วนกลับวิ่งตามบิดานางไปอย่างอารมณ์ดี นางจะโกรธไปก็เปล่าประโยชน์
อวี้ถังปิดตาตัวเอง ไม่อยากเห็นบิดาของนางถูกเผยเยี่ยนปฏิบัติอย่างเย็นชา แต่สิ่งที่ทำให้นางตกตะลึงก็คือ เผยเยี่ยนยังคงมีสัมมาคารวะต่อเขาไม่น้อย ระหว่างที่พูดคุยยังเงยหน้ามองมาที่นางแวบหนึ่ง การมองของเขาครั้งนี้ ทำให้โจวจื่อจินสังเกตเห็นนางเช่นกัน ทอดสายตามายังนาง จากนั้นก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับบิดาของนาง บิดาของนางโบกไม้โบกมือพักใหญ่ โจวจื่อจินก็หัวเราะออกมา ก่อนจะหันกลับไปทางเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนเผยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่กล่าวคำใดออกมา
โจวจื่อจินก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน
เผยเยี่ยนตะโกนเรียกเผยหม่าน
เผยหม่านวางงานในมือลง ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาทันที
เผยเยี่ยนชี้ไปที่อวี้หย่วน
เผยหม่านประสานมือคารวะอวี้หย่วน
อวี้หย่วนรีบร้อนคารวะตอบ เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นอยู่บ้าง
เผยเยี่ยนพูดอะไรบางอย่างอีกเล็กน้อย คล้อยหลังอวี้หย่วนก็คารวะเผยหม่านอีกครั้ง เผยหม่านคารวะตอบ ก่อนจะหมุนกายไปสะสางงานของเขาต่อ
อวี้เหวินและเผยเยี่ยนพูดคุยกันอีกไม่กี่คำ เผยเยี่ยนผงกศีรษะ อวี้เหวินและโจวจื่อจินทักทายกันอีกครั้ง ก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันไป
อวี้ถังค่อยโล่งใจ รอจนบิดาของนางเดินเข้ามาก็อดถามไม่ได้ “ท่านพ่อ นายท่านสามพูดอะไรกับท่านบ้างรึ?”
อวี้เหวินเผยใบหน้าอิ่มเอมราวกับดีใจเป็นอย่างยิ่ง “นายท่านสามไม่เลวเลยจริงๆ สหายคนนั้นของเขาก็ใช้ได้เช่นกัน ได้ยินว่าพวกเราจะไปเมืองหังโจวทางเดียวกับพวกเขาพอดีจึงเชิญพวกเรานั่งเรือไปด้วยกัน ข้าเห็นท่าทางของนายท่านสามคล้ายมีเรื่องสำคัญจึงปฏิเสธอย่างสุภาพไป คาดไม่ถึงว่านายท่านสามก็ไม่ได้รั้งข้าแต่อย่างใด แต่ว่า เขาอายุน้อยเช่นนี้ก็สามารถฝึกงานกับหกกรมได้แล้ว ย่อมไม่ใช่คนไร้เหตุผล ข้ากับเขาเพิ่งคุยไม่กี่คำ เขาก็เรียกเผยหม่านเข้ามาแนะนำให้พี่เจ้ารู้จักแล้ว อาศัยแค่สายตากว้างไกลของเขาภายหลังย่อมก้าวหน้าในหน้าที่การงานและไต่เต้าสู่ความสำเร็จได้แน่”
อวี้ถังลอบเบะปากอยู่ในใจ
ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ไต่เต้าสู่ความสำเร็จอย่างนั้นรึ ในอนาคตเขาก็ไม่ได้รับราชการเสียหน่อย
ทั้งอายุน้อยก็ฝึกงานในหกกรม ไม่ใช่เพราะเขาสอบในตำแหน่งซู่จี๋ซื่อได้รึ? ไม่เกี่ยวกับว่าเขาสายตากว้างไกลเสียหน่อย?
ส่วนคำชมที่บิดามีต่อเผยเยี่ยน เดิมทีนางก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว คิดว่าบิดามองเขาด้วยความเมตตา ดังนั้นจึงได้ชมเขาเช่นนี้
ไม่อย่างนั้น ตอนที่โจวจื่อจินเสนอให้พวกเขาร่วมเดินทางไปหังโจว เหตุใดเขาจึงไม่คล้อยตามเป็นมารยาทเสียหน่อย?
เดิมทีเขาก็ไม่อยากให้พวกนางร่วมทางไปด้วยเถอะ
หนำซ้ำแค่ท่าทีสีหน้าธรรมดาก็ประคองไว้ไม่ได้ คำพูดเป็นมารยาทไม่มีสักคำ
ชั่วขณะนั้นอวี้ถังก็นึกถึงยามที่พบกับเผยเยี่ยนครั้งที่แล้ว แววตาเผยเยี่ยนยามมองนาง
ช่างน่าโมโหเสียจริง!
นางพองลมจนเต็มแก้ม
กระทั่งอวี้หย่วนก็ชมเผยเยี่ยนไม่ขาดปากเช่นกัน “อ่อนน้อมถ่อมตนทั้งยังสุภาพ ไม่เย่อหยิ่งจองหองสักนิด ข้ายังคิดว่าคนอายุน้อยที่ประสบความสำเร็จอย่างเขาจะถือตัวเหมือนกันหมดเสียอีก ไม่อยากคบค้าสมาคมกับคนอย่างพวกเรา สมแล้วที่นายท่านสามสกุลเผยเป็นบัณฑิต ในท้องมีกวีและหนังสือ บุคลิกย่อมงามสง่าโดยธรรมชาติ มีความสุภาพอ่อนโยน กิริยาน่ามอง”
อวี้ถังทนฟังต่อไปไม่ไหว “ท่านพี่ ‘คนอย่างพวกเรา’ หมายความว่าอย่างไร สกุลของเราไม่ดีตรงไหนกันเจ้าคะ? ท่านอย่าได้ดูถูกตัวเองจนเกินไป!”
อวี้หย่วนเผยสีหน้าลำบากใจ
อวี้เหวินหัวเราะเสียงดัง ตบไหล่หลานชาย “ตอนแรกข้าก็คิดว่าเจ้าควรจะเรียนหนังสือดีๆ ตามข้า แต่พี่ใหญ่จะให้เจ้าค้าขายเหมือนเขาให้ได้ คงเห็นแล้วกระมัง? ผู้ที่เป็นบัณฑิตได้รับความนับหน้าถือตาจากผู้อื่นมากกว่า เจ้าไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสืออีกแล้ว ภายหลังลูกของเจ้าไม่อาจจะซ้ำรอยเดิมเจ้าได้เชียว แม้ว่าต้องขายร้านค้าประจำสกุลออกไป ก็ต้องให้พวกเด็กๆ ได้เรียนหนังสือ”
อวี้หย่วนเห็นด้วยอย่างยิ่ง ผงกศีรษะไม่หยุดหย่อน
อวี้ถังกลับไม่คิดเช่นนั้น นางกล่าวแก้ต่างให้อวี้หย่วน “หากท่านพี่ไม่ทำการค้าตามท่านลุง อย่าพูดถึงท่านลุงเลย แต่ค่ากินค่าอยู่อาศัยของพวกเราคงมิพ้นจะเป็นปัญหาเสียหมด ข้ากลับคิดว่าท่านลุงใหญ่ทำถูกแล้ว”
“เจ้าเด็กคนนี้!” อวี้เหวินกล่าว “ไฉนจึงเหมือนประทัดเช่นนี้ แค่จุดก็ติดไฟ ไม่สิ ไม่ต้องจุดก็ติดไฟแล้ว ข้าไม่ได้จะพูดอะไร เพียงอยากให้สายตาพี่ของเจ้ากว้างไกลกว่านี้ เด็กๆ จำเป็นต้องได้เรียนหนังสือ”
สองพ่อลูกเถียงกันไปมา ก่อนเรือจะเข้ามาเทียบท่า
อวี้ถังตามบิดาและพี่ชายขึ้นเรือ
ก่อนจะเข้าไปในเรือ นางก็ยังทอดสายตามองไปทางเผยเยี่ยนอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
บ่าวรับใช้พวกนั้นยังคงขนสัมภาระ
นางนึกถึงเหตุการณ์ยามที่โจวจื่อจินมา อดกล่าวถามอวี้หย่วนเสียงเบาไม่ได้ “ท่านพี่ พวกเขาไปทำอะไรที่เมืองหังโจว? นายท่านสามก็ไปด้วยหรือ?”
อวี้หย่วนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางเผยเยี่ยน “ได้ยินโจวจ้วงหยวนผู้นั้นกล่าวว่า ผู้ตรวจการศึกษาเจ้อเจียงคนใหม่เป็นศิษย์ร่วมสำนักของนายท่านสามสกุลเผย โจวจ้วงหยวนเหมือนว่าจะมีเรื่องอะไรอยากให้ผู้ตรวจการศึกษาช่วยเหลือ จึงลากนายท่านสามไปด้วยกัน มิเช่นนั้นนายท่านสามก็คงยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่ถ่อไปถึงเมืองหังโจวหรอก”
อวี้ถังเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง ในใจคาดเดาเผยเยี่ยนในแง่ลบ
ไม่แน่ว่าเขาพูดกับบิดาของนางเช่นนี้ ก็เพราะต้องการให้บิดานางช่วยพูดแทนเขาว่าไปเมืองหังโจวด้วยเหตุใด คนอื่นจะได้ไม่คิดว่าเขาไม่อยู่เรือนช่วงไว้ทุกข์ กลับออกมาเที่ยวเล่นในเมืองหางโจวเช่นนี้
อวี้ถังมองเผยเยี่ยนอย่างดูแคลนไปอีกครั้ง
วันนี้คนโดยสารเรือมีไม่มาก กระจัดกระจายกันไป จึงมีที่ว่างเหลือเฟือ
พวกเขาหามุมนั่งลง
หลังจากเรือออกท่า ลมเย็นต้นสารทฤดูก็ปะทะใบหน้า สดชื่นและเย็นสบาย สุขอุราเป็นอย่างยิ่ง
อวี้หย่วนไปซื้อน้ำชาเข้ามาให้สองพ่อลูก ก่อนทั้งสามคนจะนั่งดื่มชาพูดคุยกัน
อวี้เหวินถามอวี้ถัง “เจ้ามีที่ใดอยากไปหรือไม่? หรืออยากจะซื้อของอะไร?”
อวี้ถังยังคงพะวงเกี่ยวกับภาพวาด ไหนเลยจะมีใจไปเที่ยวเล่น? แต่ว่าในเมื่อนางมาเมืองหังโจว อย่างไรก็ควรซื้อของไปฝากท่านแม่และหม่าซิ่วเหนียงเสียหน่อย
นางนวดแขนให้บิดาอย่างออดอ้อน “ข้าจะซื้อผ้าเช็ดหน้ากับผ้าคลุมผมกลับไปสักสองสามผืนได้หรือไม่เจ้าคะ?”
อวี้เหวินรู้สึกแปลกใจ “ซื้อแค่นี้งั้นหรือ?”
ทุกครั้งที่เขาออกจากบ้าน อวี้ถังแทบอยากจะเขียนรายการสิ่งของใส่กระดาษยาวๆ ให้เขาซื้อของกลับมาทั้งหมด
อวี้ถังหน้าแดง กล่าวอ้อมแอ้ม “นั่นข้ายังไม่ค่อยรู้ความเท่าไรต่างหาก?”
อวี้เหวินฟังก็หัวเราะออกมา ในใจกลับรู้สึกเงียบสงบอย่างแปลกประหลาด โบกมือไปมา “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน อยากซื้ออะไรก็ซื้อ รอหลังจากพ้นเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปเสียก่อน กำไรจากที่นาย่อมถูกส่งเข้ามา ในบ้านก็มีเงินใช้แล้ว”
อวี้ถังลอบถอนหายใจกับตัวเอง
เหตุใดชาติก่อนนางจึงไม่รู้ว่า บิดามีรายได้ไม่พอกับรายจ่ายกันนะ
แต่ว่า นางก็เหมือนจะ…
อวี้ถังเผยสีหน้าอึดอัดใจ
มีคนเกาะหน้าต่างเรือส่งเสียงร้อง
คนในเรือล้วนตกใจ รีบหันมองออกไปอย่างวุ่นวาย
ก่อนจะพบกับเรือใบเงาวาวสองเสากระโดงล่องน้ำมาอย่างคล่องแคล่วราวกับมัจฉา ฝ่าลมโต้คลื่นผ่านด้านข้างพวกเขาไป
“เป็นเรือของสกุลเผย!” มีคนตะโกนเสียงดัง “ข้าเคยเห็น ยามที่ท่านผู้เฒ่าเผยมีชีวิตอยู่ ทุกครั้งที่ไปเมืองหังโจวก็จะนั่งเรือแบบนี้แหละ”
“จริงรึ?” คนผู้นั้นไม่พูดยังจะดีกว่า พอพูดออกมา ก็มีคนถลาไปเกาะดูที่หน้าต่างเรือเพิ่มขึ้นอีก
“ช่างเร็วเสียจริง!”
“งามยิ่งนัก!”
ทุกคนต่างพากันชม
ก่อนจะมีคนตะโกน “พวกเจ้ารีบดู นั่นใช่ป้ายทางการหรือไม่! มีใครรู้หนังสือบ้าง รีบดูสิว่าเขียนว่าอะไร?”
อวี้หย่วนก็ชะโงกดูเช่นกัน
อวี้ถังดึงเขากลับมา “ท่านพี่ มีอะไรให้ดูกันนักหนา ก็แค่เรือลำเดียวเท่านั้น คนอื่นจะคิดว่าพวกเราไม่เคยเห็นเอาได้”
อวี้หย่วนหัวเราะ “นี่ไม่ใช่ว่าข้าอิจฉาหรอกหรือ? หากมีวันใดที่สกุลของพวกเราขับเรือเช่นนั้นได้ก็คงจะดี”
อวี้ถังยู่ปาก
อวี้หย่วนลูบศีรษะนาง “อาถังอย่าได้โกรธไป ภายหลังพี่ย่อมจะหาเงินมากๆ ให้หลานของเจ้าได้เรียนหนังสือดีๆ ยามที่อาถังกลับบ้านเกิด ข้าก็จะให้หลานของเจ้าชักป้ายของทางการ ใช้เรือใหญ่เช่นนั้นไปรับเจ้า”
พี่ชายของนางคนนี้ช่างพูดไปเรื่อย!
อวี้ถังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ “ข้าจะอยู่ที่เรือน ไม่แต่งออกให้ใคร กลับบ้านเกิดอะไรกัน!”
อวี้หย่วนยิ้มอย่างฝืดๆ ก่อนจะมองไปทางอวี้เหวินคล้ายกับขอความช่วยเหลือ
อวี้เหวินที่ไม่ปริปากตั้งแต่เมื่อครู่กลับตบโต๊ะขึ้นมา เอ่ยอย่างจริงจัง “อาถังพูดถูก ควรจะทำกิจการให้ดี แล้วค่อยคิดวิธีให้ลูกหลานเรียนหนังสือ สกุลเผยก็เป็นเช่นนั้น ยามที่เพิ่งจะย้ายมาที่นี่ก็ไม่ได้สอบเคอจวี่[3]ในทันที แต่เริ่มต้นจากรุ่นที่สอง” ก่อนจะพูดกับอวี้หย่วนต่อ “หลายปีมานี้ข้าเข้าใจบิดาของเจ้าผิดไป รอกลับไปหลินอัน ข้าจะไปเลี้ยงสุราพี่ใหญ่!”
อวี้หย่วนพูดคำว่า ‘มิกล้า’ ติดต่อกันอย่างขัดเขิน
อวี้ถังกลับหมดอารมณ์ที่จะพูดอีกแล้ว
เหตุใดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็พบแต่คนของสกุลเผย พูดอะไรก็ล้วนแต่เอ่ยถึงสกุลเผย!
นางไม่อาจใช้ชีวิตที่ไม่มีเผยเยี่ยน ไม่มีสกุลเผยได้เลยหรือ?
ช่างน่าโมโหเสียจริง!
————————————————
[1]จินซานซื่อ เครื่องใช้สามชนิดที่คนโบราณนิยมห้อยพกติดตัว ได้แก่แหนบ ที่แคะฟัน และไม้แคะหู
[2]หนึ่งจั้ง ประมาณ 3.33 เมตร
[3]เคอจวี่ การสอบเข้ารับราชการของจีน แบ่งเป็นระดับต้นคือถงซื่อ ระดับกลางคือเซียงซื่อ ระดับสูงคือฮุ่ยซื่อ และระดับสูงสุดคือเตี้ยนซื่อ