ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 98 โต้กลับ
ลูกชายของแม่นมมองลูกค้าที่เข้าแถวรอกินบะหมี่ข้างนอกอยู่ยาวเหยียด ก่อนจะหันมามองอวี้หย่วนที่ยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร ลังเลเพียงชั่วครู่ก็ปรากฏรอยยิ้ม เดินไปหาอวี้หย่วนที่โบกมือ “ข้ากำลังคิดจะไปหาพวกเจ้า คาดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะมีที่นั่งแล้ว” พูดจบ เขาก็หันกลับมาเอ่ยกับแม่นมของกู้ซี “ท่านแม่ พวกเราเข้าไปนั่งเถิด!”
แม่นมของกู้ซีสองจิตสองใจอยู่บ้าง
ลูกชายของนางเอ่ยเสียงเบา “อีกเดี๋ยวข้ายังต้องกลับไปจัดการบัญชีที่ร้าน!”
แม่นมของกู้ซีได้ยินเช่นนั้น ก็เดินมาทางโต๊ะที่อวี้หย่วนและอวี้ถังนั่งอยู่
“ขอบคุณจริงๆ พ่อหนุ่ม!” เมื่อเดินมาด้านหน้าโต๊ะ นางก็เอ่ยอย่างเกรงใจและอ่อนโยน “ครั้งหน้าจะให้กู้ซานเอ๋อร์เชิญพวกเจ้าไปดื่มชา”
แม่นมกู้แต่งงานกับบ่าวคนหนึ่งของสกุลกู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งสกุลมาตั้งนานนมแล้ว แต่แม่นมของกู้ซีดวงอาภัพยิ่ง ให้กำเนิดบุตรชายสามคน กลับมีกู้ซานเหลือรอดเพียงคนเดียว ยามที่กู้ซานอายุครบสองเดือน สามีก็ป่วยตายกะทันหัน ภายหลังกู้ซีแต่งเข้าสกุลหลี่ กู้ซานก็ตามมารดาเข้ามาหลินอันด้วยกัน ช่วยกู้ซีดูแลเรือกสวนไร่นา แต่งงานกับสาวใช้สินเดิมของกู้ซี ทั้งเป็นผู้ช่วยมากความสามารถของกู้ซี
ดังนั้นอวี้ถึงจึงจำกู้ซานได้เช่นกัน
แต่ว่ากู้ซานในยามนี้ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเท่านั้น แม้ว่าไม่กี่ปีให้หลัง เขาจะฉายแววความหลักแหลม มากความสามารถขึ้นมาอย่างเงียบเชียบก็ตาม
เขาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับอวี้หย่วน จัดแจงให้มารดานั่งลงตรงข้ามอวี้ถัง ตัวเองกลับไม่นั่ง เอ่ยถามอวี้หย่วนแทน “พี่อวี้ พวกเจ้าสั่งบะหมี่หรือยัง?”
อวี้หย่วนผงกศีรษะ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเราสั่งบะหมี่หน่อไม้ อาหารแนะนำของทางร้าน”
กู้ซานพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี พวกเราก็สั่งบะหมี่หน่อไม้ด้วยแล้วกัน” กล่าวจบ เขาก็วิ่งไปสั่งบะหมี่ทางเถ้าแก่ ให้ช่วยเร่งรัดเด็กในร้าน ดูคล่องแคล่วอย่างยิ่ง
สมแล้วที่เป็นคนสนิทของกู้ซีในภายหลัง
อวี้ถังลอบสังเกต ในใจก็ปรากฏความคิดขึ้นมา
แม่นมกู้ที่ยอบกายนั่ง ซึ่งก็คือมารดาของกู้ซานเริ่มสนทนากับอวี้หย่วนขึ้นมา “เจ้าทำงานที่ร้านค้าสกุลใดรึ? ไฉนข้าจึงไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเจ้ามาก่อน? เจ้ารู้จักอาสามของพวกเราได้อย่างไรกัน?”
ฟังแล้วคล้ายมารดาที่เป็นห่วงเรื่องเพื่อนของลูกชายทั่วไป ทว่าแววตากลับปรากฏความระแวดระวังอยู่หลายส่วน
อวี้ถังก้มหน้าดื่มชาที่ร้านนำมาให้คำหนึ่ง
สกุลกู้นั้นโดดเด่นในเมืองหังโจว ไม่รู้ว่ามีคนเท่าใดอยากจะผูกสัมพันธ์กับสกุลพวกเขา คาดว่ากู้ซานที่เป็นลูกแม่นมของกู้ซี ก็คงพบเจอคนที่ตั้งใจผูกมิตรแอบแฝงจุดประสงค์ไม่น้อย
อวี้หย่วนไม่มีความคิดจะผูกมิตรกู้ซานเป็นสหาย จึงพูดออกไปตามตรง “เพิ่งรู้จักเมื่อวาน ข้าเป็นคนหลินอัน มาหาเพื่อนที่นี่ บังเอิญว่าเพื่อนคนนั้นของข้าและน้องกู้รู้จักกัน ทุกคนไปกินข้าวมาด้วยกันครั้งหนึ่ง เห็นพวกเจ้าเข้าแถวอยู่ตรงนั้น จึงเรียกพวกเจ้ามาโดยไม่คิดอะไร”
คำพูดนี้ไฉนฟังดูแล้ว คล้ายเป็นวิธีที่ใช้ผูกมิตรกับกู้ซาน
แม่นมกู้เผยท่าทีระแวดระวังยิ่งขึ้นไปอีก นางเอ่ย “พ่อหนุ่มอวี้เป็นคนหลินอันรึ? เจ้ามาหังโจวเพื่อเที่ยวเล่นหรือเพราะธุระอันใด? นี่ก็ใกล้ข้ามปีแล้ว เหตุใดผู้ใหญ่ในสกุลพวกเจ้าจึงปล่อยให้พวกเจ้าออกจากบ้านในเวลานี้กัน?” พูดจบ นางก็มองไปที่อวี้ถังทีหนึ่ง
อวี้หย่วนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สกุลพวกเราก็คือพวกเราสองพี่น้องนี่แหละ เรื่องในบ้านมีผู้ใหญ่คอยดูแลควบคุมอยู่ พวกเราที่เป็นผู้น้อยจึงว่างเป็นอย่างยิ่ง มาหังโจวก็เพื่อเที่ยวเล่น ดูว่ามีของดีอันใดน่าซื้อหรือไม่”
คิ้วของแม่นมกู้ขมวดแน่น ยังคิดจะกล่าวอะไร แต่กู้ซานกลับยกถาดรองที่มีชามใหญ่สองชามวางอยู่เข้ามาก่อน
อวี้หย่วนรีบกุลีกุจอลุกไปช่วยรับถาดรอง
กู้ซานเอ่ย “นี่เป็นของพวกเจ้า ของพวกเรายังต้องรอสักพัก พวกเจ้ากินก่อนเถิด อีกเดี๋ยวก็ถึงคราวของพวกเราแล้ว”
อวี้หย่วนเอาชามหนึ่งให้แม่นมกู้ อีกชามให้อวี้ถัง “อย่างไรพวกเราก็ไม่มีเรื่องเร่งรีบอะไรอยู่แล้ว ให้มารดาเจ้ากับน้องข้ากินก่อนเถิด ข้าและเจ้ารอสักประเดี๋ยว จะได้มีเวลาคุยเล่นกันด้วย”
กู้ซานปราดมองมารดาแวบหนึ่ง
แม่นมกู้ผงกศีรษะเล็กน้อย
กู้ซานจึงยิ้มรับยอบกายนั่ง ดึงตะเกียบสองคู่ให้อวี้ถังและมารดา เวลานี้จึงค่อยดื่มชาอึกใหญ่ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ย่อมได้! คาดไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้ มาพบพี่อวี้ที่นี่ได้ นี่พวกเจ้าจะไปไหนกันรึ? วางแผนจะกลับเมื่อใด? หากมีเวลาว่างข้าจะเลี้ยงสุราท่าน”
อวี้หย่วนเผยยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “ข้าและน้องสาวจะกลับพรุ่งนี้แล้ว หลังจากกลับไป ร้านค้าของสกุลก็คงเริ่มยุ่ง ช่วงนั้นคงไม่มีโอกาสมาหังโจวหรอก หากน้องกู้มีโอกาสไปหลินอัน มิสู้แวะมาหาข้าที่ร้านค้าเครื่องลงรักสกุลอวี้ตรงถนนฉางซิ่ง ข้าจะเป็นเจ้าบ้าน พาเจ้าเที่ยวเมืองหลินอัน”
กู้ซานมองมารดาอย่างว่องไว ยิ้มเป็นพิธี “เช่นนั้นข้าคงต้องหาเวลาว่างไปหลินอันสักคราแล้ว”
อวี้ถังแค่นหัวเราะในใจ
สองแม่ลูกผู้นี้ คงจะคิดว่าอวี้หย่วนและอวี้ถังอยากอาศัยความสัมพันธ์พวกเขาไปผูกมิตรกับสกุลกู้ไม่ก็สกุลหลี่กระมัง!
อวี้ถังอึดอัดในใจ ตัดสินใจเป็นฝ่ายลงมือก่อน
นางดึงแขนเสื้อของอวี้หย่วน ใช้เสียงกระซิบที่สองแม่ลูกสามารถได้ยินเช่นกัน “สกุลกู้ คงไม่ใช่เกี่ยวข้องอะไรกับสกุลกู้แห่งหังโจวหรอกกระมัง?”
ชั่วขณะนั้นอวี้หย่วนยังไม่เข้าใจว่าอวี้ถังจะมาไม้ไหน จึงชะงักไปเล็กน้อย
สองแม่ลูกกู้ซานแลกเปลี่ยนสายตากัน แม่นมกู้จึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “คุณหนูอวี้รู้จักสกุลกู้ของพวกเรารึ?”
อวี้ถังใบหน้าดำคล้ำ “พวกเจ้าเป็นคนของสกุลกู้แห่งหังโจวจริงๆ รึ?”
ยามที่นางกำลังทำหน้ามืดหม่น คิ้วนั้นไม่ได้เหยียดตรงทั้งหมด แต่ดวงตากลมโต จมูกที่เชิดรั้น งดงามเป็นอย่างยิ่งไม่ว่า ยามที่นางก้มหน้าไม่พูดไม่จา ก็พาให้คนรู้สึกถึงความอ่อนหวานพริ้มเพรา แต่เมื่อนางพูดขึ้นมา โดยเฉพาะสีหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ ชั่วพริบตาใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นคมเด่นขึ้นมา เป็นความสง่างามที่ไล่ต้อนผู้คนได้
แม่นมกู้ก็พบหญิงงามมาไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าถูกอวี้ถังทำหน้าแข็งทื่อใส่เช่นนี้ กลับไม่อาจตอบกลับได้ในทันที เป็นกู้ซานที่ระแวดสองพี่น้องอวี้หย่วนมาโดยตลอด ฟังจบ เห็นมารดาไม่กล่าวอะไร เขาก็เอ่ยทันที “พวกเรานับเป็นคนสกุลกู้แห่งหังโจวไม่ได้หรอก เพียงแต่บิดาข้าเป็นบ่าวที่ตกทอดหลายชั่วอายุคนของสกุลกู้ ได้รับความเมตตาจากสกุลกู้ สมัยพ่อของปู่ทวดข้าก็ได้ใช้สกุลกู้ตาม พวกเราแม่ลูกจึงได้ทำงานรับใช้ในสกุลกู้”
หากสองพี่น้องสกุลอวี้เตรียมการณ์มา ย่อมรู้ว่าเขาเป็นใคร เขาไม่จำเป็นต้องปากมาก แต่หากไม่รู้จัก อาศัยจากความสัมพันธ์ของพวกเขา เพียงแค่ผูกมิตรกันตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว
ใครจะรู้ว่าเขาเพิ่งเอ่ยจบ อวี้ถังก็เด้งตัวลุกขึ้นมา กล่าวกับอวี้หย่วน “ท่านพี่ พวกเราไปเถิด! ข้าไม่อยากนั่งกับคนอย่างพวกเขา”
พื้นที่ร้านค้าค่อนข้างเล็ก อวี้ถังยืนเช่นนี้ ล้วนดึงดูดสายตาผู้คนให้จ้องมองมา คำพูดของนางยิ่งแพร่กระจายเข้าหูของทุกคน อย่าพูดถึงคนในร้านเลย แต่คนที่เข้าแถวใกล้ๆ ร้านก็ได้ยินทั่วกัน พากันหูตั้งขึ้นมา ชั่วพริบตาร้านค้าทั้งนอกทั้งในเงียบเชียบเป็นเป่าสาก ได้ยินเพียงเสียงน้ำแกงร้อนที่เดือด ‘ปุดๆ’ เท่านั้น
นับตั้งแต่แม่นมกู้เป็นสาวใช้ใหญ่ของมารดากู้ซีก็ไม่เคยพบเจอสถานการณ์ลำบากใจเช่นนี้มาก่อน นางกระวีกระวาดยืนขึ้น เอ่ยกับอวี้ถังเสียงเบา “แม่หนู ไม่ว่ามีเรื่องอันใด เจ้าทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้ทุกคนอับอายไปด้วยกัน เจ้านั่งลงก่อนเถิด พวกเรามาคุยกันดีๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีทางออกทั้งนั้น หากข้าไม่อาจคลี่คลายได้ ก็ไปหานายท่านใหญ่สกุลกู้ของพวกเรา เรื่องที่คนอื่นแก้ไขไม่ได้ เขาย่อมมีวิธีแก้ไข” ประโยคสุดท้าย แฝงความหมายข่มขู่อยู่เลือนราง
อวี้ถังกลัวว่าเรื่องจะไม่ใหญ่พอ ยิ่งไปกว่านั้นยามที่มาก็ได้เตรียมโยนทิ้งเรื่องหน้าตาไปไว้อีกฝั่งแล้ว
นางแค่นหัวเราะยอบนั่งลง เอ่ยอย่างกำปั้นทุบดิน “ท่านก็อย่าได้ใช้นายท่านใหญ่สกุลกู้มาข่มข้า ในเมื่อข้ากล้าทำ ย่อมกล้ารับ เจ้าจะเรียกนายท่านใหญ่พวกเจ้ามา ข้าก็กล้าพูดไม่กลัวอันใดทั้งนั้น”
แม่นมกู้ทั้งโมโห ร้อนใจ และรำคาญ
แม้ว่าพวกนางจะนั่งลง แต่ทุกคนมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าระหว่างพวกเขามีเรื่องสนุกให้ดู แม้คนในร้านค้าจะกินบะหมี่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงกลับลอบมองพวกเขาอยู่ ใคร่ฟังข่าวล่ำลือนินทา จะได้เอาไปพูดคุยซุบซิบกับผู้อื่นได้ ความสนใจของทุกคนจึงพุ่งไปอยู่ที่พวกเขาอย่างไม่ลดละ
แม่นมกู้กดเสียงลดอย่างไม่เป็นตัวเองอยู่หลายส่วน ฝืนยิ้มออกมา “อย่างไรคุณหนูอวี้กินบะหมี่ก่อนเถิด รอกินบะหมี่เสร็จแล้ว พวกเราค่อยหาที่คุยกันดีๆ”
นี่หากเป็นในจวนสกุลกู้ อย่าว่าแต่กินบะหมี่อะไรเลย นางคงจะลากแม่หนูผู้นี้ไปคุยกันด้านข้างแล้ว หากยังพูดไม่กระจ่าง ก็อย่าได้คิดจะกินอะไรทั้งนั้น
แม่นมกู้ฝืนกดโทสะที่สุมอยู่ในอก อวี้ถังไม่ได้วางแผนที่จะมาเอาใจนาง แค่นยิ้มหยัน พูดด้วยเสียงเฉกเช่นปกติ “ท่านไม่ต้องไว้หน้าข้าหรอก ข้าไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องอันใดกับสกุลกู้ หากจะเอ่ยขึ้นมา สกุลพวกเรายังมีความแค้นกับสกุลกู้…หลี่ตวน บุตรเขยของสกุลกู้พวกเจ้า ไม่สิ ควรพูดว่าฮูหยินหลี่ มารดาของเขยบ้านรองสกุลกู้ของพวกเจ้า ช่างไร้ยางอายจริงๆ ดูสิว่าทำเรื่องงามหน้าอะไรออกมา? บุตรเขยสกุลพวกเจ้ายังสวมชุดกระสอบไว้ทุกข์ขอขมาให้คนอื่นอยู่เลย คนเมืองหลินอันแห่มาดูมหรสพจนแออัดเต็มถนนไปหมด ใครบ้างไม่รู้ ใครบ้างไม่เห็น อย่ามาทำท่าทางประหนึ่งกลัวว่าพวกเราสองพี่น้องอยากจะประจบประแจงพวกเจ้า ข้าไม่ฟังคำอธิบายจากพวกเจ้าหรอก แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่เจ้าพูดถูก ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีวิธีแก้ไข หากเจ้าคิดว่าได้รับการเหยียดหยามจากข้าที่นี่ ก็เรียกนายท่านใหญ่สกุลพวกเจ้ามา ให้นายท่านใหญ่สกุลพวกเจ้าให้ความชัดเจนแก่พวกเรา ดูสิว่าเป็นเจ้าที่มีตาหามีแววไม่ หรือเป็นพวกเราที่ไร้เหตุผล”
นางคารมคมคาย ทำเอาแม่นมกู้โมโหจนหน้าดำเป็นก้นหม้อ ลำพังแค่กังวลเรื่องชื่อเสียงของสกุลกู้ในเมืองหังโจวก็ไม่กล้ากล่าวเสียงดังอันใดกับอวี้ถังแล้ว
ก่อนหน้านี้อวี้หย่วนยังกังวลว่าอวี้ถังกระทำเรื่องบ้าบิ่นเกินไป ยามนี้เห็นแม่นมของกู้ซีข่มกลั้นไม่ปริปากพูด จึงเชื่อดั่งที่อวี้ถังกล่าวว่า ‘สกุลร่ำรวยมากบารมีนั้นรักหน้าตาตัวเองเป็นที่สุด ต่อหน้าเจ้าไม่กล้าทำอะไร กลับลอบใช้แผนการลับหลังเท่านั้น’ เขารู้สึกโล่งใจ ทั้งใจแขวนอยู่กลางอากาศในเวลาเดียวกัน
สกุลกู้คงไม่ลอบลักพาตัวพวกเขาสองพี่น้องไปหรอกกระมัง?
อีกเดี๋ยวเขาจะเจอเถ้าแก่รองถง ควรเอ่ยเรื่องนี้กับเขาดีหรือไม่?
หรือว่า พวกเขาจ้างเรือกลับหลินอันคืนนี้เลย? อย่างไรพวกเขาก็ทำเรื่องบรรลุเป้าหมายแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะรั้งอยู่ที่หังโจว
ด้านอวี้หย่วนยังคงคิดว้าวุ่นไปร้อยแปดพันเก้า กู้ซานดึงสติกลับมา เขาประกายสายตาเยียบเย็น เอ่ยอย่างจริงจัง “ทั้งสองคนมาหาเรื่องอย่างนั้นรึ?”
อวี้ถังไม่ได้ใจเย็นสงวนกิริยาเหมือนชาติก่อน ทั้งไม่คิดจะก้มศีรษะยอมให้คนอื่นทำอะไรหยาบคายกับนางก็ได้ ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ จึงตอบกลับทันที “เจ้าคิดว่าพวกเจ้านับเป็นของสิ่งใดกัน? หากข้าอยากหาเรื่อง ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องทำกับพวกเจ้า! ข้าว่าเจ้าคงอยู่ในเมืองหังโจวนานเกินไป กลายเป็นกบในกะลา คิดว่านอกจากสกุลกู้ของพวกเจ้าแล้วก็ไม่มีสกุลใดอีก เพียงแค่พูดกับพวกเจ้าเพียงไม่กี่คำก็คิดว่าคนอื่นอยากจะหาผลประโยชน์จากพวกเจ้า เจ้าไม่ลองไปสืบข่าวดูเสียบ้าง สกุลอวี้ของพวกเราก็เป็นสกุลบัณฑิตที่มีหน้ามีตาในหลินอัน จะต้องใช้แผนการอะไรกับพวกเจ้าที่เป็นบ่าวรับใช้?” พูดจบ นางก็ตะโกนเรียกเถ้าแก่เสียงดัง “พวกเราไม่รู้จักสองคนนี้ รบกวนท่านเปลี่ยนโต๊ะให้ด้วย!”
แม่นมของกู้ซีโมโหจนหน้าเทา เถ้าแก่เผยรอยยิ้มอบอุ่นใสซื่อ จะเปลี่ยนก็ไม่ได้ ไม่เปลี่ยนก็ไม่ได้อีก
————————