ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่325 พุดตาน
ผู้นําของสกุลเผยทุกรุ่นต่างก็ต้องพักอยู่ที่เรือนลี่เสวี่ยถังบนถนนตะวันออก ท่านแม่เฒ่า
สกุลเผยก็เพิ่งจะย้ายออกมาหลังจากที่ท่านผู้เฒ่าสิ้นไป แต่เผยเยี่ยนไม่ยอมย้ายไปที่นั่น ยังคง
พักในสวนป่ าเดิมของเขา เหล่าผู้อาวุโสในสกุลต่างเห็นว่าบ้านหลักยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ทั้งเผย
เยี่ยนก็ยังไม่ได้ตบแต่ง จึงไม่มีใครไปเร่งเร้าเขา
กระทั่งงานแต่งของเขากําหนดเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว เขาก็ยังเลือกแต่งเรือนหอที่เรือน
เขาซู่อวี้
คราวนี้เหล่าผู้อาวุโสจึงเริ่มไม่พอใจ
เผยเยี่ยนกลับไม่ยอมอธิบายสักคํา ดื้อรั้นจะตกแต่งเรือนเขาซู่อวี้ใหม่ ทั้งยังขุดต้น
แปะก๊วยในเรือนลี่เสวี่ยถังย้ายไปปลูกที่เรือนเขาซู่อวี้อีกต่างหาก
ท่านผู้เฒ่าสกุลอี้จึงต้องไปเยี่ยมท่านแม่เฒ่าสกุลเผยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาเอ่ยอย่างทอด
ถอนใจว่า “ข้ารู้ว่าเด็กคนนี้กตัญ�ู แต่แคว้นมีกฎแคว้น บ้านมีกฎบ้าน ท่านไม่อาจปล่อยเขาทํา
ตามอําเภอใจได้!”
ท่านแม่เฒ่ายกถ้วยชาขึ้นมาเป่ าใบชาที่ลอยอยู่ด้านบนเบาๆ นางไม่ได้ดื่มมันลงไป
เพียงวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยว่า ”เจ้าก็รู้ว่าสยากวงนิสัยเหมือนเด็ก เดิมตําแหน่งผู้นําสกุลควรมี
บ้านอาโย่วเป็นผู้สืบต่อ ตอนนี้ภาระกลับตกมาที่เขา บางทีเขาอาจจะมีแผนการของเขาเอง ข้า
ว่าเรื่องนี้ พวกเจ้าก็ปล่อยเขาไปเถอะ เขาอยากจะพักที่ไหนก็ให้เขาพักที่นั่นแหละ”
ท่านผู้เฒ่าสกุลอี้อดจะคิดมากไม่ได้
หรือว่าเผยเยี่ยนตั้งใจจะมอบตําแหน่งผู้นําสกุลคืนให้บ้านของเผยโย่ว?
เช่นนี้ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
2586
นึกถึงตอนแรก ตอนที่พวกเขาย้ายมาจากลั่วหยาง บ้านหลักไร้ผู้สืบสกุล ก็เป็นพวกเขา
สายต้นสกุลที่รับตําแหน่งนั้นมา ภายหลังเมื่อบ้านหลักให้กําเนิดบุตรชาย บ้านต้นสกุลอย่าง
พวกเขาก็ส่งมอบตําแหน่งคืนให้กับผู้นําสกุลคนใหม่
อาศัยความเย่อหยิ่งอย่างเผยเยี่ยน เขาน่าจะทําเรื่องเช่นนี้ออกมาได้จริงๆ!
แต่ท่านผู้เฒ่าสกุลอี้กลับไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการนี้เท่าไร เขาเอ่ยเตือนท่านแม่เฒ่า
สกุลเผยว่า “ไม่ว่าอย่างไร ในสายตาข้า อาถงกับอาเฟยล้วนมิใช่ตัวเลือกที่เหมาะสม เรื่องนี้
พี่สะใภ้ท่านต้องคอยชี้แนะให้มากถึงจะถูก ที่สกุลเผยมีทุกวันนี้ได้ บ้านหลักมีความดีความชอบ
ใหญ่หลวง อย่าให้พี่ชายใหญ่ที่อยู่ในปรโลกของข้าต้องนอนตายตาไม่หลับเชียว!”
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยก็คิดไม่ต่างจากเขา
นางเอ่ยปากรับรองกับท่านผู้เฒ่าสกุลอี้ว่า “เจ้าสบายใจได้ ไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้น
ขึ้นแน่”
ท่านผู้เฒ่าสกุลอี้ค่อยสงบใจที่วิตกลงได้ ก่อนถอนหายใจเฮือกแล้วขอตัวกลับ
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยนอนไม่หลับติดต่อกันไปอีกหลายวัน
คนรอบข้างคิดว่าเพราะเผยเยี่ยนใกล้จะแต่งงาน นางเลยปลื้มปริ่มดีใจ แต่มีเพียงตัว
นางที่รู้ความจริง นี่เป็นเพราะนางกลัวว่าเผยเยี่ยนจะมีความคิดเช่นนั้น กลัวว่าเผยเยี่ยนจะมอบ
ตําแหน่งผู้นําสกุลคืนให้บ้านของเผยโย่ว
นางยังรู้อีกว่า ต้นแปะก๊วยสูงชะลูดต้นนั้น ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยเป็นคนปลูกเองกับมือใน
ปีที่เผยเยี่ยนเกิด ท่านผู้เฒ่ายังเคยพูดไว้ หวังว่าต้นไม้ต้นนี้จะเป็นที่สงบร่มเย็น เติบโตแผ่กิ่งก้าน
ใหญ่อย่างราบรื่นได้เหมือนเผยเยี่ยน
สีหน้าของเผยเยี่ยนแม้จะไม่แยแส แต่เขาก็รดนํ้าให้ต้นไม้ต้นนั้นบ่อยๆ รดนํ้ามากเสีย
จนเกือบทําต้นไม้เน่าตาย
2587
หากว่าเขาย้ายต้นแปะก๊วยมาปลูกที่เรือนเขาซู่อวี้ เก้าในสิบส่วนคงตัดสินใจแน่วแน่
แล้วว่าจะพักที่เรือนเขาซู่อวี้ต่อไป
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยได้แต่ถอนหายใจในอก
รอจนคนที่มาป่ วนเรือนหอแยกย้ายกันแล้ว แต่ละคนก็กลับไปพักผ่อน นางกลับมี
ความคิดหมื่นพันตีกันอยู่ในสมอง อย่างไรก็นอนไม่หลับเสียที
เฉินต้าเหนียงพาคนเข้ามาจุดกํายานสงบใจให้
ทว่าจู่ๆ นางก็ไม่อยากนอนหลับแล้ว นึกย้อนไปถึงตอนที่นางกับท่านผู้เฒ่าสกุลเผยเพิ่ง
จะแต่งงานกัน สองคนมักเอนกายเคียงข้างกันอยู่บนเตียง วาดฝันถึงเรื่องในอนาคต จะมีลูกกี่
คนดี? หากว่ามีลูกชายจะทําอย่างไร? หากว่ามีลูกสาวจะเลี้ยงดูอย่างไร?…แต่บัดนี้ เขาได้จาก
ไปแล้ว ทิ้งนางให้ข้ามผ่านคืนวันบนโลกนี้เพียงลําพัง
ท่านแม่เฒ่ารู้สึกปวดร้าวจากส่วนลึก นํ้าตาจึงไหลออกมา
เฉินต้าเหนียงรีบเอ่ยว่า “ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ? จะให้ข้าอ่านหนังสือสวดมนต์ให้ฟัง
ไหม? หรือพวกเราไปนั่งเล่นที่ห้องหนังสือของท่านผู้เฒ่าสักพักดี?”
ห้องหนังสือของท่านผู้เฒ่ายังคงรักษาเอาไว้อย่างดี ตกแต่งเหมือนเก่าคล้ายยามที่เขา
ยังมีชีวิต และจะมีการตกแต่งใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนฤดูกาล
ท่านแม่เฒ่าอดคิดถึงคนที่เคียงข้างนางมาครึ่งชีวิตไม่ได้
นางพยักหน้า เอ่ยด้วยนํ้าเสียงแหบพร่าว่า “ก็ดีเหมือนกัน พวกเราไปนั่งเล่นที่ห้องท่าน
ผู้เฒ่าสักพักเถอะ”
เฉินต้าเหนียงถอนหายใจโล่งอก สั่งเด็กรับใช้ไปหยิบเสื้อคลุมกันลมกับเตาอุ่นมือมาให้
แล้วประคองท่านแม่เฒ่าเดินไปที่เรือนลี่เสวี่ยถัง
แสงโคมสีเหลืองกระทบลงบนทางเดินแผ่นหินเขียว เปล่งประกายอบอุ่นไปทั่ว
2588
เฉินต้าเหนียงเอ่ยเสียงเบาปลอบโยนท่านแม่เฒ่าว่า “ตอนนี้นายท่านสามก็เป็นฝั่งเป็น
ฝาแล้ว ผ่านไปไม่กี่ชั่ววัน ท่านแม่เฒ่าก็คงมีหลานชายหลานสาวมาเพิ่ม ถึงตอนนั้นในเรือนคง
คึกคักไม่น้อย นายหญิงสามอย่างไรก็อายุยังน้อย ยังมีเรื่องอีกมากที่ไม่รู้ความ เรื่องอบรมสั่ง
สอนหลานๆ คงต้องให้ท่านคอยชี้แนะ ท่านต้องรักษาสุขภาพให้ดี เพื่อลูกๆ ของนายท่านสาม
จะได้เหมือนหลานๆ ของบ้านหลักสกุลเฉียน แต่ละคนต่างเรียนเก่งกันหมด”
ท่านแม่เฒ่าคิดถึงท่าทีซุกซนของบุตรชายคนเล็กตอนที่ยังเป็นเด็ก พลันรู้สึกว่าอารมณ์
เบิกบานขึ้นไม่น้อย ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะ ออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ข้าไม่ได้สําคัญขนาดที่
เจ้าพูดหรอก พวกเขาสองคนล้วนเป็นคนฉลาด ไม่มีข้า พวกเขาก็ต้องทําได้ดีแน่”
ขณะที่พูด นางพลันไม่อยากไปที่เรือนลี่เสวี่ยถังแล้ว
นางหยุดยืนตรงปากทางเดิน นิ่งคิดเงียบๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนเอ่ยกับเฉินต้าเหนียงว่า
“พวกเราไปเรือนเขาซู่อวี้กัน”
เฉินต้าเหนียงตกใจเมื่อได้ฟัง อยากถามใจจะขาดว่า ‘ท่านจะไปทําอะไร? คงไม่ถึง
ขนาดไปแอบฟังพวกเขาเข้าหอกันหรอกกระมัง?’ แต่นางก็นึกออกทันทีว่าตัวเองคิดนอกลู่นอก
ทางไปเอง
ท่านแม่เฒ่ามิได้เป็นมารดาประเภทนั้น
นางเดินตามท่านแม่เฒ่าไปที่เรือนเขาซู่อวี้
แขกเหรื่อกลับไปหมดแล้ว เรือนเขาซู่อวี้เงียบสงัด มีเพียงหญิงรับใช้เวรกลางคืนไม่กี่คน
ที่ปิดปากหาวหวอดๆ ขณะที่ปัดกวาดลานเรือน
กระดาษแดงในประทัดไม้ไผ่กระจายไปทั่ว พื้นเป็นสีแดงทั้งผืน เหมือนปูด้วยพรมแดง
อีกชั้น ให้บรรยากาศเป็นมงคลยิ่ง
2589
หญิงรับใช้คนหนึ่งจะไปรายงานชิงหยวน แต่กลับถูกท่านแม่เฒ่าห้ามเอาไว้ นางเอ่ยว่า
“ข้าแค่มาดูเท่านั้น พวกเจ้าไม่ต้องรบกวนนายท่านสามกับนายหญิงสามหรอก วันนี้เป็นคืนเข้า
หอของพวกเขา”
หญิงรับใช้หัวเราะตาม ไม่รู้ว่าจะตอบความอย่างไร
ท่านแม่เฒ่าจึงเอ่ยกับหญิงรับใช้ว่า “เจ้าก็ไปเป็นเพื่อนข้าเถอะ! หากเจอคนในเรือน
ของสยากวง เจ้าจะได้ช่วยข้าบอกกล่าวสักหน่อย”
จวนสกุลเผยใหญ่โต อย่างเช่นท่านแม่เฒ่าสกุลเผยนี้ ใช่ว่าคนจากทุกเรือนจะรู้จัก อีก
อย่างช่วงนี้เผยเยี่ยนก็เพิ่งจัดสรรหน้าที่และเปลี่ยนแปลงสาวใช้ในเรือนใหม่ด้วย
หญิงรับใช้คนนั้นรีบตอบว่า “เจ้าค่ะ” อย่างพินอบพิเทา เดินติดตามอยู่ข้างกายท่านแม่
เฒ่าสกุลเผย
ท่านแม่เฒ่าถามนางว่า “หัวหน้าสาวใช้ในเรือนเขาซู่อวี้ตอนนี้ใช่ชิงหยวนอยู่หรือไม่?
แล้วชิงเยี่ยนล่ะ? นางรับผิดชอบสวนป่ ารึ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้นแปะก๊วยที่นายท่านสามย้ายมา
ปลูกอยู่ที่ไหน? ข้าอยากไปดูสักหน่อย”
“ทราบเจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้ตอบคํา ทางหนึ่งก็นําทางท่านแม่เฒ่าไปยังสถานที่ปลูกต้น
แปะก๊วย ทางหนึ่งก็ตอบความท่านแม่เฒ่าว่า “แต่เดิมข้าก็รับผิดชอบงานปัดกวาดที่เรือนเขา
ซู่อวี้ หลังจากนายท่านสามย้ายเข้ามา ก็ยังให้ข้าทําหน้าที่ตามเดิม คนของสวนป่ ากับเรือนเขา
ซู่อวี้ไม่ได้ปะปนกัน แม่นางเยี่ยนยังคงดูแลสวนป่ าดังเก่า แม่นางชิงหยวนถูกย้ายมาทางนี้แทน
ทว่าแต่ละคนรับผิดชอบอะไรบ้าง ยังต้องรอให้นายหญิงสามผ่านพิธีรับญาติเสียก่อน แล้วค่อย
แบ่งสรรกันใหม่…”
เหตุผลที่เรือนเขาซู่อวี้ถูกเรียกว่าเรือนเขา ก็เพราะมันถูกสร้างบนเนินเขาลูกหนึ่ง พื้นที่
สูงๆ ตํ่าๆ คล้ายกับชานเมืองมาก
2590
ท่านแม่เฒ่ามีเฉินต้าเหนียงกับหญิงรับใช้ประคองอยู่คนละข้าง พอเดินไปได้ครึ่งทาง
ฝนก็เริ่มโปรยลงมาแล้ว
ฝนตกไม่หนักมาก โปรยลงมาปรอยๆ แต่คล้ายว่าจะไม่ยอมหยุดตกง่ายๆ
เฉินต้าเหนียงร้อนใจ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ฝนหน้าหนาวทําให้คนป่ วย พวกเราย้อนกลับไปกัน
เถอะเจ้าค่ะ” ทั้งสั่งหญิงรับใช้ว่า “ยังไม่รีบไปหยิบร่มมาอีก! หรือไม่ก็เรียกให้คนแบกเกี้ยวมา”
“ไม่ต้องหรอก!” ท่านแม่เฒ่ายืนแน่นิ่ง ก่อนจะมองไปที่ศาลาเหมันต์ข้างๆ “พวกเราไป
พักตรงนั้นสักครู่”
เฉินต้าเหนียงไม่กล้าให้ท่านแม่เฒ่ายืนตากฝน คิดว่าหลบไปพักก่อนก็ยังดี
หญิงรับใช้คนนั้นก็หัวไวไม่เลว นางวิ่งตากฝนลงเขาไป ทางหนึ่งก็หันมาบอกว่า “ท่าน
กับท่านแม่เฒ่ารอข้าครู่เดียว ข้าจะไปหยิบร่มมาให้เจ้าค่ะ”
หากว่าเรียกคนแบกเกี้ยวมาได้ย่อมดีกว่า เพียงแต่กลัวจะทําให้นายท่านสามแตกตื่น
ไปด้วย
เฉินต้าเหนียงลอบเอ่ยชมนางในใจ
ท่านแม่เฒ่าชี้นิ้วไปที่ต้นแปะก๊วยซึ่งอยู่ด้านล่างศาลาเหมันต์ “เจ้าดูสิ ใช่ต้นที่เมื่อก่อน
ท่านผู้เฒ่าเคยปลูกหรือไม่?”
เฉินต้าเหนียงยกโคมขึ้นสูง มองสํารวจอย่างละเอียด บนต้นไม้นั้นยังผูกผ้ายาวสีแดง
ใหม่เอี่ยมเอาไว้ นี่เป็นวิธีที่ช่างงานสวนของสกุลเผยมักใช้ประจํา
“ใช่จริงๆ ด้วยเจ้าค่ะ!” เฉินต้าเหนียงขยับเข้าไปใกล้ แล้วเขย่งเท้ามองดูอีกหลายที
ก่อนเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “ข้าเห็นว่าบนกิ่งยังสลักอักษรสองตัวไว้รางๆ”
ตอนที่เผยเยี่ยนยังเล็ก เพราะว่าดื้อรั้นไม่ยอมท่องหนังสือ เขาเคยถูกท่านผู้เฒ่าลงโทษ
ให้ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ตอนที่ถูกลงโทษเขาก็ยังไม่ยอมอยู่นิ่งๆ สลักอักษรเผยลงบนต้นไม้ไปสองตัว
2591
“น่าเสียดายที่ไกลไปหน่อย มองเห็นไม่ค่อยชัดเจ้าค่ะ” เฉินต้าเหนียงบอก “หรือไม่ให้ข้า
ลงไปดูสักหน่อย ท่านรออยู่ที่นี่อย่าไปไหนนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก” ท่านแม่เฒ่ามองฝนที่ทําท่าจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆรู้สึกเสียใจกับความเอา
แต่ใจของตน หากว่านางล้มป่ วย เผยเยี่ยนที่เพิ่งแต่งงานใหม่ก็ต้องมาคอยดูแล มิใช่ว่าทรมาน
สองสามีภรรยาเปล่าๆ หรือ?
นางบอกว่า “พรุ่งนี้ข้าค่อยมาดูใหม่ก็ยังไม่สาย รอหญิงรับใช้คนนั้นหยิบร่มกลับมา
พวกเราก็กลับกันเถอะ!”
เฉินต้าเหนียงไม่ได้ดึงดันต่อ
ท่านแม่เฒ่าก้าวขาเดินไปดูบ้าง
พบว่าข้างต้นแปะก๊วยยังมีดอกพุดตานปลูกไว้อีกต้นหนึ่ง
อากาศช่วงเดือนสิบ ดอกไม้มักเป็นดอกตูมอยู่ ทั้งๆ ที่เป็นยามราตรี แต่เหมือนบุปผา
ได้พบฝนยามวสันต์ กลีบเลี้ยงนั้นเบ่งบานอย่างเงียบเชียบ เผยให้เห็นกลีบดอกอ่อนสีแดงด้าน
ในที่ดิ้นรนต่อสู้เพื่อผลิบาน กิ่งก้านที่อ่อนล้าคล้ายว่ารับนํ้าหนักไม่ค่อยไหว เมื่ออยู่ใต้ต้น
แปะก๊วยที่สูงชะลูด พลันมีเสน่ห์น่ามองแปลกๆ เฉกกําลังบอกว่า ‘ประคองข้าผู้อ่อนแอไร้
เรี่ยวแรงคนนี้ที’
ท่านแม่เฒ่าพลันหลุดยิ้มออกมา
ในจวนหลังนี้ นานมากแล้วที่นางไม่ได้เห็นดอกไม้ที่เอาแต่ใจเช่นนี้
นับแต่ท่านผู้เฒ่าจากไป เจ้าสามก็รําคาญใจทุกครั้งที่เห็นดอกไม้ คนในจวนใครบ้างไม่
เห็นเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ย่อมยึดสิ่งที่เขาโปรดปรานเป็นหลัก ยังไม่ทันถึงหน้าผลิดอก บุปผาก็
ถูกเด็ดทิ้งไปหมดแล้ว
ดอกพุดตานนี้สามารถรอดชีวิตมาได้ ไม่รู้เพราะช่วงนี้ทุกคนวิ่งวุ่นเรื่องงานแต่งของเผย
เยี่ยนจนละเลยไป หรือเพราะสถานที่ห่างไกลรกร้างจนไม่มีคนสนใจกันแน่?
2592
แต่ยํ่าราตรีเช่นนี้ กลับทําให้คนที่เห็นอบอุ่นและอิ่มเอมหัวใจยิ่งนัก
นับว่าเป็นเรื่องดี!
ท่านแม่เฒ่าตัดสินใจจะกําชับคนของเรือนเขาซู่อวี้ไว้หน่อย หากเผยเยี่ยนไม่ได้สั่ง ก็
อย่าเด็ดดอกไม้ทิ้ง
เมื่อถึงเวลาผลิดอกที่สีสันสดใสออกมา ย่อมจะงดงามจับตาเป็นพิเศษแน่
ท่านแม่เฒ่าถูกสาวใช้และหญิงรับใช้ล้อมหน้าล้อมหลังเพื่อพานางกลับเรือน ทิ้งดอก
ตูมซึ่งถูกเม็ดฝนพร่างพรมไว้เบื้องหลัง ฝนหยดแล้วหยดเล่ากระทบใส่ จนดอกตูมสะท้านสั่น
เผยอมุม มันถูกเบียดบังยึดครอง บีบบังคับให้ผลิดอกแรกออกมาอย่างไร้กําลังจะป้องกันตัว