อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 205 ชิ้นส่วนสำคัญ
ตอนที่ 205 ชิ้นส่วนสำคัญ
กลุ่มเครือโอวหยางกรุ๊ปจะขาดชิ้นส่วนสำคัญทั้งสามนี้ไปไม่ได้ การถอนตัวออกทั้งสามห้างคือความเสียหายของพวกเขา
โอวหยางลี่มองไปที่เอกสารสัญญาที่เขาเพิ่งโยนลงบนโต๊ะ “เธอรู้ใช่ไหมว่ายี่สิบแปดเปอร์เซ็นต์นี่หมายถึงอะไร?”
“เรื่องเรียนคณิตศาสตร์ของฉันก็ถือว่าใช้ได้นะคะ ซึ่งหมายความว่าประธานโอวหยางลี่ คุณขายหนึ่งร้อยหยวนแบ่งให้กับประธานจิ่ง รวมแล้วเป็นยี่สิบแปดเปอร์เซ็นต์ค่ะ” เธอตอบคำถามเขาอย่างจริงจัง
ไม่ใช่ว่าตระกูลอันไม่เคยทำธุรกิจห้างสรรพสินค้ามาก่อน ราคาต้นทุนและราคาขายไม่ได้ถึงสองเท่า แม้หนึ่งร้อยหยวนแบ่งให้จิ่งเป่ยเฉินยี่สิบแปดเปอร์เซ็นต์ เขาก็ยังสามารถทำเงินได้อีกมาก
ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงที่แหบแห้งของเธอ จู่ ๆ เขาก็ไม่อยากเจรจาเรื่องงาน เขามองเธอและพูดเบา ๆ ว่า “เรื่องข่าวอื้อฉาวเลขาอันกับประธานจิ่งเป็นที่น่าตกใจอย่างมาก”
“งั้นเหรอคะ? ฉันว่าก็โอเคนะ” เธอยิ้มกับเรื่องอื้อฉาวที่กระจายไปทั่วโซเชียล เธอยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
แค่ไม่คิดว่าเขาจะมาสนใจเรื่องซุบซิบนินทาเหล่านี้
ทันทีที่มองใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอ เขาก็ถามเธออย่างกะทันหัน “ลูกของคุณเป็นลูกของใคร?”
เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถามออกไปแบบนั้น แต่เขาแค่อยากรู้อย่างอธิบายไม่ได้
“มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาที่ต้องคุยกันวันนี้เหรอคะ?” รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอหายไปทันที “ประธานโอวหยางลี่ดูใส่ใจเรื่องส่วนตัวของฉันเป็นพิเศษขนาดนี้ สนใจในตัวฉันงั้นเหรอคะ? ฉันคิดว่าจะมีแค่ประธานจิ่งคนเดียวที่ตาบอดซะอีก”
ขณะนั้นเองประธานจิ่งที่นั่งอยู่หัวโต๊ะที่บริษัทตระกูลฮั่วซึ่งอยู่ห่างออกไปก็จามขึ้นมา ผู้คนภายในห้องประชุมค่อย ๆ มองไปที่เขา ฮั่วตงเองก็ใบหน้าเปลี่ยนสีแทบจะมองไม่ได้โดยทันที
เขายอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ แต่กลับไม่มีความคิดเห็นอื่น หุ้นในมือของจิ่งเป่ยเฉินตอนนี้แซงหน้าเขาไปแล้ว ตำแหน่งประธานไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป
จิ่งเป่ยเฉินหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อโดยไม่ได้สนใจเรื่องที่จามไปเมื่อครู่
โอวหยางลี่ได้ยินคำตอบจากอันโหรวก็ตกตะลึงอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงดังออกมา
“คิดว่าฉันชอบเธองั้นเหรอ? นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมาเลย ฉันไม่รู้หรอกว่าจิ่งเป่ยเฉินกำลังทำอะไรอยู่ แต่ฉันไม่ได้ตาบอดหรอกนะ และก็ไม่ได้กระหายเหมือนเขาด้วย แต่ดวงตาคู่นี้……”
‘ดวงตา’ สองคำนั้นถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอของเขา เขามองไปที่ดวงตาของเธอ “ก็แค่ดวงตาเท่านั้นที่เหมือน”
เขายังไม่ทันพูดจบ อันโหรวก็จินตนาการไปไกล แค่ดวงตาคู่นี้… เมื่อมองย้อนกลับไป จิ่งเป่ยเฉินเองก็เคยมองตาเธอบ่อย ๆ
จิ่งเป่ยเฉินเป็นหมาป่าที่หิวโหยโดยไม่เลือกกินอย่างที่เขาบอกจริง ๆ นั่นแหละ
แต่โชคดีที่เธอนั้นยังมีลูกคอยช่วยเธอเอาไว้อยู่ เธอจึงไม่ได้หวาดกลัวเขาเท่าไรนัก!
เมื่อเห็นเธอยิ้ม เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างใจเย็น “ผมไม่สามารถเซ็นสัญญาในวันนี้ได้ ต้องให้ผู้บริหารระดับสูงของแต่ละบริษัทมาเจรจา เลขาอันเชิญกลับไปก่อนเถอะ”
“แน่นอนว่าได้ค่ะ” เธอหยิบเอกสารสัญญาและหยิบสำเนาอีกฉบับบนโต๊ะโดยมีเขาจับตามองอยู่ เธอจึงเอ่ยอธิบายเสริมว่า “ฉบับนี้ประธานจิ่งยังไม่ได้ลงนาม ประธานโอวหยางลี่สามารถทำสำเนาให้ผู้บริหารพิจารณาก่อนได้เผื่อมีความเห็นอื่น ๆ”
ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขา การพูดการจาก็ดูหยิ่งเกินไป
เสียงรองเท้าส้นสูงค่อย ๆ เดินจากไป แต่ทันทีที่ถึงหน้าประตูเธอก็หยุดอยู่ที่หน้าประตู พลางหันกลับมา
เขาเงยหน้าขึ้นมองและสบตาเธออีกครั้ง ผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามเผยรอยยิ้มและพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ลืมบอกประธานโอวหยางลี่ไปเลย สัญญาฉบับนี้มีไว้สำหรับคนทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่เมือง A อย่างเดียวนะคะ”
เธอเดินออกไปจากห้องทันทีที่พูดจบ เหลือเพียงกาแฟที่วางไว้กับเอกสารสัญญาหนา ๆ หนึ่งฉบับ
โอวหยางลี่หยิบเอกสารสัญญาขึ้นมาด้วยความโมโห ก่อนจะลุกขึ้นและโยนมันทิ้งลงกับพื้น พร้อมเดินออกจากห้องรับรองไป
ทันทีที่อันโหรวออกมาจากลิฟต์ก็ต้องเผชิญหน้ากับเหลียวเว่ยที่กำลังเดินเข้ามา เธอเดินมาที่ลิฟต์อย่างช้า ๆ
เหลียวเว่ยมองเธอที่กำลังจะเดินออกไป พลันก็เกิดความสงสัยขึ้นมาในใจว่าทำไมเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่?
หรือเพราะข่าวฉาวกับจิ่งเป่ยเฉินที่เผยแพร่ออกไปเร็วจนไม่สามารถควบคุมใจตัวเองได้ คงไม่ได้มาหลอกล่อโอวหยางลี่ใช่ไหม?
“สวัสดีค่ะคุณนายโอวหยาง” เธอทักทายอย่างห่างเหิน ก่อนจะเดินผ่านไป
“หยุดก่อน!” เหลียวเว่ยหันกลับไปยืนตรงหน้าอันโหรวทันที ก่อนจะมองเธอที่ถือเอกสารไว้ในมือ ภายในใจเธอนั้นยังไม่แน่ใจเท่าไรนักจึงเอ่ยถามไปว่า “เธอมาทำอะไรที่นี่?”
เหลียวเว่ยดูกังวลเรื่องโอวหยางลี่มากเกินไป เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักเขาดีพอ ยังไม่ฉลาดมากพอ แต่เมื่อผ่านมาหลายปีเธอก็กระจ่างแล้ว ผู้ชายอย่างโอวหยางลี่ไม่เคยเข้าตาเธอเลยสักนิดเดียว
อันโหรวยกเอกสารในมือขึ้นเล็กน้อย “ธุระเรื่องงานค่ะ”
ที่นี่เป็นห้องโถงใหญ่ของโอวหยางกรุ๊ป คนที่ผ่านไปผ่านมาก็ย่อมรู้จักเธอดี แต่เพราะข่าวเรื่องของอันโหรวในค่ำคืนนั้น ตอนนี้เธอจึงเป็นที่เลื่องชื่อในเมือง A มากกว่าเหลียวเว่ยเสียอีก คนที่เดินผ่านไปมาจึงลอบมองดูเธออย่างเงียบ ๆ
จู่ ๆ เหลียวเว่ยก็เข้ามาใกล้ที่แก้มเธอและทำท่าทางราวกับจะพูดกระซิบข้าง ๆ หูของเธอ ทำตัวเหมือนกับเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมานาน
แต่ในความเป็นจริง เหลียวเว่ยกลับพูดไปว่า “อันโหรว ทางที่ดีเธออย่าคิดมาอวดเก่ง และอย่าให้ฉันได้มีโอกาสฉีกหน้ากากของเธอทิ้งก็แล้วกัน”
หลังจากที่เธอพูดจบก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้า “ฉันจะไปส่งเลขาอันเอง”
อันโหรวเดินออกไปด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยโดยไม่ได้ตอบอะไรเธอกลับ
เหลียวเว่ยคิดว่าเธอคืออันโหรวจริง ๆ แม้จะแค่คาดเดาโดยไม่มีหลักฐาน แต่ท่าทางล้วนแล้วกลับมั่นใจเสียยิ่งกว่าโอวหยางลี่มากนัก
เหลียวเว่ยมาส่งเธอที่รถ จ้องมองเธอขึ้นรถไปแล้วจึงพูดขึ้นว่า “สวัสดิการของบริษัทจิ่งนี่มันดีจริง ๆ นะ รถของเลขาอันดูไฮโซเสียขนาดนี้”
เธอเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านในรถ สตาร์ทรถพร้อมพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “แต่ด้านประธานโอวหยางลี่ก็น่าจะดีไม่ใช่น้อย ตอบสนองความต้องการของพนักงานทุกด้าน โดยเฉพาะด้านสรีระ ฉันคิดว่าคุณน่าจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว ในฐานะผู้หญิงฉันนับถือความมีน้ำใจของคุณจริง ๆ หากเป็นสามีของฉัน ฉันจะตัดมือที่สามนั่นทิ้งซะ”
ทันทีที่พูดจบเธอก็หมุนพวงมาลัยและขับรถออกไปทันที ก่อนจะมองเห็นเหลียวเว่ยที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจากกระจกมองหลัง
ไม่นานเธอก็ขับกลับมาที่บริษัทจิ่ง ทันทีที่ถึงก็ได้รับโทรศัพท์จากซูรั่วหยาที่สั่งให้จิ่งเป่ยเฉินกลับไปกินข้าวเย็นคืนนี้ และบอกว่าพ่อของเขานั้นกลับมาจากต่างประเทศแล้ว
ความคิดของเธอผุดขึ้นมาในหัวทันทีหลังจากวางสาย เยี่ยมไปเลย!
ดังนั้นเธอจึงรีบเข้าไปที่ห้องทำงานของเขาอย่างรวดเร็ว รอจิ่งเป่ยเฉินและฉีเซิงเทียนกลับมา เธอก็แค่รายงานเรื่องกลุ่มเครือโอวหยางกรุ๊ปในวันนี้ และแน่นอนว่าเธอคงไม่รายงานเรื่องที่โอวหยางลี่ถามเรื่องลูกของเธอ
หลังจากที่รวบรวมพลังก็พูดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ว่า “ประธานจิ่ง คุณนายจิ่งโทรศัพท์มาบอกให้กลับไปรับประทานอาหารมื้อเย็นในคืนนี้ คุณพ่อของคุณกลับมาจากต่างประเทศแล้วค่ะ”
จิ่งเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาบนตัวเธอและไล่กลับขึ้นไปมองที่หน้าของเธออีกครั้ง “จัดการให้เรียบร้อย เลิกงานแล้วไปด้วยกัน”
“ไม่ค่ะ!” เธอรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ประธานจิ่ง คุณนายจิ่งบอกให้คุณกลับไปแค่คนเดียว!”