เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 133 เทพที่ท่องโลกมนุษย์
ตอนที่ 133 เทพที่ท่องโลกมนุษย์
หลังได้รับรู้จากปากของเหยาหยูสือ ว่าร่างทองของท่านเทพที่สำนักศึกษาตงหลันสักการะมานับพันปีจู่ ๆ ก็แตกสลาย
ผู้ที่ถูกขนานนามว่าเทพแห่งการศึกษาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
‘เป็นเพราะเหตุใดกัน ? ’
‘ร่างทองของท่านเทพที่สำนักศึกษาตงหลันของพวกเราสักการะ เป็นยอดฝีมือที่บรรลุจนได้เป็นเซียนบนสวรรค์ชั้นฟ้าตั้งแต่สมัยบรรพกาล’
‘บัดนี้การที่จู่ ๆ ร่างทองของท่านเทพองค์นี้แตกออก อาจหมายความว่าท่านเทพองค์นี้อาจดับสูญไปแล้วก็เป็นได้’
‘หรืออีกความเป็นไปได้หนึ่งก็คือ…’
จางเฉินมีสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นจึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวเดินลงจากแท่นไปทันที
‘เป็นไปมิได้ เรื่องนี้เป็นไปมิได้เด็ดขาด ! ’
จางเฉินเหลือบมองเหยาหยูสือ ก่อนจะส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ ก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปยังตำหนักเฉียนเซียนทันที
พวกเหยาหยูสือรีบลุกขึ้นยืนและตามไปติด ๆ
ตำหนักเฉียนเซียนอยู่บริเวณเชิงเขาด้านหลังของสำนักศึกษาตงหลัน มีสะพานไม้เลาะเลียบภูเขาที่สูงชันเส้นหนึ่งทอดยาวจากด้านล่างขึ้นไปจนถึงลานที่ตั้งของตำหนักเฉียนเซียน
ใช้เวลามิถึงครึ่งก้านธูป จางเฉินก็ปรากฏตัวขึ้นบริเวณตีนเขา
ทว่าเขากลับชะงักฝีเท้าลง ราวกับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง
‘มิจริง เหตุใดที่นี่ถึงมีไอพลังที่ต่างกันสองแบบแผ่ออกมาได้ ? ’
จางเฉินขมวดคิ้วแน่น พลางส่ายหน้าไปมา
“ท่านจาง มีอะไรหรือเปล่าขอรับ ? ”
เหยาหยูสือที่ตามมาทางด้านหลังของจางเฉิน เอ่ยถามด้วยความนอบน้อม
จางเฉินมิใส่ใจแม้แต่น้อย ก่อนจะก้าวเดินขึ้นไปหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เหยาหยูสือชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงก้าวตามต่อไปโดยมิกล้าพูดอะไรออกมาอีก
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป
จางเฉินก็ได้เดินนำคนกลุ่มหนึ่งมาจนถึงลานบริเวณเชิงเขา
“ท่านจาง ท่านจางมาแล้ว”
ทันใดนั้นกลุ่มที่กำลังถกเถียงกันอยู่ที่ตำหนักเฉียนเซียนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะรีบเดินเข้ามาหาจางเฉิน
จางเฉินหรี่ตาลง ท่าทางเต็มไปด้วยความเย็นชา แล้วรีบเดินไปทางตำหนักเฉียนเซียนโดยมิใส่ใจผู้ใด
เพียงมินาน ขณะที่เขาปรากฏตัวตรงด้านหน้าตำหนักเฉียนเซียน ร่างทั้งร่างก็นิ่งค้างราวกับหิน
ภายในตำหนักเฉียนเซียนแห่งนี้ มิได้สักการะเพียงร่างทองของท่านเทพที่ขึ้นสวรรค์ไปตั้งแต่สมัยบรรพกาลท่านนั้น แต่ยังมีอดีตนักปราชญ์ที่มีความแตกฉานด้านการศึกษาของสำนักศึกษาตงหลันอีกด้วย
แม้คนทั่วไปจะขนานนามจางเฉินว่าเป็นเทพแห่งการศึกษา แต่ในสายตาของเขา เกรงว่าชาตินี้คงไร้วาสนาที่จะได้เข้ามาอยู่ในตำหนักเฉียนเซียนเป็นแน่
แต่บัดนี้ มิเพียงแต่ร่างทองของท่านเทพในตำหนักเฉียนเซียนที่สักการะมานับพันปีจะแตกสลาย แต่ร่างทองของนักปราชญ์อีกหกท่านเองก็มีรอยร้าวเช่นเดียวกัน
จางเฉินที่ได้เห็นภาพตรงหน้า ก็รู้สึกวิงเวียนราวกับจะเป็นลม
ดูก็รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้สร้างความสะเทือนใจให้กับเขาเพียงใด
“ร่างทองของนักปราชญ์อีกหกท่านมีรอยร้าวเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ? ”
เหยาหยูสือมองเข้าไปด้านในตำหนักเฉียนเซียน ก่อนจะกระซิบถามผู้ดูแลคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ได้รออยู่ที่ตำหนักเฉียนเซียนแล้ว
“ตอนที่เจ้าเพิ่งจะออกไป ร่างทองของนักปราชญ์อีกหกท่านก็เริ่มมีรอยร้าวเกิดขึ้นแล้ว”
ผู้ดูแลที่มีคิ้วเข้มตาโตคนนั้น เหลือบมองจางเฉินอย่างหวาดหวั่น ก่อนจะตอบกลับเบา ๆ
เหยาหยูสือผงะไปเล็กน้อย แล้วพยักหน้ารับรู้
ผ่านไปราวครึ่งก้านธูป ในที่สุดจางเฉินก็เอ่ยปากออกมา
“บัดนี้ดูเหมือนว่าท่านเทพองค์นั้นหาได้ดับสูญไม่ แต่เป็นเพราะมีเทพที่ท่องโลกมนุษย์องค์หนึ่งกำลังจะมาเยือน จึงทำให้ร่างทองทั้งหมดในตำหนักเฉียนเซียนถึงเป็นเช่นนี้”
จางเฉินถอนหายใจยาวออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้น
‘เทพที่ท่องโลกมนุษย์ ? ’
‘มาเยือนงั้นหรือ ? ’
‘ยุคนี้ยังมีเทพที่มีชีวิตอยู่อีกงั้นหรือ ? ’
‘นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ! ’
‘เหตุใดเทพเช่นนี้ถึงมิเคยมีใครได้ยินมาก่อนเล่า ? ’
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและงงงวย
พวกเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลอบส่งสายตาให้กัน แล้วหันไปมองทางจางเฉิน
ตอนนั้นเองเหยาหยูสือก็เป็นคนแรกที่โค้งคำนับ และเอ่ยถามจางเฉินอย่างนอบน้อม “ท่านจาง ผู้น้อยมิเข้าใจขอรับ”
“ผู้น้อยเองก็มิเข้าใจขอรับ”
คนที่เหลือหลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ก็ได้โค้งคำนับให้แก่จางเฉิน ก่อนจะประสานเสียงกันและเอ่ยออกมา
จางเฉินครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยขึ้นพลางลูบหนวดไปด้วย “เหตุผลนี้ง่ายมาก”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้างุนงง และยังคงโค้งคำนับให้แก่จางเฉิน
‘เหตุผลง่ายมาก แล้วมันคือเหตุผลอะไร เหตุใดถึงมิอธิบายเรื่องนี้ให้ง่าย ๆ กันเล่า ? ’
จางเฉินปรายตามองทุกคน พร้อมเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่ฮ่องเต้สร้างอารามฉางชิงที่ภูเขาตะวันออก ข้าก็คิดเอาไว้แล้วว่าเขาคงอยากอาศัยโอกาสนี้ เพื่อกดสำนักศึกษาตงหลันของพวกเรา”
“ท่านจาง หรือว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเยี่ยนจะมิเข้าใจเหตุผลที่ว่า คำพูดที่จริงใจแม้ฟังขัดหู แต่มีประโยชน์ต่อการกระทำเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
มินานก็มีคนเงยหน้าและเอ่ยถามขึ้น
จางเฉินชะงักไปเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มฝืดเฝื่อน ก่อนจะค่อย ๆ กล่าวว่า “ทุกคนล้วนเข้าใจเหตุผลนี้ แต่ก็รู้ดีว่าเรื่องนี้เข้าใจง่ายแต่ทำยาก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนต่างก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“ความจริงเรื่องนี้คงต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ข้าประมาทเกินไป”
จางเฉินเอ่ยต่อ “เดิมทีข้ามิได้เห็นด้วยกับอารามฉางชิงแห่งนี้ จนเมื่อมีนิมิตเกิดขึ้นปกคลุมท้องฟ้าทั่วทั้งเมืองหลวง และยังประทานโชคดีมากมายให้แก่แคว้นต้าเยี่ยน ข้าจึงคิดได้ว่ายอดฝีมือที่ประดิษฐานอยู่ในอารามฉางชิงนั้นมิธรรมดา”
“ตามบันทึกโบราณกล่าวไว้ว่าร่างทองของเทพองค์ที่พวกเราสักการะ ตอนที่เข้ามาสู่ตำหนักเฉียนเซียนก็เกิดนิมิตขึ้นบนท้องฟ้า มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่านิมิตที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เท่าใดนัก เช่นนั้นจึงมิอาจหลีกเลี่ยงการขัดแย้งเรื่องโชคชะตาได้”
จางเฉินสูดหายใจด้วยความตื่นเต้น “ก่อนหน้านี้อารามฉางชิงก็ได้ปรากฏนิมิตขึ้นอีกครั้ง จากนั้นร่างทองของเทพองค์นี้ในตำหนักเฉียนเซียนก็แตกออก ร่างทองของนักปราชญ์อีกหกท่านก็เริ่มมีรอยร้าวเกิดขึ้น เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เดียวที่จะสามารถอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้”
“นั่นก็คือเทพฉางชิงที่อยู่ในอารามฉางชิงนั้นมิได้ขึ้นสรวงสวรรค์ ทั้งยังปรากฏตัวอยู่ในเมืองหลวง หรือมิไกลจากเมืองหลวงเท่าใดนัก จึงทำให้เกิดการขัดแย้งเรื่องโชคชะตาเช่นนี้ขึ้น”
จางเฉินเอ่ยเพียงเท่านั้นพร้อมด้วยสีหน้าสับสนวุ่นวายใจ
เขารู้ดีว่าการขัดแย้งเรื่องโชคชะตาครั้งนี้ บางทีสำหรับคนอื่นหรือสำนักอื่นอาจมิได้มีผลกระทบใด ๆ
แต่สำหรับสำนักศึกษาตงหลันของพวกเขา มีแนวโน้มที่จะเกิดหายนะขึ้นก็เป็นได้
ตอนนั้นเองก็ได้มีคนผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านจาง ตอนนี้ควรทำเช่นไรดีขอรับ ? ”
จางเฉินมองชายวัยกลางคนผู้นั้นแล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองตำหนักเฉียนเซียน
“ตอนนี้ดูเหมือนว่ามีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือเราต้องสร้างร่างทองของเทพฉางชิงท่านนั้นขึ้นมา เพื่อให้ทั้งสองร่างเกิดการสะท้อนพลังกัน สำนักศึกษาตงหลันตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก มิแน่อาจได้ประโยชน์อย่างมิมีที่สิ้นสุดก็เป็นได้”
จางเฉินทอดถอนใจออกมา
ร่างทองของเทพองค์ก่อนหน้านี้ รวมทั้งร่างทองของปราชญ์แห่งสำนักศึกษาตงหลัน เปรียบเสมือนเป็นที่ยึดเหนี่ยวของเขามาโดยตลอด
แต่บัดนี้ เมื่อมีร่างทองของเทพลึกลับองค์นั้นในตำหนักเฉียนเซียน นั่นจึงหมายความว่าเป็นการล้มล้างสิ่งที่เขายึดเหนี่ยวมาโดยตลอด
ขณะเดียวกันความคิดและจิตวิญญาณของสำนักศึกษาตงหลันก็จะถูกโค่นล้มด้วยเช่นกัน
เหยาหยูสือจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านจาง เกรงว่าคงมิเหมาะนะขอรับ ? ”
จางเฉินพยักหน้ายอมรับ แล้วทอดถอนใจออกมา “ข้าเองก็หมดหนทางเช่นกัน”
“เปรี้ยง ! ”
สิ้นเสียงจางเฉิน ทันใดนั้นไอพลังลึกลับที่แฝงการทำลายล้างก็พัดเข้าใส่สำนักศึกษาตงหลัน