เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 199 เริ่มบำเพ็ญเพียร
ตอนที่ 199 เริ่มบำเพ็ญเพียร
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม
ซือถูเจิ้นผิงและสวีฉิงเทียนก็เดินตามกันออกมาจากภายในตำหนักโบราณ ท่ามกลางสายตาของคนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง
ก่อนจะก้าวลงบันไดมาทีละขั้นจนถึงจตุรัสด้านหน้า
สวีฉิงเทียนกวาดตามองทุกคนด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ทุกท่าน ข้าได้ตอบรับคำขอของผู้อาวุโสซือถู ให้เขานั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ใต้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้อาวุโสเย่มอบให้สักระยะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงเหล่าผู้อาวุโสแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงต่างก็หันไปสบตากัน ก่อนจะเอ่ยแย้งขึ้นมาจนเสียงดังระงม
“ท่านเจ้าสำนัก ข้าว่าเรื่องนี้ท่านควรไตร่ตรองใหม่จะดีกว่านะขอรับ”
“ใช่แล้ว ! สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้อาวุโสเย่มอบให้เรานั้นถือเป็นรากฐานที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเราจะเจริญต่อไปในภายภาคหน้านะขอรับ”
“ท่านเจ้าสำนัก มิได้นะขอรับ เรื่องนี้หากผู้อาวุโสเย่ทราบเข้าล่ะก็ จะต้องมิพอใจดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเราเป็นแน่ ! ”
“ท่านเจ้าสำนัก มิได้เด็ดขาดนะขอรับ ! ”
สวีฉิงเทียนเอ่ยขึ้นอย่างแน่วแน่ท่ามกลางเสียงโต้แย้งมากมาย พลางโบกมือไปมา “จักรพรรดิมารตนนั้นตื่นขึ้นมาแล้ว อีกมินานเผ่ามารจะต้องบุกเข้าจงหยวนของเราเป็นแน่”
“ความแตกฉานในวิถีกระบี่ของผู้อาวุโสซือถูลึกล้ำราวกับมหาสมุทร ยิ่งกว่านั้นสำนักบำเพ็ญเพียรทั่วทั้งจงหยวนก็เปรียบดั่งพี่น้องจึงมิควรมีอคติต่อกัน ส่วนผู้อาวุโสเย่นั้น หากท่านจะตำหนิจริง ข้าจะไปขอรับการลงโทษด้วยตัวเอง”
หลังสิ้นเสียงทั่วทั้งจัตุรัสก็เงียบลงในทันที
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมาอย่างห้ามมิได้
ตอนนั้นเองซือถูเจิ้นผิงจึงหันไปคาราวะให้แก่สวีฉิงเทียนด้วยใบหน้าแฝงความยินดี “ท่านเจ้าสำนักช่างมีคุณธรรมยิ่งนัก”
สวีฉิงเทียนพยักหน้าพร้อมเอ่ยเชิญ “ผู้อาวุโสซือถู เชิญตามข้ามาขอรับ”
เวลาผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป
สวีฉิงเทียนก็เดินนำซือถูเจิ้นผิงผ่านค่ายกลมายังข้างใต้ของภาพอักษรพู่กันที่ลอยอยู่กลางอากาศ
วินาทีต่อมาซือถูเจิ้นผิงก็ถูกพลังกระบี่อันรุนแรงและบริสุทธิ์ปกคลุมเอาไว้
อีกทั้งยังสามารถสัมผัสได้ถึงเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่มากมาย ซึ่งแฝงอยู่ในภาพอักษรพู่กันได้อย่างง่ายดาย
ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองข้างของซือถูเจิ้นผิงก็เปล่งประกายขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
“น่าเหลือเชื่อ ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่อย่างที่สุดจริง ๆ ! ”
ซือถูเจิ้นผิงกวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเปรยขึ้นมาอย่างอดมิได้
“ผู้อาวุโสซือถู เชิญท่านบำเพ็ญเพียรที่นี่ได้ตามสบาย ผู้น้อยขอตัวก่อนนะขอรับ”
สวีฉิงเทียนประสานมือคาราวะให้แก่ซือถูเจิ้นผิง ก่อนจะถอยออกไปอย่างระวัง
หลังจากสวีฉิงเทียนจากไปแล้ว
ซือถูเจิ้นผิงก็รีบนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นโดยมิลังเล และเริ่มการบำเพ็ญเพียรเคล็ดกระบี่อันดุดันในทันที
“เปรี้ยง ! ”
มิกี่อึดใจต่อมาตรงหน้าของซือถูเจิ้นผิง ก็ปรากฏกระบี่แสงเรียวยาวเล่มหนึ่งที่กลั่นออกมาจากพลังของเขาขึ้น
จากนั้นก็มีจิตกระบี่มหาศาลพุ่งออกมาจากร่างของซือถูเจิ้นผิง ก่อนปกคลุมไปทั่วทั้งจัตุรัสภายในชั่วพริบตา
หากมิใช่เพราะซือถูเจิ้นผิงตั้งใจให้เป็นเช่นนี้แล้วล่ะก็ เกรงว่าด้วยจิตกระบี่เล่มนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงใจสลาย ดวงวิญญาณแตกดับได้แล้ว
และแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ผู้ที่ได้บำเพ็ญเพียรภายในเขตแดนที่มีจิตกระบี่ปกคลุม ก็มิต่างอะไรกับการได้รับวาสนาอันใหญ่หลวง
สวีฉิงเทียนเห็นเช่นนั้นก็กวาดตามองเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกายด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของข้าแล้วหรือยัง ? ”
ผู้อาวุโสกว่าสิบคนสบตากันเล็กน้อย ใบหน้าเผยสีหน้าละอายใจออกมาอย่างปิดมิมิด
สวีฉิงเทียนแค่นเสียงออกมาเบา ๆ “มิเพียงเท่านี้ ผู้อาวุโสซือถูยังรับปากว่า มิว่าเขาจะบรรลุที่นี่หรือไม่ ก่อนจากไปจะมอบเคล็ดกระบี่ชั้นสูงเล่มหนึ่งให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของเราอีกด้วย”
“ท่านเจ้าสำนักช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก”
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะโค้งคำนับให้สวีฉิงเทียนอย่างนอบน้อม
สวีฉิงเทียนโบกมือไปมาอย่างมิใส่ใจ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ออกมา “ช่างเถิด พวกเราอย่าได้มามุงกันอยู่ตรงนี้เลย ให้ศิษย์ทั้งหลายรีบไปบำเพ็ญเพียรกันได้แล้ว”
“ขอรับ ! ”
หลังจากที่เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงจากไป
มินาน ศิษย์นับร้อยของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงก็ได้เข้ามายังจัตุรัสด้วยความรีบร้อน
พวกเขาทยอยนั่งลงกับพื้น และเริ่มการบำเพ็ญเพียรโดยมีไอพลังกระบี่และเจตจำนงกระบี่มหาศาลปกคลุม
เวลานี้สวีฉิงเทียนทอดสายตามองออกไป ‘มิรู้ว่าชิงเสวี่ยและผู้อาวุโสเย่ที่อยู่เมืองหลวงเป็นเช่นไรกันบ้าง ? ’
……………………………
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากทำการสอนที่สำนักศึกษาตงหลันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เย่ฉางชิงก็ได้กลับมาที่เรือนจิ่งหลันหยวน และมิได้ออกไปที่ใดอีก
อีกทั้งเขายังกำชับพวกเยี่ยนปิงซินด้วยว่า หากมิมีเรื่องสำคัญช่วงนี้อย่าได้มารบกวนเขาเป็นอันขาด
เนื่องจากตอนนี้เขายังเล่นละครเป็นตัวแทนของท่านเทพฉางชิงอยู่
สุดท้ายหลังจากที่เอ่ยออกไปเช่นนั้น ก็มิมีผู้ใดกล้ามารบกวนเขาที่เรือนติดต่อกันเป็นเวลาสิบกว่าวันแล้ว
และในช่วงที่ผ่านมานั้น เย่ฉางชิงเองก็ได้ทดลองวิธีบำเพ็ญเพียร พร้อมกับเจดีย์หวงเซวียนหลิงหลงที่ท่านเทพฉางชิงท่านนั้นมอบให้มิได้หยุด
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาเอือมระอาก็คือ แม้ตนจะมีรากวิญญาณแล้ว ทว่าก็ยังคงมิได้มีความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเพียรเลยแม้แต่น้อย
แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขาดีใจอย่างมากก็คือ
เจดีย์หวงเสวียนหลิงหลงนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของจริง
เจดีย์นี้ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก มันสามารถขยายและหดได้ตามที่เขาปรารถนา ทั้งยังสามารถห่อหุ้มเขาเอาไว้ กลายเป็นสมบัติคุ้มกายได้ด้วย
วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าสดใสยิ่งนัก
เย่ฉางชิงหลับตาแน่น ขณะนั่งอยู่กลางเรือนด้านข้างเพียงลำพัง มือทั้งสองข้างวางราบบนเข่า ราวกับกำลังบำเพ็ญเพียรอะไรบางอย่างอยู่
ส่วนเจดีย์หวงเซวียนหลิงหลงที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็ลอยอยู่อย่างนั้น รอบกายเปล่งแสงระยิบระยับออกมา มีหมอกลอยวนช่างพิศดารยิ่งนัก
จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม
เย่ฉางชิงก็เผยสีหน้าผิดหวังออกมา พร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้นพลางขมวดคิ้วแน่น “เวลานี้ข้ามีรากวิญญาณแล้ว เหตุใดจึงยังมิอาจบำเพ็ญเพียรได้อีก ? ”
“หรือว่าเคล็ดวิชาที่บำเพ็ญเพียรแล้วไร้พ่ายเล่มนั้นจะมีปัญหา ? หากข้าเดามิผิดล่ะก็ คงจะเป็นปัญหาที่เคล็ดวิชา มิเช่นนั้นคงมิเป็นเช่นนี้แน่”
เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นก็เม้มริมปากแน่นอย่างจนปัญญา
เนื่องด้วยฐานะของเขาในตอนนี้ค่อนข้างจะสูงส่ง อีกทั้งบนตัวยังมีเงินเหลืออยู่น้อยนิด
เช่นนั้นเขาจึงทำได้เพียงฝึกบำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชาโบราณ ที่ถานไถชิงเสวี่ยมอบให้ก่อนหน้านี้เท่านั้น
เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดแล้วล่ะก็คงจะมีสาเหตุมาจากเคล็ดวิชาเป็นแน่ จึงทำให้เขามิสามารถบำเพ็ญเพียรได้เสียที
เช่นนั้นปัญหาก็คือเขาควรใช้วิธีการใด เพื่อจะได้เคล็ดวิชาในการบำเพ็ญเพียรมาเล่า ?
คิดถึงตรงนี้แล้วเย่ฉางชิงก็อดมิได้ที่จะยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว ด้วยความรู้สึกปวดหัว
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เพ่งสมาธิหวังจะได้พบความหวังบางอย่างจากภายในแหวนเก็บสมบัติ
ครู่หนึ่งเขาก็หยิบหินหุนหยวนสีดำขลับขนาดเท่ากำปั้นเด็ก 4 ก้อนออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
ก่อนหน้านี้ท่านเหอเคยมอบหินนี้ให้เขามา
และเขาก็ได้ใช้หินชนิดนี้ลองฝึกบำเพ็ญเพียรมาแล้ว
ตอนนั้นหินชนิดนี้เคยแผ่ไอพลังอบอุ่นบางอย่างออกมา ทำให้ทั่วทั้งร่างของเขารู้สึกสบายอย่างที่สุด
‘ใช่แล้ว ! ’
‘หินสีดำนี้เป็นศิลาวิญญาณในตำนานมิใช่หรือ ? ’
‘มีความเป็นไปได้ ! ’
‘ลองดูอีกทีดีกว่า’
เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้น ก็หยิบหินหุนหยวนตรงหน้าขึ้นมาส่ง ๆ หนึ่งก้อน
เขาใช้นิ้วอันเรียวยาวไล้วนบนผิวของหินหุนหยวน
หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงก็ใช้มือทั้งสองข้างถือหินหุนหยวนก้อนหนึ่งเอาไว้ ก่อนท่องเคล็ดวิชาโบราณเล่มนั้นใหม่ และลองฝึกบำเพ็ญเพียรอีกครา