เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 258 ความสงสัยของเย่ฉางชิง
ตอนที่ 258 ความสงสัยของเย่ฉางชิง
ทันใดนั้นเสียงของเย่ฉางชิงก็ดังขึ้น
บนลานอันกว้างขวาง
คนของทั้งลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธ ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เพราะสำหรับคนของลัทธิเต๋าแล้ว
คำกล่าวของเย่ฉางชิงเมื่อครู่ เปรียบเสมือนกับจิตแท้ของหลักการเต๋าที่ไร้ที่สิ้นสุด ใช้คำพูดที่เรียบง่ายทว่ากลับอธิบายความหมายที่แท้จริงของโลกได้โดยง่าย
แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าสำหรับพวกเขานั้น ทั้งหมดนี้หมายความเช่นไร !
โอกาส !
มันคือโอกาสในการบรรลุ !
ขณะเดียวกันเสวียนเต๋อรวมทั้งพระสงฆ์อีก 300 รูปเองก็อดมิได้ที่จะตื่นตระหนก สายตาจ้องเขม็งไปยังเย่ฉางชิง
การประชันการเทศน์ในจงหยวนครั้งนี้ พวกเขาสามารถเอาชนะมาได้โดยตลอด
ทว่าสิ่งที่พวกเขาคาดมิถึงก็คือ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนที่กล่าวกันว่าด้อยสุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งห้า กลับมีคนเก่งกาจเพียงนี้อยู่
มิหนำซ้ำพวกเขายังมิสามารถสัมผัสได้ถึงการใช้พลังปราณใด ๆ ของอีกฝ่ายด้วย
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตบะบารมีของอีกฝ่ายนั้น ลึกล้ำจนยากที่จะหยั่งถึง
เยี่ยงไรเสียที่นี่ก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน มิมีทางที่จะเป็นคนธรรมดาอย่างแน่นอน ?
นอกจากนี้ !
คนผู้นี้ยังต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรลัทธิเต๋าคนอื่น ๆ ที่มักจะมองศาสนาพุทธของเขาด้วยความเป็นศัตรู
ตรงกันข้ามคนผู้นี้กลับมีท่าทีที่สงบนิ่ง มิมีความเป็นอริเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งยังมีลักษณะท่าทางสุภาพและเป็นกันเองแผ่ออกมาจากภายใน ให้ความรู้สึกราวกับสายลมยามฤดูใบไม้ผลิก็มิปาน
เช่นนี้ก็พอจะอธิบายถึงความสูงส่งของระดับ และตบะบารมีอันแก่กล้าของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่าเวลานี้คนที่ตื่นตระหนกมากที่สุดในที่นี้ย่อมหนีมิพ้น หลวงจีนเสวียนเต๋อ
แม้เขาจะดูหนุ่มแน่นและหล่อเหลาอย่างมาก ทว่าความแตกฉานในพุทธศาสนารวมถึงตบะบารมีนั้น เกรงว่าทั้งซีม่อก็ถือว่ามิเป็นสองรองใคร
เช่นนั้นเมื่อเขาเห็นเจดีย์หวงเซวียนหลิงหลง ที่ลอยวนอยู่รอบ ๆ กายและดอกบัวใต้ฝ่าเท้าของคนที่เพิ่งปรากฎตัวขึ้นแล้ว
ทันใดนั้นในสมองของเขาพลันว่างเปล่า ได้ยินเพียงเสียงวิ๊งในสมองเท่านั้น
‘มิผิดแน่ ! ’
‘มิผิดอย่างแน่นอน ! ’
‘สมบัติสองชิ้นนี้คงจะเป็นสมบัติพิสุทธิ์ในตำนานโบราณ ถือเป็นสมบัติวาสนาที่แท้จริง’
‘ส่วนข้าซึมซับในพุทธศาสนามาหลายปี’
‘เคยเดินทางเผยแผ่พระธรรมไปทั่วทั้งซีม่อมาหลายครา มิหนำซ้ำบัดนี้ยังได้เข้าใจในพุทธศาสนามหายานอีกด้วย’
‘แม้สิ่งที่ทำมาทั้งหมดล้วนแต่เป็นคุณงามความดี ทว่าจนถึงบัดนี้ฟ้าก็ยังมิประทานสมบัติพิสุทธิ์ใด ๆ ลงมาให้แม้แต่ชิ้นเดียว’
‘แต่อีกฝ่ายกลับมีสมบัติพิสุทธิ์ถึง 2 ชิ้น’
‘ดูก็รู้ว่าคนผู้นี้น่าอัศจรรย์มากเพียงใด ! ’
คิดถึงตรงนี้เสวียนเต๋อก็ได้พนมมือทั้งสองข้างขึ้น ปากก็ท่องคำภาวนาออกมา เพื่อลบล้างความรู้สึกละอายใจของตน
ในตอนนั้นเองเสวียนเต๋อก็ได้หันกลับมา ก่อนจะลอบมองต้วนฉางเต๋อที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
‘ต่อให้พระธรรมของเจ้าจะลึกล้ำ แต่พลังปราณของข้านั้นหาที่เปรียบมิได้ ! ’
‘มิน่าเล่าเจ้าสำนักท่านนั้นถึงเอ่ยเช่นนี้ ระดับของคนผู้นี้นับแต่อดีตมาถือเป็นอันดับหนึ่งของลัทธิเต๋า คำกล่าวเช่นนี้คงมีเพียงยอดฝีมือของลัทธิเต๋าเท่านั้นที่กล้าพูดออกมาได้’
‘แต่บุคคลเช่นนี้มิควรมีอยู่ในยุคสมัยนี้แล้วสิ และยิ่งมิควรเป็นคนของลัทธิเต๋าด้วย’
‘อมิตาพุทธ’
เสวียนเต๋อได้แต่ลอบทอดถอนใจ พลางส่ายหน้าออกมาอย่างอดมิได้
ต่อจากนั้นเสวียนเต๋อก็ได้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเย่ฉางชิงที่อยู่ด้านบน
ขณะเดียวกันเย่ฉางชิงที่ยืนอยู่บนปทุมสูติ แม้จะมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา แต่ก็ยังคงเพ่งความสนใจไปยังกลุ่มคนของศาสนาพุทธ
ก่อนหน้านี้ตอนที่นักพรตฉางเสวียนมาที่หอเก็บตำรา ได้เล่าที่มาของเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟังคร่าว ๆ แล้ว
เช่นนั้นจึงจินตนาการได้มิยากว่าหลวงจีนนามว่าเสวียนเต๋อผู้นี้ คงจะเป็นคนมีของอยู่บ้างมิมากก็น้อย
อีกทั้งการเทศน์ของศาสนาพุทธก่อนหน้านี้ เรียกว่าไร้พ่ายก็ว่าได้
ในตอนนี้คนของศาสนาพุทธเหล่านี้คงจะมีความมั่นใจอย่างมาก
หากก่อนการเทศน์สามารถลดความมั่นใจของอีกฝ่ายไปได้บ้าง ย่อมจะได้ผลลัพธ์ที่คาดมิถึงอย่างแน่นอน
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดก่อนการเทศน์ เย่ฉางชิงจึงนำคำสอนที่อยู่ในบทที่หนึ่งของคัมภีร์ลัทธิเต๋าออกมาพูด
แน่นอนว่าเพราะในโลกนั้น คัมภีร์ลัทธิเต๋าเล่มนี้ถูกสร้างจากบุคคลที่เป็นผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋า
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ
เย่ฉางชิงมองว่าแม้เขาจะมิรู้ว่าลัทธิเต๋าของโลกนี้กับโลกนั้น โดยแก่นแท้แล้วแตกต่างกันเช่นไรบ้าง
แต่คัมภีร์ลัทธิเต๋าก็ได้อธิบายแก่นแท้ของสรรพสิ่งบนโลกไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เช่นนั้นแก่นแท้ของสรรพสิ่งในการบำเพ็ญเพียรนี้ ย่อมสามารถนำมาใช้ได้เหมือน ๆ กัน
อีกทั้งการที่ลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธมาเผชิญหน้ากันในครั้งนี้ เป็นเพียงการประชันการเทศน์เท่านั้น มิใช่การทะเลาะแต่อย่างใดไม่
คิดได้เช่นนั้นแล้วใบหน้าของเย่ฉางชิงก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา
ขณะเดียวกันหลังจากเย่ฉางชิงกล่าวคำสอนในบทที่หนึ่งของคัมภีร์ลัทธิเต๋าจบ ก็พบว่าเสวียนเต๋อรวมทั้งพระสงฆ์ 300 รูป ต่างหน้าถอดสีไปตาม ๆ กัน
ทันใดนั้นมุมปากของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม
‘ได้ผล ! ’
‘เยี่ยม ! ’
‘เยี่ยมมาก ! ’
‘เยี่ยมสุด ๆ ! ’
หลังจากขี่ปทุมสูติมาตลอดทาง ในที่สุดเย่ฉางชิงก็ได้ลงจากปทุมสูติมาตรงหน้าของคนลัทธิเต๋า
“ผู้น้อยคารวะผู้อาวุโสเย่ ! ”
“ผู้น้อยคารวะท่านบรรพจารย์เย่ ! ”
หลังจากเย่ฉางชิงลงมาแล้ว
มิว่าจะเป็นเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งห้า หรือว่าเหล่าผู้อาวุโสรวมทั้งศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ต่างก็คุกเข่าลงคำนับด้วยความเคารพ
เย่ฉางชิงหันไปกวาดตามอง ก่อนจะเอ่ยเรียบ ๆ เพียงว่า “ทุกท่าน ลุกขึ้นเถอะ”
“ผู้น้อยเสวียนเต๋อขอคารวะ’’
เสวียนเต๋อยืนประจันหน้ากับเย่ฉางชิง ก่อนจะพนมมือขึ้นพลางพยักหน้าน้อย ๆ
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็เบนสายตากลับมา แล้วจึงได้พิจารณาหลวงจีนหนุ่มตรงหน้าในระยะประชิด
แต่ในวินาทีต่อมา เย่ฉางชิงก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ แววตาพลันเกิดประกายที่แฝงบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ขึ้นทันใด
‘มิใช่สิ ! ’
‘คนผู้นี้อายุยังน้อยแต่กลับได้เป็นตัวแทนของศาสนาพุทธมาประชันการเทศน์แล้ว’
‘อีกทั้งมิว่าจะเป็นลักษณะท่าทางหรือว่าหน้าตา แม้จะด้อยกว่าข้าอยู่สักหน่อย แต่หากมองดูก็รู้ได้ทันทีว่าหาใช่คนธรรมดาไม่’
‘ที่สำคัญที่สุดก็คือ’
‘ก่อนหน้านี้นอกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแล้ว ที่เหลืออีกสามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ล้วนแต่พ่ายแพ้การเทศน์ให้แก่คนผู้นี้ทั้งสิ้น’
‘หรือว่าอีกฝ่ายก็บังเอิญหลุดเข้ามาในโลกเซียนแห่งนี้เหมือนกัน ? ’
‘หรือว่าจะเหมือนกับข้า มีเพียงความรู้เรื่องหลักการ ส่วนพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรกลับมิเอาไหน จึงได้เข้าสู่ศาสนาพุทธ ? ’
‘อืม ! ’
‘คงจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ! ’
หลังจากเงียบอยู่สักพัก เย่ฉางชิงก็หันไปส่งสายตาให้แก่เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งห้าเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยกับเสวียนเต๋อที่มีลักษณะท่าทางที่โดดเด่นว่า
“พวกเรามาเริ่มกันเถอะ”
เสวียนเต๋อพนมมืออีกครั้ง แล้วจึงค้อมหัวลงให้กับเย่ฉางชิงน้อย ๆ
จากนั้นเสวียนเต๋อก็ได้ยกมุมหนึ่งของจีวรขึ้น ก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น
ขณะเดียวกันพระสงฆ์อีก 300 รูปที่อยู่ทางด้านหลังของเสวียนเต๋อต่างก็พนมมือขึ้น ก่อนที่จะนั่งลงอย่างเรียบร้อย
เมื่อเห็นภาพที่อลังการตรงหน้า
เย่ฉางชิงก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างยกชายชุดขึ้นเล็กน้อย เพื่อเตรียมนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น
“โยม เชิญ”
เสวียนเต๋อมองเย่ฉางชิงด้วยแววตาสงบนิ่ง พลางยื่นมือออกไปเพื่อเอ่ยเชื้อเชิญ
ตามธรรมเนียมคนของศาสนาพุทธ เมื่อพวกเขาเริ่มประชันการเทศน์ ที่ผ่านมาคนของลัทธิเต๋าจะเป็นผู้ที่เริ่มถามคำถามก่อน
อีกทั้งการประชันนี้ล้วนเป็นการถามมาตอบไป แต่ละฝ่ายจะผลัดกันถามตอบครั้งละห้าคำถามสลับกันไปมา
เย่ฉางชิงจึงพยักหน้ารับ และชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ว่า
“ในเมื่อท่านมาเพื่อประชันการเทศน์ระหว่างลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธ เช่นนั้นข้าอยากจะถามว่า พระพุทธเจ้าคืออะไร ? ”
หลังสิ้นเสียงลานอันกว้างใหญ่พลันเงียบสงัดลงทันใด ถึงขนาดได้ยินเสียงเข็มที่ตกกระทบพื้น
เมื่อเย่ฉางชิงถามออกไป มิเพียงคนของลัทธิเต๋าเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่เสวียนเต๋อรวมทั้งพระสงฆ์ 300 รูปเองก็มีท่าทางชะงักงันไปเช่นกัน
‘พระพุทธเจ้าคืออะไร ? ’
‘ศาสนาพุทธนับถือพระพุทธเจ้า ทว่าแท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าคืออะไรกันแน่ ? ’
‘คำถามนี้ช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ! ’
‘สมแล้วที่เป็นผู้อาวุโสเย่ เพียงแค่คำถามแรกก็เฉียบขาดถึงเพียงนี้แล้ว ! ’
‘นี่คือความเก่งกาจของผู้อาวุโสเย่ ! ’
วินาทีต่อมา คนของลัทธิเต๋ามิว่าจะเป็นเจ้าสำนักของห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ หรือว่าผู้อาวุโสรวมถึงศิษย์ทั้งหลายของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ต่างก็มีท่าทางกระปรี้กระเปร่าและปลื้มใจยิ่งนัก
เพียงแต่เวลานี้ผู้อาวุโสเย่ได้มาอยู่ตรงหน้า และเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันถึงอนาคตของลัทธิเต๋า
เช่นนั้นคนของลัทธิเต๋าจึงมิได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมา
จนเวลาผ่านไปหลายอึดใจ
เสวียนเต๋อค่อย ๆ เอ่ยขึ้นว่า
“ผู้ที่หลุดพ้นคือพระพุทธเจ้า ! ”
เย่ฉางชิงพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า
“ศาสนาพุทธใส่ใจการหลุดพ้น ผู้ที่หลุดพ้นคือพระพุทธเจ้า”
สิ้นเสียงวินาทีนี้มิว่าจะเป็นคนของลัทธิเต๋า หรือว่าคนของศาสนาพุทธเอง ล้วนแต่นิ่งอึ้งไปในทันที