เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 267 หินหุนหยวนหนึ่งล้านก้อน
ตอนที่ 267 หินหุนหยวนหนึ่งล้านก้อน
ซีเหมินเหลยหู่ชะงักฝีเท้าลงทันที
ขณะเดียวกันก็กวาดตามองไปรอบ ๆ มิหยุด
หลังจากเข้ามาในเมืองเสี่ยวฉือ
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงไอพลังเต๋าที่มิธรรมดา และแผ่ไปทั่วทั้งเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้
ไอพลังเต๋าที่แผ่ไปทั่วแม้จะซับซ้อนเหลือคณา ทว่าไอพลังเต๋าแต่ละชนิดกลับบริสุทธิ์อย่างหาที่เปรียบมิได้
จึงทำให้เมื่อมาอยู่รวมกันแล้วไอพลังเต๋ามากมายแม้จะดูซับซ้อน ทว่ากลับมิได้ถูกไอพลังเต๋าต่างชนิดดูดกลืนกันแต่อย่างใด
ถือว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งนัก
เพราะนับตั้งแต่ซีเหมินเหลยหู่บำเพ็ญเพียรมาจนถึงบัดนี้ เป็นระยะเวลายาวนานนับหมื่นปี
แต่ที่ผ่านมาเขาได้ออกสำรวจแดนลับที่หลงเหลือไว้ตั้งแต่สมัยบรรพกาลมาหลายต่อหลายที่ แม้แต่ที่ที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังโบราณหรือสถานที่บำเพ็ญเพียรของผู้แข็งแกร่งสมัยบรรพกาลบางคน เขาก็ไปมาแล้ว
แต่สำหรับเขาแล้วการได้มายืนอยู่ในเมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้ต่างหาก จึงจะนับว่าเป็นแดนวาสนาอย่างแท้จริง
มิเพียงเท่านั้นมิว่าจะเป็นชาวเมืองแห่งนี้ หรือว่าจะเป็นสิ่งของธรรมดาทั่วไป ล้วนแต่อบอวลไปด้วยไอพลังเต๋าที่แตกต่างกันไปทั้งสิ้น
แม้แต่ภายในสุราเองก็ยังอบอวลไปด้วยไอพลังน้ำอันบริสุทธิ์
แต่สิ่งที่สะดุดตาเขามากที่สุดก็คือภาพเทพอารักษ์ประตู ที่ถูกติดอยู่ตรงหน้าประตูของทุกบ้าน
ดวงตาวาวโรจน์ !
พลังอันน่าเกรงขาม !
อีกทั้งภาพเทพอารักษ์ทุกภาพยังดูราวกับมีชีวิต แม้แต่พลังที่แผ่ ๆ ออกมาจาง ๆ ยังน่าเกรงกลัวเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทานระดับซีเหมินเหลยหู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณ ที่แม้แต่เขาเองยังอดมิได้ที่เกิดความกลัวขึ้นมาจับใจ
“น่าเหลือเชื่อ ! ”
“ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ! ”
ซีเหมินเหลยหู่จ้องเขม็งไปยังภาพเทพอารักษ์ประตู ที่ติดอยู่หน้าประตูของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่มิไกลนัก พลางเอ่ยด้วยความตื่นตระหนก
‘พลังลมปราณที่แฝงอยู่ในภาพเทพอารักษ์ประตูนี้ช่างดุดัน จนข้าเองยังอดที่จะใจสั่นสะท้านขึ้นมามิได้ หรือว่าพลังลมปราณเหล่านี้จะมาจากสุดยอดผู้แข็งแกร่งท่านนั้น ? ’
‘แต่ฝีมือระดับนี้กลับมาทำภาพเทพอารักษ์ประตู ช่างเสียของจริง ๆ ! ’
‘อีกอย่างท่านผู้อาวุโสเย่ท่านนี้เก่งกาจเพียงใดกันแน่ จึงปฏิบัติกับมนุษย์ราวกับเป็นเรื่องขำขันเช่นนี้…’
ซีเหมินเหลยหู่คิดแล้วก็อดที่จะเสียวสันหลังจนเย็นวาบ และชาไปทั้งร่างมิได้
ในตอนนั้นเองหนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิง ที่เดินอยู่ด้านหน้าก็ได้หยุดฝีเท้าลง พลางหันไปมองซีเหมินเหลยหู่ที่มีสีหน้าซีดเผือด
“ผู้อาวุโสซีเหมิน ทะลุถนนเส้นนี้ไปก็จะเป็นที่พำนักของผู้อาวุโสเย่แล้วขอรับ”
หนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ซีเหมินเหลยหู่เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น “ท่านทั้งสอง ผู้อาวุโสเย่แท้จริงแล้วเป็นผู้แข็งแกร่งระดับใดกันเยี่ยงนั้นหรือ พวกท่านช่วยบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ ? ”
“ผู้อาวุโสซีเหมิน ขอเรียนตามตรงว่าผู้อาวุโสเย่แท้จริงแล้วมีตบะบารมีเช่นไรนั้น ผู้น้อยทั้งสองเองก็มิทราบเช่นกันขอรับ”
ซือถูเจิ้นผิงหัวเราะออกมา “แต่ว่าแม้ผู้อาวุโสเย่จะมีตบะบารมีที่ลึกล้ำ ทว่าเขากลับเป็นคนที่มักจะสุภาพอ่อนโยนต่อผู้อื่นเสมอ ยิ่งระดับจิตใจของเขานั้นมิใช่สิ่งที่คนเช่นพวกเราจะสามารถเทียบเคียงได้เลยขอรับ”
ซีเหมินเหลยหู่ถึงกับตะลึงงัน ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสซีเหมิน ท่านต้องจำเอาไว้อย่างหนึ่งนะขอรับ”
หนานกงเสวียนจีดวงตาเป็นประกายแล้วเอ่ยต่อว่า “เมื่อได้พบผู้อาวุโสเย่แล้ว อย่าได้เรียกผู้อาวุโสเย่ว่าผู้อาวุโสเป็นอันขาด เรียกเขาว่าท่านเย่ก็พอแล้ว”
ซีเหมินเหลยหู่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับแรง ๆ
“พวกเราไปพบผู้อาวุโสเย่กันเถอะ ! ”
จากนั้นหนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงก็ได้เดินนำไปทันที
ใช้เวลาประมาณครึ่งก้านธูป ทั้งสามคนก็ได้มาถึงหน้าประตูเล็ก ๆ ข้างร้านขายของชำแล้ว
ขณะเดียวกันเย่ฉางชิงที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ ก็ถูกเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งปลุกขึ้น
“ท่านเย่ หนานกงเสวียนจีมาขอเข้าพบขอรับ”
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นจะค่อย ๆ ลืมขึ้น เห็นได้ชัดถึงความเหนื่อยหน่าย
‘ตาเฒ่าผู้นี้มาทำอะไรอีกล่ะเนี่ย ? ’
‘แม้พลังของพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าความแตกฉานในวิถีหมากอันน้อยนิดเช่นนั้น การจะมาเดินหมากกับข้าเย่ฉางชิงก็เท่ากับเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนชัด ๆ ’
เย่ฉางชิงพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู
ทว่าเมื่อเขาเปิดประตูออก
กลับพบว่าผู้ที่มาพบในครั้งนี้มิได้มีเพียงแค่หนานกงเสวียนจีมิ แต่ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่อย่างซือถูเจิ้นผิง รวมทั้งผู้เฒ่าสวมเสื้อผ้าป่านที่มิคุ้นหน้ามาด้วยอีกหนึ่งคน
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าสวมเสื้อผ้าป่านผู้นี้แม้ดูธรรมดากว่าหนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิง
แต่ยิ่งธรรมดา ก็ยิ่งสามารถอธิบายข้อสงสัยได้เป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ยังมาพร้อมกับหนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงเช่นนี้
มิผิดแน่ !
คนผู้นี้จะต้องเป็นยอดฝีมือในการบำเพ็ญเพียรอีกหนึ่งท่านอย่างแน่นอน !
เย่ฉางชิงแม้พอจะเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้ตั้งแต่แวบแรก ทว่าบนใบหน้าของเขาก็ยังคงเรียบนิ่งมิบ่งบอกอารมณ์ใด ๆ ดังเดิม
“พวกเราเหมือนมิได้พบกันมาสักพักแล้วนะ ! ”
เย่ฉางชิงเอ่ยหยอกล้อขึ้น พร้อมรอยยิ้มเรียบ ๆ
หนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และรู้สึกตื้นตันอย่างมากที่ได้รับความเมตตา
“เรียนท่านเย่ พวกเรามิได้พบกันมาพักหนึ่งแล้วจริง ๆ ขอรับ”
ซือถูเจิ้นผิงเอ่ยกับเย่ฉางชิง พร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า
เย่ฉางชิงจึงพยักหน้าให้ยิ้ม ๆ
ขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นว่าซือถูเจิ้นผิงผู้นี้ บัดนี้กลับแขนหายไปหนึ่งข้าง
ซึ่งเขามองว่าหากมิมีสิ่งใดผิดพลาด
ยอดฝีมือเช่นซือถูเจิ้นผิงคงจะไปปะทะฝีมือกับสุดยอดผู้แข็งแกร่งสักคนมา จึงได้เสียแขนไปข้างหนึ่งเช่นนี้
และการที่เขายังสามารถมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ แสดงว่าอีกฝ่ายเองก็คงได้รับบาดเจ็บหนักเช่นกัน เขาจึงสามารถรอดมาได้
แต่เย่ฉางชิงนั้นก็ยังคงแปลกใจเป็นอย่างมาก
ซือถูเจิ้นผิงได้ปะทะฝีมือกับผู้แข็งแกร่งคนไหน รวมทั้งการต่อสู้และผลลัพธ์เป็นเช่นไรกันแน่ !
อีกทั้งการต่อสู้เช่นนี้จะต้องน่าตื่นตาตื่นใจอย่างมากเป็นแน่
แต่ว่าเขาก็มิกล้าเอ่ยปากถาม
เพราะด้วยตบะบารมีของเขาในตอนนี้ การพบปะพูดคุยกับยอดฝีมือเหล่านี้ ห้ามพูดถึงเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญเพียรเป็นอันขาด
มิเช่นนั้นด้วยตบะบารมีและมุมมองอันคับแคบของเขาในตอนนี้ จะต้องเผยพิรุธออกมาอย่างง่ายดายเป็นแน่
เช่นนั้นแล้วเขาเองจะต้องตกอยู่ในอันตรายไปด้วย
หลังจากชั่งใจเล็กน้อย เย่ฉางชิงจึงเบนสายตาไปมองซีเหมินเหลยหู่ ที่ยืนหน้านิ่งอยู่ด้านหลังคนทั้งสอง
“ท่านนี้คือ ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
วินาทีต่อมา ยังมิทันที่ซือถูเจิ้นผิงและหนานกงเสวียนจีจะทันได้เอ่ยสิ่งใด
ซีเหมินเหลยหู่ที่ได้สติขึ้นมา ก็รีบโค้งคำนับพร้อมเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ผู้น้อยซีเหมินเหลยหู่คาราวะผู้… ท่านเย่ขอรับ”
วินาทีที่ซีเหมินเหลยหู่ได้เห็นเย่ฉางชิงนั้น
เพียงแค่ท่าทางสง่างามราวกับเซียนของเย่ฉางชิงก็ทำให้เขามั่นใจแล้ว
อีกทั้งตบะบารมีของเขามิสามารถสัมผัสได้ถึงไอพลังบำเพ็ญเพียรใด ๆ บนร่างของเย่ฉางชิง ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงจิตแท้แห่งเต๋าอันบริสุทธิ์มากมาย
มิใช่สิ !
พูดให้ถูกก็คือไอพลังกำเนิดเต๋า !
แค่คิดก็รู้ว่าเวลานี้ภายในใจของเขาจะตื่นตระหนกเพียงใด !
ทว่าเมื่อเย่ฉางชิงเห็นท่าทางนอบน้อมของซีเหมินเหลยหู่ ร่างทั้งร่างกลับนิ่งงันไปทันที
ดูท่าทางซีเหมินเหลยหู่ผู้นี้คงถูกหนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงเป่าหูมาเรียบร้อยแล้ว
แต่ว่าพวกเขาพูดอะไรกัน ถึงทำให้ยอดฝีมือในการบำเพ็ญเพียรผู้นี้เคารพนอบน้อมต่อเขาได้ถึงเพียงนี้ ?
หลังจากได้สติ
“ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก”
เย่ฉางชิงยกยิ้มเล็กน้อย “ทั้งสามท่านในเมื่อมาแล้ว ก็เชิญเข้ามาดื่มชาด้านในกันก่อนเถอะ ! ”
“รบกวนท่านเย่แล้ว ! ”
หนานกงเสวียนจีเอ่ยขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับเล็กน้อย
จากนั้นเย่ฉางชิงก็ได้เชิญทั้งสามคนไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะชา
ระหว่างที่กำลังรอน้ำเดือดอยู่นั้น
เย่ฉางชิงก็เอ่ยถามหยั่งเชิงคนทั้งสาม พร้อมรอยยิ้มที่ดูสบาย ๆ ว่า “มิทราบว่าที่ทั้งสามท่านมาวันนี้ มีเรื่องอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงได้ยินเช่นนั้นก็ส่งสายตาสื่อสารกันเล็กน้อย จากนั้นจึงได้หยิบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะวางลงตรงหน้าของเย่ฉางชิง
“ท่านเย่ ก่อนหน้านี้พวกเราได้มารบกวนท่านหลายครา ข้าและพี่ซือถูจึงได้เตรียมของขวัญชิ้นหนึ่งมาให้เพื่อเป็นการตอบแทน ขอท่านเย่ได้โปรดรับเอาไว้ด้วยขอรับ”
หนานกงเสวียนจีเอ่ยขึ้น
“ของขวัญ ? ”
เย่ฉางชิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
‘มาครานี้สองคนนี้เตรียมของขวัญมาด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘พวกเขาเป็นถึงยอดฝีมือในการบำเพ็ญเพียรเชียวนะ ! ’
‘ของขวัญชิ้นนี้จะต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน ! ’
เย่ฉางชิงลอบคิดอยู่คนเดียวภายในใจ จากนั้นก็ชำเลืองมองแหวนเก็บสมบัติโบราณตรงหน้าเล็กน้อย แต่มิได้หยิบขึ้นมาดูในทันที
“ข้าสงสัยยิ่งนักว่าท่านทั้งสอง เตรียมของขวัญอะไรมาให้ข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ซือถูเจิ้นผิงจึงตอบพร้อมรอยยิ้มเจิดจ้าว่า “หินหุนหยวนหนึ่งล้านก้อนขอรับ”
‘หินหุนหยวนหนึ่งล้านก้อน ? ’
เย่ฉางชิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับต้องสูดหายใจอันเย็นเยียบเข้าปอดเฮือกใหญ่