เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 400 เจ้าคงมิได้ชอบบุรุษหรอกกระมัง ?
ณ สานักสิงหยุน ที่ตั้งอยู่บน เขาหัวพยัคฆ์
สานักนี้ในดินแดนของนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว ทุกคนต่างก็รู ้ดีว่า
เป็ นส านักเช่นไร ! เพราะส านักสิงหยุนถือเป็ นส านักต้น ๆ ในบรรดา
สานักมากมาย ที่พึ่งพิงนิกายกระบี่สวรรค์อยู่ และมิต้องพูดถึงว่า
สานักสิงหยุนนั้นแท้จริงแล้วทรงอิทธิพลเพียงใด
เพราะศิษย์สายในของนิกายกระบี่สวรรค์มากกว่าสิบคนล้วนมา
จากสานักสิงหยุนทั้งสิ้น แค่คิดก็รู ้แล้วว่าสานักสิงหยุนแห่งนี้มิ
ธรรมดาเพียงใด !
เช่นนั้นเพื่อเป็ นการป้ องกันศิษย์ในสานักลอบรวมกลุ่มแบ่งฝัก
แบ่งฝ่าย ที่จะส่งผลต่อรากฐานของนิกายกระบี่สวรรค์
การรับสมัครศิษย์ในหลายปีมานี้ เหล่าผู้อาวุโสของนิกายกระบี่
สวรรค์ จึงได้เข้มงวดกับบรรดาศิษย์จากสานักระดับสองที่มีอิทธิพลและมีความสามารถสูงเป็ นพิเศษ เช่นนั้นจึงได้มีการปรับระดับความ
ยากในการทดสอบขึ้นไปอีก
เช่นนี้ศิษย์จากสานักระดับสองเหล่านี้ จึงต้องมีพรสวรรค์อัน
สูงส่งและคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมเหนือกว่าผู้อื่นหลายเท่า มิเช่นนั้น
โอกาสที่จะได้เข้าไปเป็ นศิษย์สายในของนิกายกระบี่สวรรค์นั้นก็จะ
เลือนรางตามไปด้วย
ด้วยเหตุนี้เวลาที่ศิษย์ของสานักระดับสองเหล่านี้เข้าร่วมการ
ทดสอบ จึงมักจะเก็บตัวเป็ นพิเศษ พวกเขาจะมิเลือกหอสุราที่ดีที่สุด
ของเมืองกระบี่สวรรค์ มิสร ้างปัญหากับใคร และจะมิเอ่ยชื่อสานักต่อ
หน้าฝูงชนง่าย ๆ
แต่บัดนี้การที่ศิษย์ของสานักสิงหยุน ได้เอ่ยชื่อสานักของตนต่อ
หน้าผู้คนมากมาย และกล้าประกาศว่าจะขอท้าประลองเช่นนี้
การอวดตัวเพื่อเรียกความสนใจเช่นนี้ ช่างจองหองยิ่งนัก
อีกทั้งเหตุการณ์เช่นนี้มิเคยเกิดขึ้นมาเกือบร ้อยปีแล้วเห็นได้ชัดว่าหลังจากได้ยินคาท้าประลองเช่นนี้ ภายในใจของ
ศิษย์จากสานักต่าง ๆ นั้นจะรู ้สึกตื่นตระหนกมากเพียงใด !
ต้องยอมรับว่าหม่าเป่ากั้วผู้นี้มีชื่อเสียงในดินแดนของนิกายกระบี่
สวรรค์มานาน ลือกันว่าคนผู้นี้มีโชคชะตาหนุนนา คุณสมบัติสูงส่ง
เพียงอายุห้าขวบก็สามารถก้าวเข้าสู่ระดับรวมชีพจรได้แล้ว
สิบขวบก้าวสู่ระดับสร ้างรากฐานปราณ
อายุสิบเจ็ดเริ่มกลั่นจินตานได้
อายุยี่สิบสามก้าวสู่แดนสร ้างแก่น
ส่วนเวลานี้เกรงว่าคงก้าวสู่แดนก่อกาเนิดได้สาเร็จแล้ว
อีกทั้งเรื่องที่น่าทึ่งที่สุดของคนผู้นี้หาใช่การบรรลุระดับตบะบารมี
ไม่ แต่เป็ นความแตกฉานในวิถีกระบี่ต่างหากเล่า เพราะคนผู้นี้มาจากตระกูลหนึ่งในหลิงโจว และตระกูลนี้ยังมีชื่อเสียงในด้านวิชาแส้
อันทรงพลัง
อีกทั้งก่อนที่เขาจะเข้าสานักสิงหยุน เขายังสามารถรวมเอาวิชา
แส้อันทรงพลังของตระกูลและวิถีกระบี่เข้าด้วยกัน จนทาให้คนรุ่นราว
คราวเดียวกันในตระกูล ยากจะมีผู้ใดที่สามารถต่อกรกับเขาได้
หลังจากที่เขาได้เข้าไปอยู่ในสานักสิงหยุนแล้ว เขาก็เอาแต่
มุ่งมั่นบาเพ็ญเพียรในวิถีกระบี่ จากนั้นก็ลงเขาไปท้าประลองกับเหล่า
ยอดฝีมือของสานักต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้จึงทาให้หลายปีมานี้ ขณะที่เขา
เริ่มมีชื่อเสียง ความรู ้แจ้งในวิถีกระบี่ของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นตามไป
ด้วย
หลังจากเงียบไปพักใหญ่
ขณะที่ทุกคนต่างก็หันไปมองนั้น
เย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ยจึงสื่อสารกันทางสายตาเล็กน้อย ก่อน
จะหันไปมองทางด้านหลัง ก็พบว่ามีบุรุษหนุ่มสวมชุดคลุมสีด าท่าทางสง่างามคนหนึ่ง เดินวางท่าตรงมาด้านหน้าท่ามกลางการจับตามอง
ของทุกคน
คนผู้นี้มีผมยาวสลวย รูปร่างสูงโปร่ง เครื่องหน้าคมคาย ดูหล่อ
เหลามิน้อย เพียงแต่เวลานี้สีหน้าของเขานั้นกลับราบเรียบและ
เย่อหยิ่ง สายตาดูแคลนกวาดมองทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น อย่างมิ
ยี่หระต่อผู้ใด
เห็นได้ชัดว่าทุกคนในที่นั้น มิมีใครที่อยู่ในสายตาเขาเลยแม้แต่
คนเดียว และอาจเป็ นเพราะเขาได้มองหาคนที่จะมาประลองด้วยเป็ น
เวลานาน จึงทาให้ร่างของเขาในตอนนี้ได้แผ่ไอพลังอันน่าตกใจ
ออกมาด้วย
มินานหลายคนก็นึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้ก็คือ สุดยอดอัจฉริยะแห่ง
สานักสิงหยุน หม่าเป่ากั้ว
ต่อมาศิษย์ของสานักต่าง ๆ พลันเริ่มกระซิบกระซาบกันอย่างอด
มิได้“สมกับเป็ นอัจฉริยะในรอบหลายร ้อยปีแห่งส านักสิงหยุน เพียง
แค่รังสีที่แผ่ออกมาก็ทาให้คนขวัญหนีดีฟ่อได้แล้ว”
“หวังว่าการประลองต่อจากนี้ คงจะมิได้ประมือกับคนผู้นี้หรอกนะ
มิเช่นนั้นคงได้ออกไปจากเมืองกระบี่สวรรค์ภายในวันนี้เป็ นแน่”
“เฮ้อ เจ้าคนนี้ช่างน่าโมโหจริง ๆ หน้าตาหล่อเหลาปานนี้ อีกทั้ง
คุณสมบัติยังสูงส่ง สมกับเป็ นบุตรแห่งโชคในต านานจริง ๆ ! ”
“ศิษย์น้อง เจ้าอย่าเพิ่งท้อใจไป เมืองกระบี่สวรรค์มีค่ายกลสะกด
เอาไว้ ต่อให้เป็ นหม่าเป่ ากั้วก็แสดงความสามารถได้เพียงระดับรวม
ชีพจรเท่านั้น”
“และการประลองในรอบนี้ สิ่งสาคัญก็คือความตากฉานในวิถี
กระบี่ต่างหากเล่า”
“ใช่แล้ว บุรุษหนุ่มเมื่อครู่แม้จะมิได้อวดดีเช่นหม่าเป่ากั้ว แต่หาก
เทียบจากรูปลักษณ์และบุคลิกท่าทางแล้ว หม่าเป่ากั้วกับบุรุษหนุ่มคน
นั้นกลับดูแตกต่างกันมิน้อยเลย”“มิรู ้ว่าบุรุษหนุ่มผู้นั้นมาจากสานักไหนกันแน่ และมีคุณสมบัติที่
แท้จริงเป็ นเช่นไร ? ”
“ใช่ บุรุษหนุ่มผู้นั้นดูมิธรรมดาเลยจริง ๆ คิดว่าก็คงมิใช่คน
ธรรมดาอย่างแน่นอน”
“……”
“……”
ขณะเดียวกัน ระหว่างที่ศิษย์หลายสานัก กาลังคาดเดากันไป
ต่าง ๆ นานานั้น
วินาทีที่เย่ฉางชิงได้เห็นโฉมหน้าของหม่าเป่ ากั้ว ก็อดมิได้ที่
อยากจะหัวเราะขึ้นมาแม้จะยอมรับว่าหม่าเป่ากั้วผู้นี้หล่อเหลาก็จริง แต่ท่วงท่าการเดิน
ที่ท่าทางวางมาดและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง โดยเฉพาะ
ดวงตาคู่นั้นที่กวาดมองทุกคนด้วยความดูแคลน ท่าทางจองหอง
เช่นนี้ มองเยี่ยงไรก็เหมือนพวกลูกคุณชายจากตระกูลใหญ่ก็เท่านั้น
และสิ่งที่ทาให้เย่ฉางชิงรู ้สึกรับมิได้มากที่สุดก็คือ ระหว่างที่คนผู้
นี้เดินวางมาดอยู่นั้น ด้านหน้าและด้านหลังของเขา กลับมีบุรุษและ
สตรีหลายคนถือตะกร ้าดอกไม้ คอยโปรยกลีบดอกไม้ให้มิหยุด
เพียงแค่จินตนาการก็รู ้แล้วว่า ภาพเช่นนี้แท้จริงแล้วน่าขัน
เพียงใด !
“ศิษย์น้องเย่ คนผู้นี้ดูมิธรรมดาเลย”
ชวี่เหวินเซี่ยขมวดคิ้วน้อย ๆ ขณะมองหม่าเป่ ากั้วที่เดินเข้ามา
พร ้อมเอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด
เมื่อเย่ฉางชิงได้ยินเช่นนี้ก็ตะลึงงันไปเล็กน้อย เขาเพียงขมวดคิ้ว
เบา ๆ ทว่ากลับมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาความจริงแล้วเขาเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน การที่คนผู้นี้ได้รับ
ความสนใจจากทุกคนเช่นนี้ แสดงว่าต้องมิใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่าง
แน่นอน
แต่สิ่งที่ดูแตกต่าง เมื่อเทียบกับการปรากฏตัวของเขาก็คือ การ
ปรากฏตัวของคนผู้นี้กลับทาให้ผู้คนส่วนใหญ่มีท่าทางหวาดกลัวและ
หวั่นเกรงได้ มิใช่ความเคียดแค้นและขุ่นเคือง เหมือนยามที่มองเขา
ก่อนหน้านี้ไม่ ด้วยเหตุนี้จึงพออธิบายถึงคุณสมบัติและความสามารถ
ของคนผู้นี้ได้แล้ว ว่าต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน
ตอนนั้นเองหม่าเป่ ากั้วก็ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว กลุ่ม
คนที่ยืนขวางอยู่ต่างพากันหลีกทางให้โดยทันที
ทว่าจู่ ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าลง ก่อนจะมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ใช่แล้ว !
เขาได้พบกับเย่ฉางชิงที่ยืนอยู่มิไกลนั่นเองด้วยรูปลักษณ์อันหล่อเหลา รวมทั้งลักษณะท่าทางที่แผ่ออกมา
จากภายในของเย่ฉางชิงนั้น ดึงดูดความสนใจจากเขาเป็ นอย่างมาก
‘แม้ว่าตบะบารมีจะถูกค่ายกลของเมืองกระบี่สวรรค์สะกดเอาไว้
แต่เหตุใดถึงมิสามารถสัมผัสได้ถึงไอพลังจากกายของคนผู้นี้ได้เล่า
? ’
‘อีกอย่างอาจารย์เคยบอกเอาไว้ว่า เมื่อใดที่มิอาจสัมผัสได้ถึงไอ
พลังของคนผู้หนึ่งได้ ก็ให้สังเกตจากรูปลักษณ์และท่าทางของคนผู้
นั้นแทน’
หม่าเป่ ากั้วอดมิได้ที่จะรู ้สึกใจสั่นขึ้นมา พร ้อมกับลอบบ่นอยู่
ภายในใจว่า ‘คนผู้นี้แม้จะปกปิดพลังเอาไว้ แต่ด้วยรูปลักษณ์อันหล่อ
เหลาไร ้ที่เปรียบ ท่าทางโดดเด่น ดูท่าต้องมิใช่คนธรรมดาอย่าง
แน่นอน อีกทั้งยังมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ แสดงว่าต้องมีที่มาที่ไปอย่าง
แน่นอน’‘คิดมิถึงว่าการเข้าร่วมการทดสอบในครานี้ จะได้พบคนที่มิ
ธรรมดาเช่นนี้ เยี่ยมจริง ๆ แต่ถึงเยี่ยงนั้นก็ยังเป็ นเพียงแค่ก้อนหิน
ก้อนหนึ่งให้ข้าได้เหยียบย่าไปบนเส้นทางไร ้พ่ายของข้าเท่านั้น’
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก หม่าเป่ ากั้วก็ได้เดินต่อ จนมาหยุด
ตรงหน้าของเย่ฉางชิง
“ผู้น้อย หม่าเป่ากั้ว ขอทราบนามอันสูงส่งของท่านได้หรือไม่”
หม่าเป่ ากั้วเผยรอยยิ้มมีเลศนัยออกมา พร ้อมกับคาราวะน้อย ๆ
ให้แก่เย่ฉางชิง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้เย่ฉางชิงจะยังมีสีหน้าที่เรียบนิ่ง ทว่าภายใน
ใจกลับตกตะลึงอย่างมาก
‘นี่มันเรื่องอะไรกัน ? ’
‘เจ้ามาหยุดตรงหน้าข้าเช่นนี้ คิดจะทาอันใดกันแน่ ! ’‘ข้างกายเจ้าก็มิได้มีศิษย์พี่หญิง ศิษย์น้องหญิงมาด้วยนี่นา’
‘อีกอย่างต่อให้เจ้าจะมากับผู้ใด ก็มิเกี่ยวอันใดกับข้านี่นา ! ’
‘หรือว่าในโลกบาเพ็ญเพียรใบนี้ จะมิอนุญาตให้คนหล่อปรากฏ
กายขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘อีกอย่างรอยยิ้มมีเลศนัยของเจ้านี่มันหมายความเช่นไรกันแน่ !
’
‘จริงสิ ! ’
‘เจ้าคงมิได้ชอบบุรุษหรอกกระมัง ? ’
‘โอ๊ย ! ’
‘บัดซบสิ้นดี ! ’‘พี่ชาย เจ้าคงจะเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้มีความชอบเช่นนั้นหรอก
นะ ! ’
‘เรื่องนี้ข้าจริงจังนะ !