เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 26 - 4 หนี้แค้นต้องชำระ
เซวียนหยวนจิ้งรู้สึกเพียงว่าในหูดังครืน ร่างโซซัดโซเซ ผู้นำเผ่าหวงจินประคองเขาไว้ในครั้งเดียว เอ่ยอย่างงงงันว่า “เซวียนหยวนฉี่ นี่เจ้า…”
เสียงวาจายังไม่ทันสิ้น องครักษ์ข้างหลังเซวียนหยวนฉี่ฝูงนั้นก็กระโจนออกมาแล้ว
พอเรือนร่างพวกเขาขยับเขยื้อน ทุกผู้คนเพิ่งสังเกตว่าคนฝูงนี้ไม่ใช่องครักษ์ตระกูลเซวียนหยวน! องครักษ์ตระกูลเซวียนหยวนไม่มีวิชาตัวเบาที่เก่งกาจขนาดนี้!
ดุจมัจฉาแหวกว่ายดั่งปลาไหลประดุจเงาวิญญาณ ประหนึ่งลมพายุสีเทาแต่ละสาย เพียงครู่นั้นพลันปรากฏกายบนคาน บนหลังคาบ้าน บนโลงศพ เสียงฉีกกระชากทุบตีดังโครมครามตูมตามติดต่อกัน ผ้าม่านขาวราวหิมะฉีกขาด อักษรเซ่นไหว้ร่วงหล่น โลงศพแตกกระจาย กระถางธูปล้มคว่ำ ผ้าขาวดำเศษเล็กเศษน้อยร่วงโรยทั่วท้องฟ้า ภายในห้องโถงตั้งศพดูคล้ายมีหิมะดำขาวโปรยปรายครั้งหนึ่ง
เสียงกรีดร้องดังสนั่น เหล่าแขกเหรื่อรีบร้อนตะบึงออกนอกห้อง วิ่งหนีชนกัน ขุนนางสูงศักดิ์จำนวนมากหกล้มข้างล่างบันได
“หยุดนะ! หยุดนะ! องครักษ์! องครักษ์!” คนของตระกูลเซวียนหยวนวิ่งเข้ามาหวังขัดขวาง ทว่าผู้ใดไล่ตามความเร็วของพวกเผยซูได้ทัน? องครักษ์ข้างนอกรีบร้อนตามเข้ามา ทว่าถูกแขกเหรื่อที่พุ่งออกมาจากห้องโถงตั้งศพขวางไว้ข้างล่างบันได มองเห็นเพียงไม้กระดานโลงศพกับเศษเสี้ยวลอยออกมาดังเปรี้ยงปร้าง พลึกพลัก
ทุกหนทุกแห่งคือสิ่งของที่กระจัดกระจาย ทุกหนทุกแห่งคือเสียงตะโกนร้องไห้ของผู้ถูกเบียดเสียด ชั่วครู่เดียวห้องโถงตั้งศพของตระกูลเซวียนหยวนกลายเป็นนรกด้วยแล้ว
เดิมทีเซวียนหยวนฉี่ยังตึงเครียดและหวาดกลัว ทว่ายามนี้เห็นทุกคนวิ่งหนีบ้าคลั่ง อ่อนแอเสียขวัญ เขาคือบุตรชายเสเพลโด่งดังของตระกูลเซวียนหยวน พบเจอความรังเกียจของทุกคนจนเคยชิน มองเห็นสายตาหวาดกลัวตนเองของผู้อื่นเป็นครั้งแรกในชีวิตพลันรู้สึกว่าสบายอกสบายใจ ความชั่วร้ายล้นทะลัก อดจะเชิดหน้าหัวเราะฮ่าๆ ไม่ได้ หน้าตาบิดเบี้ยว อัปลักษณ์ดุจปีศาจ
นิสัยชั่วร้ายของมนุษย์ หากถูกปลุกให้ตื่นฟื้น ทั่วท้องฟ้าทั่วผืนดินย่อมผลิบานด้วยหน่ออ่อนสีดำ
เซวียนหยวนจิ้งถูกคนกึ่งลากกึ่งประคองไปยังประตูข้าง สีหน้าขาวซีด ดวงตากลอกขึ้นข้างบน ใกล้หมดสติแล้ว
ชั่วครู่เดียวห้องโถงตั้งศพถูกทำลายเละเทะแล้ว เซวียนหยวนฉี่สะบัดเสื้อคลุมยาวเพียงครั้ง กระโดดขึ้นโต๊ะบูชา ชี้ไปยังเซวียนหยวนจิ้งเอ่ยว่า “ท่านพ่อ! มอบคัมภีร์ทองแดงแห่งผู้นำตระกูลให้ข้า!”
“เจ้า…” เซวียนหยวนจิ้งฝืนใจประคองสติ ได้ยินวาจานี้ดวงตากลอกเพียงครั้งใกล้หมดสติอีกแล้ว เอ่ยว่า “เจ้า…เจ้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร…”
“แท้จริงแล้วนายน้อยรองก่อเรื่องคลุ้มคลั่งเสียสติเช่นนี้เพื่อตำแหน่งผู้นำตระกูลสินะ? เจ้าคู่ควรหรือ!” ผู้อาวุโสตระกูลเซวียนหยวนที่อยู่ข้างกายเขาคนหนึ่งตวาดว่า “ท่านพ่อเจ้าไม่ใช่ผู้ตัดสินตำแหน่งผู้นำตระกูล! ตำแหน่งนี้ต้องให้ผู้อาวุโสทั้งหมดของตระกูลร่วมเห็นด้วยถึงเป็นได้! แม้นเจ้าได้คัมภีร์ทองแดงไป พวกเราก็ตัดสินว่าเป็นโมฆะได้เช่นกัน! อาศัยเพียงนิสัยกระทำตามอารมณ์เช่นนี้ของเจ้า ชาตินี้ก็ฝันไปเถิด!”
“สุนัขเฒ่า เจ้ากล้าเป็นศัตรูกับข้า ข้าจะให้เจ้าไปนอนฝันในบึงโคลนเฮยสุ่ยทั้งชาติ!” เซวียนหยวนฉี่ชี้ไปยังผู้อาวุโสคนนั้น แสยะยิ้มครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่มอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้ข้าแล้วจะมอบให้ผู้ใด? พี่ใหญ่สิ้นชีพแล้ว! ลูกหลานทุกครอบครัวที่มีอำนาจสืบทอดตระกูลที่เหลืออยู่สิ้นชีพกันหมดแล้ว! ตระกูลเซวียนหยวนเหลือข้าเป็นลูกหลานสายตรงเพียงคนเดียวแล้ว! พวกเจ้าไม่มอบให้ข้า หรือว่ายังอยากมอบให้กิ่งข้างเคียงเจ็ดแขนงที่ไม่รู้ว่าสายโลหิตคดเคี้ยวไปที่ใด!”
“อะไรนะ!” คราวนี้แม้แต่เซวียนหยวนจิ้งที่ใกล้หมดสติยังฟื้นขึ้นมาแล้ว ใบหน้าชราของหลายคนจ้องมองเซวียนหยวนฉี่ด้วยสีหน้าซีดเผือด
เซวียนหยวนฉี่รื่นรมย์ยิ่งขึ้น หวังใช้สองมือเท้าสะเอว เพิ่งนึกได้ว่าแขนของตนเองขาดไปข้างหนึ่ง ความเจ็บปวดรุนแรงพวยพุ่ง ในใจยิ่งโกรธแค้น รู้สึกเพียงว่าตนเองลำบากมากขนาดนี้แล้ว ยามนี้ตำแหน่งผู้นำตระกูล ไม่ให้ย่อมต้องให้ ไม่ให้ย่อมต้องสังหาร!
“มองไม่เห็นหรือว่าคนข้างกายข้าเปลี่ยนไปแล้ว? มองไม่เห็นหรือว่าองครักษ์ไม่ได้กลับมาด้วย? จะจุดดอกไม้ไฟเรียกพวกเขากลับมาหรือไม่? ผู้อาวุโสหวัง หลานชายของเจ้าอยู่แถวหุบเขาเทียนฮุยด้วยล่ะ เจ้าอยากสนับสนุนเขาไม่ใช่หรือ? รีบเรียกเขากลับมาสิ!”
ผู้อาวุโสคนนั้นจ้องมองเขาอย่างตกตะลึง หากเป็นยามปกติคงคิดเพียงว่าเขาขู่ขวัญตบตา ทว่ายามนี้ไม่กล้าที่จะไม่เชื่อ เขาถอยหลังก้าวหนึ่ง เอื้อมมือสั่นเทิ้มจุดดอกไม้ไฟออกไป แหงนหน้ารออยู่สักพัก มองเห็นขอบฟ้าไร้การเคลื่อนไหว สีหน้าขาวซีด
ดอกไม้ไฟแลกเปลี่ยนสัญญาณชนิดนี้ ตามกฎเกณฑ์มองเห็นแล้วต้องตอบกลับโดยพลัน ยามนี้ชักช้าไม่มีข่าวสาร นั่นหมายความว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงจริง
“เป็นอย่างไร?” เซวียนหยวนฉี่หัวเราะฮ่าๆ ระบายความตกใจความชั่วร้ายที่ได้รับจากพวกจิ่งเหิงปัวใส่ร่างบิดากับผู้อาวุโสของตนเอง เอ่ยว่า “มอบคัมภีร์ทองแดงแห่งผู้นำตระกูลมา! ตำแหน่งนี้ควรเป็นของข้าแล้ว!”
“ไม่!” ไม่นึกว่าผู้เปล่งเสียงคัดค้านจะเป็นเซวียนหยวนจิ้ง ร้องว่า “มอบตระกูลเซวียนหยวนให้เจ้าไม่ได้! คนข้างหลังเจ้าฝูงนี้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า เจ้าคงบรรลุข้อตกลงกับคนนอก พาคนมาก่อความวุ่นวาย หวังทำลายตระกูลเซวียนหยวนเป็นแน่! เอ่ย! คนเหล่านี้เป็นผู้ใด!”
เซวียนหยวนจิ้งหนวดเคราผมเผ้ายาวโง้ง นัยน์ตาแดงก่ำ จ้องเซวียนหยวนฉี่เขม็ง เขาเป็นทั้งผู้นำตระกูลเป็นทั้งบิดา สั่งสมอานุภาพหลายปี ความโอหังของเซวียนหยวนฉี่พลันลดลง เรือนร่างหดเล็ก ถอยหลังก้าวหนึ่ง
“เอ่ยสิ ผู้ใดกัน!” เสียงตะโกนร้องสั่นสะเทือนกระเบื้องหลังคา สีหน้าของเซวียนหยวนจิ้งเริ่มม่วงคล้ำ ผู้อาวุโสมองดูเขาอย่างกังวล กลัวว่าหากไม่ระวังเขาจะหมดสติไป
“ยังเป็นผู้ใดได้อีกเล่า ข้าอย่างไร” เสียงเกียจคร้านแว่วมา ซ้ำยังเจือด้วยเสียงหัวเราะ
เสียงเกียจคร้านเจือด้วยเสียงแหบแห้ง เสียงเอ่ยวาจาซึ่งเป็นของสตรีทรงเสน่ห์ไร้สิ้นสุด ทว่าเซวียนหยวนจิ้งคล้ายได้ยินปีศาจร้องไห้ ตกใจจนทั่วร่างสั่นเทิ้ม
พอเขาเงยหน้า สีหน้าไม่คล้ายมนุษย์แล้ว
ฝูงชนพลันแยกเป็นทางหนึ่ง บุรุษกล้าหาญทรงพลังกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาก่อน บุรุษกลุ่มนั้นจ้องจนคนของตระกูลเซวียนหยวนพากันหลบตา…ไม่นึกว่าจะเป็นนายกองบรรดาศักดิ์!
นายกองบรรดาศักดิ์ยอมเปิดทางให้ผู้อื่นตั้งแต่ยามใด หรือว่าเป็นเฉิงกูมั่ว? ทว่าเมื่อครู่ชัดเจนว่าเป็นเสียงสตรี ยิ่งกว่านั้นต่อให้เป็นเฉิงกูมั่ว เขาย่อมไม่มีคุณสมบัติให้นายกองบรรดาศักดิ์เปิดทางให้เขา
ผู้คนอดจะเขย่งเท้าขึ้นไม่ได้ คราวนี้ถึงมองเห็นสตรีนางหนึ่งอมยิ้มเยื้องกรายออกมาท่ามกลางเหล่านายกองบรรดาศักดิ์
อาภรณ์ขาวแขนกว้าง ท่วงท่าอ่อนหวานแช่มช้อย ผมดำขลับหยักศกทั้งศีรษะแผ่สยายเล็กน้อยกลางสายลม บดบังนัยน์ตาอมยิ้มของนางส่วนหนึ่ง สายตานางเวียนวนเชื่องช้าปานนั้น ทุกผู้คนรู้สึกว่าในใจเต้นระรัว คล้ายถูกแสงอาทิตย์รุ่งโรจน์สาดส่องจนขอบเขตสายตาพลันพร่าเลือน
เซวียนหยวนฉี่จ้องมองตาไม่กะพริบ รู้สึกเพียงว่าสตรีตรงหน้าถึงเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งเท่าที่เขาเคยเห็นมาทั้งชีวิต
“เป็นเจ้า! เป็นเจ้าจริงด้วย!” เซวียนหยวนจิ้งร้องลั่น เรือนร่างพุ่งถอยหลัง ฝีเท้าสะดุดของบางสิ่ง พอเขาก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าสิ่งที่เหยียบย่ำใต้ฝ่าเท้าคือไม้กระดานโลงศพของบุตรชายนั่นเอง ชั่วครู่เดียวความโศกเศร้าเจ็บปวดพวยพุ่งเข้ามาในใจอย่างบ้าคลั่ง เขาพลันหันหน้ากลับมาจ้องมองจิ่งเหิงปัวอย่างโกรธแค้น
จิ่งเหิงปัวยังคงยิ้มแย้ม จ้องตาเขาอย่างไม่ยอมแพ้เลยแม้แต่น้อย
สายตาชิงชังเจ็บปวดขนาดนี้น่ะ นางก็เคยมีเช่นกัน
ค่ำคืนนั้นสายลมหิมะรุนแรงเช่นกัน ค่ำคืนนั้นสายลมเหมันต์หนาวเย็นเช่นกัน ค่ำคืนนั้นเหล่าขุนนางเหล่าทหารบังคับนางสละราชย์ข้างล่างกำแพงวัง นั่งนิ่งประท้วง ร่วมร้องทุกข์คุกคาม คนกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันใช้ทุกวิถีทางขับไล่นางออกจากตี้เกอ ทำให้นางสูญเสียเพื่อนกับคนรัก ทำให้นางเข้าใจรสชาติของการทรยศกับความเย็นชาบนโลกมนุษย์แห่งนี้ มีดเล่มหนึ่งแทงเข้าเลือดเนื้อ หิมะหอบหนึ่งแทรกเข้าในใจ
ท่ามกลางคนกลุ่มนั้น เขายืนอยู่ข้างหน้าสุด สีหน้ายุติธรรมแน่วแน่
ไม่แก้แค้นได้อย่างไร? ไม่แก้แค้นได้ด้วยหรือ
ตอนนี้ ทุกสิ่งเพิ่งจะเริ่มต้น
“สมกับเป็นผู้นำตระกูลโดยแท้ สมองแจ่มชัดกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง” นางยิ้มแย้มชี้นิ้วใส่เซวียนหยวนจิ้ง กล่าวว่า “เช่นนี้ไม่ค่อยดีเลย เจ้าจะได้มองเห็นภัยพิบัติที่ตระกูลเซวียนหยวนใกล้จะเผชิญอย่างแจ่มชัด มองเห็นพวกเจ้าใกล้จะก้าวสู่ความสูญสิ้นโดยไม่อาจควบคุมอย่างแจ่มชัด นับวันรอคอยการล่มสลายกับความตายอย่างแจ่มชัด ดูคล้ายผู้ป่วยหนักคนหนึ่ง เบิกตามองดูเซลล์มะเร็งกัดกร่อนร่างกายตนเอง ตั้งแต่อวัยวะภายในจวบจนสมอง กระทั่งสิ้นลมหายใจ…อา พอข้าคิดว่าเจ้าต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ รู้สึกสะใจเสียจริง”
“จิ่งเหิงปัว!” เซวียนหยวนจิ้งพลันสงบลง เสียงแหบแห้งเอ่ยว่า “หากเจ้าแน่จริง จงมาสังหารข้าสิ!”
“โนๆ การสังหารไม่สนุกสนานที่สุดแล้ว” จิ่งเหิงปัวกระดิกนิ้ว กล่าวว่า “ข้าจะสังหารเจ้าเพื่ออะไร? หากชิงตายไปเสียก่อน เจ้าคงไม่ได้เห็นตระกูลเซวียนหยวนวอดวายแล้ว เช่นนั้นมิใช่ดูถูกเจ้าเกินไปหรือ?”
“เจ้าฝันไปเถอะ! ขอเพียงข้ายังมีชีวิต ข้าจะไม่ยอมให้เซวียนหยวนฉี่ได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูล!”
“ไม่ให้เขาแล้วจะให้ผู้ใดเล่า?” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ประเดี๋ยวเจ้าใกล้จะหมดสติแล้ว ลูกหลานตระกูลเซวียนหยวนที่สามารถสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลของพวกเจ้าพากันทั้งสิ้นชีพทั้งหายตัวไป หากเจ้าไม่มอบตำแหน่งผู้นำตระกูลนี้ให้นายน้อยรองที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมความสามารถ หรือว่าจะปล่อยไว้ตรงนั้นให้คนนอกฝูงหนึ่งแย่งชิง?”
เซวียนหยวนจิ้งคล้ายถูกจู่โจมจุดอ่อน ทั่วร่างสั่นเทิ้ม ผ่านไปครู่ใหญ่เอ่ยเสียงดังว่า “เจ้ากำลังตั้งใจเอ่ยให้ตื่นตระหนก! ลูกหลานตระกูลเซวียนหยวนที่สามารถสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลมากมายขนาดนั้น ส่วนใหญ่ยังอยู่ตี้เกอ เจ้าจะจัดการพวกเขาในคราวเดียวรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร…”
“เจ้าแกล้งโง่หรือไม่เข้าใจตระกูลเซวียนหยวนของพวกเจ้ากันแน่?” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มพลางส่ายหน้าติดต่อกัน กล่าวว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าปฏิบัติการหุบเขาเทียนฮุย เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับชะตากรรมอีกสิบปีข้างหน้าของตระกูลเซวียนหยวนเช่นนี้ ลูกหลานตระกูลเซวียนหยวนของพวกเจ้าผู้ใดไม่อิจฉาตาร้อน? ผู้ใดไม่อยากมาแบ่งสันปันส่วน? แย่งชิงส่วนใหญ่ไม่ได้ แบ่งเศษเดนสักหน่อยก็ดีนะ หากขัดขวางกลางทางได้ ใช้กำลังแย่งชิงก็ไม่เลวนะ เจ้าคิดสิ พวกเขาหักใจไม่อยู่ด้วยได้เยี่ยงไรเล่า?”
เซวียนหยวนจิ้งมีสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก…ตระกูลเซวียนหยวนมีธรรมเนียมเช่นนี้โดยแท้ ยิ่งกว่านั้นตระกูลเซวียนหยวนมักซ่อนความลับไว้ไม่ได้ ข้างกายทุกคนคือสายลับของผู้อื่นกลุ่มใหญ่ เฉกเช่นปฏิบัติการเช่นนี้เขาสั่งให้เก็บเป็นความลับครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ายังคงรั่วไหลออกไปในชั่วพริบตาเดียว
“หากจะโทษคงต้องโทษพวกเจ้าที่โง่เง่าเอง แมลงวันตอมของเน่า! ผลประโยชน์เล็กน้อยยังวิ่งแจ้นออกมาเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน สมควรถูกผู้อื่นจัดการในคราวเดียว!” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ กวักนิ้วเรียกเซวียนหยวนฉี่
เซวียนหยวนฉี่ก้าวเข้าไปอย่างร่าเริงโดยพลัน โค้งกายอย่างคล่องแคล่วนัก เอ่ยว่า “ที่แท้เป็นองค์ราชินี เซวียนหยวนฉี่มีตาหามีแววไม่ เสียมารยาทโดยแท้ เซวียนหยวนฉี่ถวายบังคมองค์ราชินี และขอบพระทัยที่ราชินีทรงช่วยเหลือ วันหน้าหากฝ่าบาททรงหวังให้รับใช้ ทรงรับสั่งได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ดูท่าทางของเซวียนหยวนจิ้ง คงใกล้กระอักโลหิตอีกครั้งแล้ว
“เสี่ยวฉี่จื่อเอ๋ย” จิ่งเหิงปัวลูบศีรษะของเซวียนหยวนฉี่ที่อายุมากกว่านางอย่างเมตตาเหมือนไทเฮา กล่าวว่า “ภายภาคหน้า ตั้งใจเป็นผู้นำตระกูลนะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านพ่อเจ้าอายุมากแล้ว แข้งขาไม่ค่อยดี ต้องปรนนิบัติเต็มกำลัง อย่าให้ผู้ใดรบกวนเขาตามใจชอบ และอย่าให้เขากังวลเรื่องของเจ้าอีกต่อไป”
“พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ”
“ประเดี๋ยวพวกเราลงนามข้อตกลงช่วยเหลือกันฉันมิตร ข้าสนับสนุนเจ้าเข้าดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลเต็มกำลัง มอบการสนับสนุนทางทหารที่แข็งแกร่งที่สุดให้เจ้า ตระกูลเซวียนหยวนของเจ้ารวมทั้งต่อจากเจ้าต้องสนับสนุนความต้องการทุกอย่างของข้าเต็มกำลัง เงิน เสบียง คน แม้แต่ช่องทางข่าวสารทุกอย่าง การจัดวางกำลังคนทุกหนแห่ง ประเดี๋ยวเจ้าต้องมอบรายการโดยละเอียดให้ข้าหนึ่งฉบับ รวมทั้งสมุดบัญชีทุกเล่มของตระกูลเซวียนหยวนของเจ้าด้วย”
“ได้พ่ะย่ะค่ะๆ”
“วางใจ ตระกูลเซวียนหยวนของเจ้าสนับสนุนการงานของข้า ข้ารับรองว่าจะมอบสิ่งตอบแทนที่ดีที่สุดให้เจ้า ข้าจะต้องให้เจ้าดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างมั่นคง มีชีวิตอยู่สักเจ็ดสิบแปดสิบปี รอจนกระทั่งภายภาคหน้าหากทุกอย่างราบรื่น ข้ามอบแซ่ให้ตระกูลเซวียนหยวนของพวกเจ้า ในฐานะที่เป็นตระกูลข้ารับใช้ที่จงรักภักดีที่สุดของข้า อืม เปลี่ยนเป็นแซ่เฮยดีหรือไม่?”
“…พ่ะย่ะค่ะ…”
ตึง เซวียนหยวนจิ้งล้มลงแล้ว
โกรธจนหมดสติทั้งเป็น