เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 6 - 4 แย่งผู้ชายกลางถนน
“พ่อรูปงามเลิศล้ำทั่วหล้าจ้า! มองให้เจริญหูเจริญตาได้ ปกป้องได้ ทำเตียงให้อบอุ่นได้ เฉลียวฉลาดเชี่ยวชาญวรยุทธ์ ของดีราคาถูก กลิ่นอายแห่งบุรุษสูงส่ง ค้าขายยุติธรรม ราคาเริ่มต้นหนึ่งตำลึง ผู้ใดให้ราคาสูงสุด ผู้นั้นได้ไป!” อีชีตีกลองหลัวกู่ ผลักชีอี้ออกมา ร้องว่า “ผู้นี้คือพี่ใหญ่! เชี่ยวชาญ ‘หมื่นไหมพัวพัน’ สถิติยาวนานที่สุดคือสามวันสามคืน อย่าถามข้าว่าเรื่องใดสามวันสามคืน คิดเอาเอง! ยามนี้ เริ่มได้!”
จิ่งเหิงปัวสำลักออกมาดัง “พรวด” อีกครั้ง
พวกเฮฮาเจ็ดคนนี้เคยทะลุมิติ เคยมองเห็นการประมูลหรือ?
ชีอี้ทัดเส้นผมยาว นิ้วมือแตะไว้ตรงคาง บิดเอวผายสะโพกเป็นท่วงท่ารูปตัวเอส
จิ่งเหิงปัวเกาคาง ตัดสินใจว่าเดี๋ยวพอกลับไปจะเก็บค่าลิขสิทธิ์จากเขา…นี่มันขโมยคัดลอกท่วงท่าของพี่ชัดๆ เลย!
ข้างล่างเวทีเริ่มต่อรองราคาแทบจะในทันที อย่างแรกเห็นว่าแปลกใหม่ อีกอย่างเห็นว่าน่าสนุกสนาน ผู้ต่อรองราคาเป็นบุรุษที่แต่งกายเป็นเด็กรับใช้ทั้งสิ้น ทว่าไม่ไกลออกไป สาวน้อยสาวใหญ่ใช้พัดบังหน้ามองดูชีอี้ผู้มีเสน่ห์แปลกประหลาดยิ้มหวานหยาดเยิ้มอยู่บนเวที
จิ่งเหิงปัวโบกพัด เอ่ยกับจื่อหรุ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ถูกใจผู้ใดบ้างหรือไม่? หากถูกใจข้าจะซื้อกลับโรงเตี๊ยมให้เจ้าเล่นสักคน ระบายอารมณ์ได้ เตะต่อยได้ เล่นพิเรนทร์ได้ เอสเอ็มได้ เอาเงินพวกเขาจ่ายให้เจ้า”
“ขอบคุณนายท่าน” จื่อหรุ่ยถอยหลังโดยพลัน แล้วเอ่ยว่า “แต่ข้าน้อยยังอยากมีชีวิตอยู่อีกนานหลายปีเจ้าค่ะ”
จิ่งเหิงปัวเห็นว่านี่ล่ะคือความจริง
ทางนั้นเริ่มตะโกนขึ้นมาแล้ว
“สิบตำลึง!”
“ยี่สิบตำลึง!”
“ห้าสิบตำลึง!”
“หนึ่งร้อย!”
…การต่อราคากลายเป็นการแข่งขันระหว่างตระกูลร่ำรวยหลายตระกูลอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่เป็นเหล่าคุณนายที่ควบคุมทรัพย์สินของตระกูลในระดับหนึ่งและมีสิทธิ์ในการออกเสียงในระดับหนึ่ง ทว่าเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวพวกนั้นสั่งให้คนลงมือ อย่างไรเสียสภาพร่างกายเช่นนี้ของเจ็ดสังหาร เอ่ยตามตรงแล้วซื้อไว้เฝ้าจวนยังได้เลย
ราคาซื้อขายสุดท้ายของชีอี้คือสองร้อยตำลึง ราคานี้พอจะซื้อข้ารับใช้ธรรมดามากกว่าร้อยคน พวกเฮฮาแบ่งเงินกันอย่างตื่นเต้นดีใจอยู่หลังผ้ากั้น อีชีเสนอขายสินค้าหลายตัวที่เหลืออยู่อย่างโจ่งแจ้ง อีกห้าตัวขายหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วด้วยราคาที่สูงแตกต่างกัน ยามติดตามผู้ซื้อกลับไปด้วย หกตัวนั้นก็ตบมือยักคิ้วหลิ่วตา จิ่งเหิงปัวคาดว่าพอตกกลางคืน พวกผู้ซื้อจะพบว่าคนได้หายตัวไปแล้ว และเงินก็หายไปด้วย
นางตัดสินใจจะอยู่ห่างพวกเขาอีกสักหน่อย
“เจ้าเจ็ดเอ๋ย ข้าเป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน…” ยามที่เจ้าเฮฮาจากไป แต่ละคนก็กอดต้นขาของอีชีไว้พลาง ‘อำลาชั่วนิรันดร์’ กับเขา บนร่างกายของอีชีเปรอะเปื้อนด้วยน้ำมูกน้ำลายมากมายที่พวกเขาร่ำไห้ออกมาอย่างรวดเร็ว…
อีชียุ่งอยู่กับการนับเงิน ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่เอาชุดคลุมนี้แล้ว ประเดี๋ยวแอบอมเงินของพวกเขาไว้แล้วซื้อชุดคลุมไหมน้ำแข็งที่แพงที่สุดในแคว้นเซียงสักชุด ไม่สิ ต้องซื้อสามชุด ชุดหนึ่งไว้สวมใส่ อีกชุดหนึ่งไว้รองนั่ง ส่วนชุดสุดท้ายเอาไว้สั่งน้ำมูก!
“ขายหมดแล้วๆ” พอเขานับเงินเสร็จจึงโบกมืออำลาทุกคน
บนอาคารหลังหนึ่งที่อยู่ด้านข้างพลันมีคนผลักหน้าต่างออกดังพลั่ก ชะโงกร่างออกมาตะโกนลั่นว่า “นี่! พวกเจ้าเอ่ยว่าขายทั้งหมดเจ็ดคนมิใช่หรือ? เหตุใดเจ้าไม่ขายตนเองด้วย”
อีชีชะงัก เงยหน้าขึ้นมองข้างบน ผู้ชะโงกศีรษะออกมาจากอาคารคือสาวน้อยนางหนึ่ง นางมีนัยน์ตากลมโต คิ้วดกดำ เดิมทีหน้าตาควรองอาจผึ่งผายยิ่งนัก ทว่าเกิดมามีดวงตาเปี่ยมด้วยไอน้ำแวววาว ทั่วทั้งร่างขัดแย้งกันอย่างมีเสน่ห์ตั้งแต่กำเนิด นับเป็นสตรีที่มีเอกลักษณ์อย่างยิ่งยวด
พฤติกรรมก็มีเอกลักษณ์ยวดยิ่งเช่นกัน…นางใช้นิ้วมือชี้ไปยังอีชี เอ่ยเสียงดังว่า “ข้าถูกใจเจ้าแล้ว จะซื้อเจ้า!”
ถนนการค้าที่มีเสียงดังโหวกเหวกโวยวายพลันเงียบสงัดลง สีหน้าบนใบหน้าของทุกคนพลันแปรเปลี่ยนไปหลากหลายสีสัน
การประมูลก่อนหน้านี้คึกคักเร่าร้อน แท้จริงแล้วผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นสตรี ทว่าอย่างไรก็ตาม มองผิวเผินเห็นว่าซื้อไปเฝ้าจวน ซ้ำผู้ออกหน้ายังเป็นผู้ติดตามของแต่ละจวน ถึงอย่างไรจะต้องห่วงศักดิ์ศรีสักหน่อย สะท้านการมองการฟังจนเกินไปคงไม่งาม
นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวที่สาวน้อยสาวใหญ่ผู้ร่ำรวยมากมายยังไม่กล้ากระทำ สาวน้อยที่มองปราดเดียวยังรู้ว่าเยาว์วัยนางนี้ได้กระทำลงไปต่อหน้าต่อตาราษฎรแล้ว
ชั่วขณะนี้ศีรษะของทุกผู้คนบนท้องถนนต่างหันไปทางอาคารหลังนั้นประหนึ่งดอกทานตะวัน มองจากข้างบนลงไปข้างล่างคือปากที่อ้ากว้างมืดมิดนับไม่ถ้วน หากสาดเม็ดแตงสักกำมือหนึ่งลงไป คนนับร้อยคงได้กินเป็นแน่
บนอาคารข้างหลังหน้าต่าง มือข้างหนึ่งยื่นออกมาคล้ายจะลากสาวน้อยไป ทว่าสาวน้อยสะบัดมือนั้นออกอย่างเอาแต่ใจตัวเอง
“หนึ่งพันตำลึง!” นางตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาล ฉวยมือโยนตั๋วเงินใบหนึ่งลงมา ร้องว่า “ขาดตัว!”
อีชีรีบรับเอาไว้ พอรับไว้แล้วรู้สึกว่ายุ่งยาก แววตาเหลียวมองรอบด้าน เริ่มขยับริมฝีปากใส่ฝูงชนโดยพลัน
“ภรรยา! รีบซื้อข้าเร็วเข้า! มิฉะนั้นสามีเจ้าจะถูกผู้อื่นซื้อไปแล้วนะ!”
ทุกคนไม่รู้ว่าริมฝีปากเขาประเดี๋ยวหุบประเดี๋ยวอ้าทำอะไร มองหน้ากันไปมา จิ่งเหิงปัวที่อยู่กลางฝูงชนพลันกุมขมับ
ไม่ต้องทายว่าเขาเอ่ยว่าอะไร มองเห็นคำว่าภรรยาสองคำนั้นก็พอแล้ว
เจ้าอีชีคนนี้จะลากนางเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีกแล้ว
“ภรรยาเอ๋ย ร่างกายของข้า ดวงใจของข้า ทุกสิ่งของข้าเป็นของเจ้า หากเจ้าไม่ยอมซื้อข้าข้าจะลากเจ้าออกมาด้วยนะ!”
เหยียลี่ว์ฉียืนอยู่ใกล้นาง มองสีหน้าคล้ายยิ้มทว่าไม่ได้ยิ้มนั้นคล้ายคิดจะทำให้เรื่องราวแย่ลง
จิ่งเหิงปัวเก็บแผ่นไม้ที่ไม่รู้ว่าใครทิ้งเอาไว้บนพื้นแผ่นหนึ่งมาบดบังใบหน้า ก่อนจะเริ่มประมูลแข่งขัน
“ข้าอยากได้เขาเช่นกัน!” นางเอ่ยว่า “หนึ่งพันเอ็ดตำลึง!”
เสียงดังลั่นเสียงหนึ่ง ศีรษะของทุกคนที่เงยหน้าอยู่ก้มลงมาดังสวบ หันมาทางนาง
แผ่นไม้บดบังใบหน้าของจิ่งเหิงปัวไว้อย่างแน่นหนา
นางสูญเสียคนคนนี้ไปไม่ได้
สาวน้อยที่อยู่บนอาคารนึกไม่ถึงว่าจะมีคนก่อกวน พลันหน้านิ่วคิ้วขมวด ร้องว่า “สองพันตำลึง!”
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ แต่เสียงไม่ได้แผ่วเบาลงไปด้วยแม้แต่น้อย
“สองพันเอ็ดตำลึง”
“สามพันตำลึง!” สาวน้อยใกล้เสียสติแล้ว
“สามพันเอ็ดตำลึง”
“สี่พันตำลึง!”
“สี่พันเอ็ดตำลึง”
ไม่ว่าอย่างไรข้าจะมากกว่าเจ้าหนึ่งตำลึง
ทั่วท้องถนนเงียบสงัดอย่างแปลกประหลาดก่อน หลังจากนั้นก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะลั่น
ใบหน้าของสาวน้อยบนอาคารเริ่มแดงซ่านขึ้นมาแล้ว พลันกระชากป้ายหยกตรงเอวอย่างรุนแรงหวังจะโยนลงไป พลันมีคนพุ่งเข้ามาขวางนางไว้ เอ่ยด้วยเสียงร้อนรนว่า “ไม่ได้!”
แววตาของจิ่งเหิงปัวจับจ้อง…นางจำคนคนนี้ได้!
คนที่ผลักนางลงจากหลังคาบ้านเมื่อคืนนี้คนนั้น!
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า หลีกไป!” สาวน้อยเขวี้ยงป้ายหยกลงมาอย่างรุนแรง ร้องว่า “ป้ายหยกนี้มูลค่ามหาศาล ตีราคาหนึ่งหมื่นตำลึง!”
เสียงหัวเราะทั่วท้องถนนขาดสะบั้น ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ป้ายหยกราคาหมื่นตำลึงไม่ใช่สิ่งของที่ตระกูลใดจะหยิบออกมาจ่ายได้ง่ายดาย อย่างน้อยที่สุดคงต้องเป็นตระกูลใหญ่โตระดับสุดยอด ล่วงเกินคนพวกนี้ไม่ได้
อีชีมัวแต่รับไว้อย่างยิ้มแย้มเบิกบาน ใช้สายตาบอกใบ้จิ่งเหิงปัวว่าไม่ต้องร่วมเล่นละครต่อไปแล้ว เขารู้สึกว่าราคานี้เหมาะสม เพียงพอให้เขาคุยโวโอ้อวดเบื้องหน้าเหล่าศิษย์น้องได้แล้ว ร่ำรวยขนาดนี้อย่าได้ปล่อยไปเชียว ประเดี๋ยวเขาจะตามนางไปเที่ยวเล่นสักรอบ หอบเงินกลับมาให้ภรรยาซื้อช่อดอกไม้ จุ๊บๆ
จิ่งเหิงปัวชำเลืองตามองป้ายหยกนั่นแวบหนึ่ง ก่อนตัดสินใจว่าจะไม่สนใจเขา
“หนึ่งหมื่นเอ็ดตำลึง”
เสียงดังลั่นเสียงหนึ่ง ทุกคนหันหน้ากลับมาอย่างตื่นตะลึง หวังมองดูว่าสตรีที่กล้าเอาจริงเอาจังกับตระกูลใหญ่โตนางนี้เป็นผู้ใดมาจากที่แห่งใด น่าเสียดายเพียงไม่ว่าจะเขย่งเท้าชะโงกหน้าอย่างไร ใบหน้าของจิ่งเหิงปัวก็แอบซ่อนอย่างมิดชิดอยู่ข้างหลังแผ่นไม้
“เสี่ยวปัวร์” เหยียลี่ว์ฉีขยับเข้ามาใกล้นาง กระซิบว่า “หากวันหนึ่งวันใดข้าถูกผู้อื่นแย่งชิงบ้าง เจ้าจะมุ่งไปแย่งชิงข้าโดยไม่ห่วงตนเองเพียงนี้หรือไม่”
จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาว…ดวงตาข้างไหนของเขาที่มองเห็นตนเอง ‘มุ่งไปแย่งผู้ชายโดยไม่ห่วงตัวเอง’ หรือ?
นางถูกบังคับต่างหากเล่า!
“หากวันหนึ่งวันใดเจ้าถูกผู้อื่นรุมสังหาร ข้าจะมุ่งไปแทงซ้ำอีกสักแผลโดยไม่ห่วงตนเองเลย” นางหัวเราะฮิๆ
เหยียลี่ว์ฉีมองนางอยู่ชั่วครู่คล้ายกำลังจำแนกจริงเท็จจากวาจาประโยคนี้ของนาง หากเป็นแต่ก่อนเขาคงหัวเราะฮ่าๆ คิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นแน่แท้ ทว่ายามนี้ แม้รอยยิ้มจะเสมือนยามแรกราวพิมพ์เดียวกัน แต่เขาคงไม่อาจแน่ใจว่าจริงหรือเท็จได้อีกแล้ว
ลมหนาวดาวเดือนผ่านผัน วันเก่าเยาว์วัยไร้หวนคืน
สาวน้อยที่อยู่บนอาคารเดือดดาลยิ่งนัก ใบหน้าอมชมพูพลันเขียวคล้ำ และไม่เอ่ยวาจา ปิดหน้าต่างโดยพลัน จากนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงลงบันไดอย่างรวดเร็วดังตึกๆๆ อย่างชัดเจน ตามมาด้วยเงาร่างที่พุ่งออกมาจากประตูใหญ่ ชี้ไปยังอีชี ร้องว่า “แย่งล่ะ!”
เงาคนกะพริบวูบต่อเนื่อง ชายร่างใหญ่กลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางฝูงชนโดยพลัน คว้าอีชีในครั้งเดียว จับไว้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว อีชีเองก็ไม่ดิ้นรนเช่นกัน ยิ้มแย้มอย่างปรีดาแล้วเอ่ยว่า “โอ๊ย เบาหน่อย!”
รถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามา ชายร่างใหญ่ยัดอีชีเข้าไปในรถม้า ส่วนตนเองกระโจนขึ้นรถ ลงแส้แล่นทะลุผ่านฝูงชน ทุกคนทยอยหลีกทาง มองดูรถม้าจากไปด้วยความรวดเร็วเสียจนฝุ่นตลบอบอวล
การกระทำนี้รวดเร็วราบรื่นเสียจนน่าตื่นตะลึง ทุกคนเพิ่งจะได้ยินคำว่าแย่งนั้นอย่างชัดเจน ครู่ต่อมาคนก็ถูกแย่งชิงพาขึ้นรถม้าไปแล้ว บนถนนสายยาวเงียบสงัดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปรบมือกันเกรียวกราว ต่างรู้สึกว่ายอดเยี่ยม…สตรีคู่นี้แต่ละนางล้วนมีความดุดันและความเด็ดเดี่ยว แม้แต่แย่งบุรุษยังน่าเกรงขามขนาดนี้
สาวน้อยนางนั้นเท้าสะเอวยืนอยู่ข้างประตูโรงน้ำชา เชิดคางขึ้นเล็กน้อย แลมองไม่เห็นสีหน้าลำพองใจ ทว่ามองโรงน้ำชาอย่างโกรธเคืองแวบหนึ่ง โรงน้ำชาไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว บุรุษที่ขัดขวางนางก่อนหน้านี้ไม่ได้ลงมาจากอาคารด้วย
สาวน้อยรออยู่สักพัก สีหน้าก็อัปลักษณ์มากยิ่งขึ้น กระทืบเท้าอย่างรุนแรง เอ่ยว่า “ไป กลับไปชื่นชมของล้ำค่าที่แย่งชิงมาเถิด!”
รถม้าอีกคันหนึ่งแล่นเข้ามา ล้อชาดอานแกะสลัก กระดิ่งทองม่านไหม งดงามล้ำค่ายิ่งนัก สาวน้อยหันหน้ากลับมามองโรงน้ำชาที่ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวอีกปราดหนึ่ง ขยุ้มชายกระโปรงขึ้นรถด้วยความโมโห สะบัดม่านลงมาอย่างรุนแรง ร้องว่า “ไป!”
ภายในรถม้าลำแสงมืดสลัว นางกำลังฉุนเฉียว พอสะบัดก้นนั่งลงแล้วพลันรู้สึกว่าผิดปกติ
…ข้างกายมีคน!
นางหันหน้าโดยพลัน ข้างกายมีคนผู้หนึ่งโอบไหล่ของนางไว้ด้วยท่าทางหวานชื่นสนิทสนมแล้ว ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “อรุณสวัสดิ์นะจ๊ะ”
คนคนนี้คือจิ่งเหิงปัวนั่นเอง
“เจ้า…” สาวน้อยนางนั้นคิดจะร้องตะโกน มือของจิ่งเหิงปัวก็อุดปากของนางไว้แล้วกล่าวว่า “อย่าร้อง ที่รัก ข้าขี้ขลาดตาขาว หากร้องตะโกนขึ้นมาแล้วข้ามือสั่น มีดทิ่มเข้าไปในเนื้อเจ้า เช่นนั้นคงไม่ค่อยดีแล้วล่ะ”
สาวน้อยรู้สึกเพียงว่าบริเวณเอวคล้ายมีของแข็งค้ำยันไว้ ไม่กล้าขยับเขยื้อนมั่วซั่วโดยพลัน พยักหน้าทั้งน้ำตา
จิ่งเหิงปัวพินิจนางด้วยความสนใจ แม่นางคนนี้มีดวงตางดงามดู่หนึ่งแต่กำเนิด แม้ไม่หลั่งน้ำตาทว่ายังมีไอน้ำแพรวพราว พอน้ำตาคลอกลายเป็นดวงเนตรหยาดเยิ้มดั่งสายธารยามสารท คู่ควรกับคำว่าบริสุทธิ์สดใสโดยแท้ อาศัยเพียงดวงตางดงามคู่นี้ บนโลกนี้คงมีบุรุษที่ต่อต้านนางได้เหลืออยู่ไม่มากแล้ว
เพียงแต่นิสัยไม่ค่อยสอดคล้องกับดวงตาคู่นี้สักเท่าไรนัก
จิ่งเหิงปัวคว้าผลไม้เคลือบน้ำตาลลูกหนึ่งมากิน ปลายไม้เสียบผลไม้เคลือบน้ำตาลกำลังจ่อแน่นิ่งอยู่บนเอวของสาวน้อย
“เจ้ากำลังกินสิ่งใด…” สาวน้อยไม่กล้าขยับเขยื้อน และไม่กล้ามองมั่วซั่ว ถามพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
จิ่งเหิงปัวเคี้ยวน้ำตาลก้อนจนแหลกละเอียด กล่าวอย่างคลุมเครือว่า “ลูกตา”
ในปากนางมีเสียงดังกร๊อบแกร๊บ ลูกตาถูกขบเคี้ยว กระจัดกระจาย แหลกละเอียด…
สาวน้อยสั่นระริก ถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เจ้า…เจ้าอย่าควักลูกตาข้า…ข้า…ข้ามีเงิน ข้าจะให้เงินเจ้า!”
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะมีเงินหรือไม่” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างกลัดกลุ้มว่า “อย่างไรเสียคนข้างกายข้ายากจนกว่าข้าทั้งนั้น”
“เช่นนั้น…ข้าจะให้เจ้าเป็นขุนนาง ข้าช่วยเจ้าหาวิธีเป็นขุนนางตั้งแต่ขั้นสี่ลงไปได้ทั้งนั้น…”
“จริงหรือ?” จิ่งเหิงปัวถามอย่างดีใจ
“จริงสิๆ! เจ้าปล่อยข้าไปเถิด!”
“ข้าอยากเป็นกษัตริย์แคว้นเซียงได้หรือไม่?”
“…”