เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 808 หาทางเยียวยารักษา
ตอนที่ 808 หาทางเยียวยารักษา
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินผุดลุกขึ้นยืนด้วยความเดือดดาล
ทั่วทั้งจวนผู้ว่าได้เหรียญทองคำกลับมาแค่ 100,000 เหรียญเท่านั้นหรือ?
ทำไมถึงน้อยนิดเพียงนี้?
หลินเป่ยเฉินมองหน้าหวังจงและหลินฮุนด้วยแววตาอาฆาตแค้น
หรือว่าชายชราทั้งสองคนนี้แอบยักยอกเงินบางส่วนไป?
“นายน้อยขอรับ พวกเราได้มาเพียงเท่านี้จริงๆ…”
หวังจงรีบอธิบายรวดเร็ว “ข้าน้อยมีนามว่าหวังจง คำว่าจงมาจากจงรักภักดี แล้วหวังจงจะโกหกนายน้อยได้อย่างไร? หวังจงสั่งให้ผู้คนตรวจค้นจวนผู้ว่าแล้ว แต่กลับไม่พบทรัพย์สินเพิ่มเติมเลยแม้แต่เหรียญเดียว หากเรื่องราวนี้หลินฮุนไม่ได้มีเจตนาปิดบังเก็บซ่อนสมบัติเอาไว้เอง นั่นก็หมายความว่าเหลียงหยวนเตาเป็นเจ้าเมืองที่ยากจนเหลือเกินขอรับ”
หลินฮุนรีบกล่าวด้วยความร้อนรนว่า “กราบเรียนนายหน่อย เหลียงหยวนเตาเป็นผู้ใช้จ่ายเงินมือเติบ ปัจจุบันนี้ เขาไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่ทุกคนเข้าใจอีกแล้วขอรับ”
พูดจบ ขันทีเฒ่าก็ขยิบตา
หลินเป่ยเฉินชะงักกึก นึกสงสัยอยู่ว่าขันทีชราจะมาขยิบตาให้เขาทำไม แต่แล้วในทันใดนั้นเอง เด็กหนุ่มก็นึกอะไรขึ้นมาได้
จริงด้วยสินะ
ก่อนที่หน่วยคนงานขุดเหมืองจะมาถึง เขากับหลินฮุนได้เข้าไปค้นในห้องเก็บสมบัติมาแล้ว
เอ้อ…!
ลืมไปซะสนิทเลย
เหลียงหยวนเตาสมควรตายเป็นร้อยครั้งพันครั้งจริงๆ เขาคือปรสิตที่เกาะกินนครเจาฮุยโดยแท้!
นึกแล้วก็อยากให้ชายอ้วนฟื้นคืนชีพกลับมาอีกสักครั้ง หลินเป่ยเฉินจะได้ระบายแค้นให้สาสมใจ
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก่อนพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เอาล่ะ ข้าจะเชื่อคำอธิบายของเจ้าก็ได้ แต่บัดนี้สถานการณ์ที่กำแพงเมืองกำลังตึงเครียด แบ่งกำลังหน่วยทหารคนงานขุดเหมืองออกเป็นหกหลุ่ม ให้พวกเขาประจำการอยู่ตามกำแพงเมืองทั้งสี่ทิศและเปลี่ยนเวรกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นชุดเกราะหรืออาวุธรวมไปถึงทรัพยากรสำคัญ จงเตรียมให้พร้อมสำหรับการใช้งาน… อีกอย่าง ข้าขอสั่งห้ามไม่ให้เฉียนเหมยออกไปสู้รบที่กำแพงเมืองเด็ดขาด”
“เอ๋?”
เฉียนเหมยอ้าปากเหวอด้วยความตกใจ
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น
สาวรับใช้ผู้นี้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งได้ ก็เพราะว่าแบ่งปันพลังไปจากเขาผ่านการแชร์สัญญาณไวไฟ
บัดนี้ เมื่อโทรศัพท์มือถืออยู่ระหว่างการอัปเกรด หลินเป่ยเฉินย่อมไม่สามารถแบ่งปันพลังให้ผู้อื่นได้ตามปกติ ด้วยระดับพลังที่แท้จริงของเฉียนเหมยซึ่งอยู่เพียงขั้นปรมาจารย์ หากให้ลงสู่สนามรบ แม้มีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน เกรงว่านางก็คงถูกนักรบชาวทะเลฆ่าตายโดยไม่ทันได้ชักกระบี่ด้วยซ้ำ
แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของหลินเป่ยเฉิน เฉียนเหมยก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
นางยังคงเป็นบ่าวรับใช้ที่เชื่อฟังเขาอยู่เสมอ
เมื่อจัดแจงเรื่องราวต่างๆ เสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็นึกอะไรได้บางอย่าง จึงพูดว่า “ชาวทะเลมาปิดล้อมเมืองเราเช่นนี้ ชาวเมืองคงหวาดกลัวไม่ใช่น้อย พวกเราต้องเฝ้าระวังไม่ให้มีผู้ใดก่อปัญหาในตัวเมืองเด็ดขาด… อ้อ จริงด้วยสิ ก่อนหน้านี้ข้าสั่งให้เจ้าไปตามจับตัวบุคคลที่ชื่อว่าเว่ยหมิงเซวียน ไม่ทราบว่าขณะนี้จับมาได้แล้วหรือยัง?”
“กราบเรียนนายท่าน ข้าน้อยยังจับไม่ได้ขอรับ”
กงกงปรากฏตัวขึ้นมาจากกลางอากาศเหมือนกับวิญญาณตนหนึ่งและประสานมือคำนับรายงานด้วยความนอบน้อม
ให้ตายสิ!
หลินเป่ยเฉินถึงกับสะดุ้งโหยง
ไม่ทราบเลยว่าคนขับรถม้าผู้นี้ไปเรียนวิชาหายตัวมาจากไหน อยู่ดีๆ เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป ทำเอาเขาตกใจหมด
“นายท่านขอรับ ในตัวเมืองยังคงมีพวกมือปราบอินทรีธูมรณะซ่อนตัวอยู่พอสมควร พวกมันถือเป็นคนของเหลียงหยวนเตาและคนของตระกูลเว่ย ในเมื่อไม่ได้เป็นตัวดีอยู่แล้ว พวกมันอาจอาศัยโอกาสนี้ก่อความวุ่นวายขึ้นก็เป็นได้…”
กงกงค้อมศีรษะลงและขออนุญาตว่า “ได้โปรดให้ข้าน้อยได้จัดการถอนรากถอนโคนพวกมันด้วยเถิดขอรับ รับรองว่าข้าน้อยจะต้องจับตัวเว่ยหมิงเซวียนได้ภายในสามวันแน่นอน”
เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มก็พยักหน้าอนุญาตโดยทันที
อันที่จริงแล้ว
พวกลูกน้องเก่าของเหลียงหยวนเตาปล่อยไว้ก็ถือว่าเป็นเสี้ยนหนามที่ไม่จำเป็น เขาต้องรีบกำจัดทิ้งให้ได้โดยเร็วที่สุดอยู่แล้ว
เพราะหลินเป่ยเฉินไม่อาจรู้ได้เลยว่ากลุ่มคนเหล่านั้นจะคิดทำอะไรอีกบ้าง
หากพวกมันคิดก่ออาชญากรรม นั่นไม่เท่ากับว่าพวกเขาก็จะต้องรับมือทั้งศึกนอกและศึกในภายในเวลาเดียวกันหรือ?
“เอาละ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นแบบยอดนักสืบจิ๋วและพูดว่า “พ่อบ้านหวัง เจ้าร่วมมือกับหลินฮุนส่งคนออกไปสืบข่าวของพวกมันมาให้ได้มากที่สุด”
หวังจงยิ้มแป้น “ข้าน้อยรับคำบัญชา”
เห็นไหมล่ะ นายน้อยยังคงเชื่อใจข้ามากกว่าเจ้า
เขาหันกลับไปมองหน้าขันทีชราด้วยแววตาเย้ยหยัน
หึหึ
อีกอย่าง การสืบสวนหาข่าวและตรวจค้นตามหมู่ตึกต่างๆ ยังเป็นข้ออ้างในการหาเงินที่ดีอีกด้วย
ครั้งนี้ ถ้าพวกเขาทำได้แนบเนียนมากพอ ก็จะมีเหรียญทองคำกลับมาฝากนายน้อยอีกกองพะเนิน
และถ้ามีสาวๆ สวยๆ อีกสักหลายๆ คนส่งไปหานายน้อยในกระโจมบนยอดต้นไม้ นายน้อยก็จะต้องดีใจมากแน่นอน
นี่คือแผนการที่หวังจงร่างอยู่ในใจ ตลอดเวลาที่รับใช้นายน้อยมานานนับสิบปี มีหรือที่หวังจงจะไม่รู้ว่าหลินเป่ยเฉินต้องการอะไรบ้าง?
หลินเป่ยเฉินไม่ทันสังเกตเลยว่าหวังจงกำลังยืนใช้ความคิดด้วยสีหน้าเข้มขรึม เขาก็หันมาสั่งงานต่อฉุยเฮาเฟิงว่า “สงครามที่กำแพงเมืองอยู่ในสภาวะหนักหน่วง ผู้อพยพคงต้องดำรงชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก… ปัญหาข้อนี้จะแก้ไขอย่างไรคงเป็นหน้าที่ของท่านเจ้าเมืองฉุยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามันก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดา อาจช่วยเหลือท่านไม่ได้มากนัก”
ฉุยเฮาเฟิงถึงกับพูดอะไรไม่ออก
หลินเป่ยเฉินขี้เกียจทำงานสิไม่ว่า
เด็กหนุ่มธรรมดาอะไรกัน?
หลินเป่ยเฉินมีพลังอยู่ในขั้นเซียนแล้วไม่ใช่หรือ?
ทุกคนแยกย้ายกระจายตัวกลับออกไปจากกระโจมบนยอดไม้
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบร้องเรียกว่า “ท่านเจ้าเมืองฉุย หลินฮุน พวกท่านอยู่ที่นี่ก่อน”
ผู้ที่ถูกเรียกหยุดชะงักยืนอยู่กับที่ด้วยความพิศวง
หลินเป่ยเฉินไม่พูดอะไรอีก เขาจัดการโคจรพลังปราณธาตุน้ำ และโยนวงแหวนวารีครอบลงไปที่ศีรษะของฉุยเฮาเฟิงทันที
ฉุยเฮาเฟิงมีสถานะเป็นถึงศิษย์จากเมืองเจี้ยนหยวน ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการสร้างมือกระบี่ฝีมือเลิศล้ำ ก่อนหน้านี้ เขาก็มีระดับพลังไม่ต่ำต้อย แต่โชคร้ายที่เมื่อถูกจับตัวกลายเป็นนักโทษ ฉุยเฮาเฟิงก็ถูกทำลายวรยุทธ์หมดสิ้น
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินอยากจะลองหาทางรักษาดูว่า เมื่อตนเองมีพลังอยู่ในขั้นเซียนแล้ว เขาจะสามารถใช้วงแหวนวารีช่วยฟื้นคืนพลังลมปราณและร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บเรื้อรังของฉุยเฮาเฟิงได้สำเร็จหรือไม่
“นี่มัน…”
ฉุยเฮาเฟิงรู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เขารู้สึกสบายจนเกือบจะส่งเสียงครางออกมา แต่โชคดีที่สามารถสะกดกลั้นเสียงได้ทันเวลา และสุดท้าย ก็ได้แต่หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความประหลาดใจ
หืม?
ไม่เกิดอะไรขึ้นเลยหรือ?
“ท่านเจ้าเมืองฉุย ไม่ทราบว่าท่านมีความรู้สึกใดเป็นพิเศษหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความอยากรู้
ฉุยเฮาเฟิงมีสีหน้าขบคิดและตอบว่า “รู้สึกสดชื่น คึกคักแจ่มใส ความอ่อนล้าอ่อนเพลียในร่างกายสลายหายไปสิ้น…”
“แล้วรากฐานพลังลมปราณของท่านฟื้นฟูขึ้นมาหรือไม่?”
“เรื่องนั้น… ดูเหมือนว่า… จะไม่ฟื้นฟู”
“เฮ้อ ล้มเหลวอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้
แต่ถึงกระนั้น เด็กหนุ่มก็ยังโยนวงแหวนวารีออกไปอีกหลายวง
ทำให้วงแหวนที่ซ้อนทับกันอยู่เหนือศีรษะของฉุยเฮาเฟิงกลายเป็นสีเขียวแล้ว
แต่พลังลมปราณในร่างกายของท่านเจ้าเมืองหนุ่มกลับไม่เพิ่มขึ้นเลย
ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผลจริงๆ แฮะ
ถึงหลินเป่ยเฉินจะมีพลังอยู่ในขั้นเซียน แต่วงแหวนวารีของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาผู้ที่ถูกทำลายวรยุทธ์ได้อยู่ดี
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าฉุยเฮาเฟิงได้รับบาดเจ็บมายาวนานมากเกินไป วงแหวนวารีถึงใช้ไม่ได้ผล?
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ต้องเลิกล้มความพยายาม
ฉุยเฮาเฟิงเข้าใจถึงเจตนาของหลินเป่ยเฉิน หัวใจของเขาจึงรู้สึกอบอุ่น เมื่อขอบคุณเด็กหนุ่มแล้ว ฉุยเฮาเฟิงก็หมุนตัวเดินออกไปทันที
หลินเป่ยเฉินหันขวับมาจ้องมองที่หลินฮุน
ขันทีชราผู้นี้มีระดับพลังสูงส่ง ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ขาดหายก็เพียงส่วนเดียวเท่านั้น
ส่วนของความเป็นชาย
เมื่อเทียบความสมบูรณ์ของร่างกายหลินฮุนแล้ว เขามีคุณสมบัติดีพอที่จะสามารถเลื่อนขึ้นสู่ขั้นเซียนได้ในอนาคต
หลินเป่ยเฉินไม่พูดไม่จา โยนวงแหวนวารีใส่ศีรษะของชายชราทันที
หลังจากนั้น เขาก็จ้องมองหลินฮุนด้วยแววตาคาดหวัง สอบถามว่า “ในขณะนี้ เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินฮุนเกิดความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย เขาเกือบจะส่งเสียงร้องครางออกมา แต่ก็กลั้นเสียงเอาไว้ได้สำเร็จ เมื่อพินิจดูความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ขันทีชราก็กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงมากขึ้น พลังลมปราณกลับมาเติมเต็มมากกว่าปกติ… สมแล้วที่เป็นเคล็ดวิชาของผู้มีพลังระดับเซียน…”
“เฮอะ”
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะโดยทันที “ใครสอนให้เจ้าเลียนแบบการประจบของหวังจง ข้าไม่ชอบนิสัยนี้เลยจริงๆ”
ทันใดนั้น หลินฮุนมีสีหน้าอับอาย
เขารู้แล้วว่าตนเองยังเข้าใจในตัวหลินเป่ยเฉินน้อยเกินไป
ปรากฏว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ชอบการประจบประแจง
หลินเป่ยเฉินมองมาที่ขันทีชราอีกครั้งและกล่าวว่า “ข้ากำลังถามเจ้า… เจ้ารู้สึกว่ามี ‘บางสิ่งบางอย่าง’ งอกกลับคืนมาหรือไม่”
หลินฮุนได้ยินดังนั้นก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก
เขาไม่เคยโกรธเมื่อถูกถามถึงความเป็นชายที่ถูกตัดทิ้งไปยาวนานหลายสิบปี
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชายชราคุ้นเคยกับการเป็นขันทีแล้ว
เขายังคงมีแขนขาเช่นคนปกติ…
ยังคงฝึกวิทยายุทธ์ได้อย่างแข็งแกร่ง
แต่หลินฮุนได้ยินมาว่าถึงตนเองจะขึ้นสู่ระดับเซียนได้สำเร็จ ทว่า ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะงอกความเป็นชายกลับขึ้นมาใหม่
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ โอกาสที่ชีวิตนี้หลินฮุนจะขึ้นสู่ขั้นเซียนได้สำเร็จมีเพียงน้อยนิด
นั่นแปลว่าชีวิตนี้เขาไม่มีทางกลับมาเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวได้อีกแล้ว
แต่แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ประเด็นสำคัญของคำถามนี้ก็คือ ผู้ถามเป็นใคร?
ถ้าผู้ที่ถามคำถามนี้ออกมาคือหลินเป่ยเฉิน มันก็เป็นเพียงคำถามธรรมดา
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้อื่นถาม แม้แต่คนอย่างเกาเฉิงฮั่น ก็รับรองว่าต้องมีตายเป็นศพกันไปข้าง
ส่วนผู้ที่ตายจะเป็นเขาเองหรืออีกฝ่ายนั้น หลินฮุนก็ยังไม่แน่ใจ
“ไม่มีขอรับ”
หลินฮุนให้คำตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
หลินเป่ยเฉินโยนวงแหวนวารีออกมาอีกหลายสิบครั้ง ครอบคลุมศีรษะของหลินฮุน จนพวกมันกลายเป็นวงแหวนสีเขียวปัด
ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“เจ้าจะไปไหนก็ไป”
หลินเป่ยเฉินโบกมือไล่ด้วยความผิดหวัง
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ขาดหายไปของขันทีชราคงไม่สามารถนำกลับคืนมาได้อีกแล้ว
หลินฮุนหมุนตัวเดินกลับออกไปแต่โดยดี
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินถอดเสื้อผ้าเข้าไปนอนแช่น้ำอุ่น ได้รับการนวดคลึงจากเฉียนเหมยกับเฉียนเจิน เรียบร้อยแล้วก็โยนวงแหวนวารีครอบศีรษะของสองสาวรับใช้ไปคนละหลายวง พวกนางจึงรู้สึกสดชื่นแจ่มใสมากกว่าเดิม
“พวกเจ้าได้ไปเยี่ยมดูหลิงเฉินบ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามระหว่างเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ “นางฟื้นตัวแล้วหรือยัง?”
เพื่อปกป้องหลินเป่ยเฉิน หลิงเฉินถึงกับยอมเสี่ยงอันตรายเข้ามารับการโจมตีแทนเขา และนั่นก็ส่งผลให้เด็กสาวนอนสลบไม่ได้สติ
ถ้าได้รับวงแหวนวารีก็คงช่วยได้บ้าง
เฉียนเหมยรีบตอบว่า “คุณหนูหลิงยังคงไม่ฟื้นเจ้าค่ะ แต่ท่านเจ้าเมืองหลิงกับฮูหยินของเขาได้มาดูแลคุณหนูที่หมู่บ้านผู้อพยพของพวกเราแล้ว”
หืม?
ท่านพ่อตากับท่านแม่ยายอุตส่าห์มาถึงที่นี่เลยหรือ?
เด็กหนุ่มรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
หลายเดือนก่อน หลินเป่ยเฉินเป็นฝ่ายรับปากเองว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับบุตรสาวของพวกเขาอีก
แต่ปรากฏว่า…
หลินเป่ยเฉินกลับเป็นต้นเหตุที่ทำให้บุตรสาวของพวกเขาต้องหมดสติไป
แล้วจะอธิบายอย่างไรดีนะ?
เพียงแค่คิดก็ชวนปวดหัวแล้ว
หลังจากนั้น
เฉียนเหมยก็นำทางเด็กหนุ่มเดินตรงไปยังสำนักพยาบาลที่อยู่กลางค่ายผู้อพยพ
นับตั้งแต่ที่หลิงเฉินหมดสติ หลินเป่ยเฉินก็สั่งให้อานมู่ซีมาตรวจดูอาการและจ่ายยาให้ตามความเหมาะสม
ด้วยตำแหน่งผู้ดูแลสูงสุดประจำโรงหลอมโอสถของค่ายผู้อพยพ อานมู่ซีคือความภาคภูมิใจของทุกคน ในเรื่องของยารักษาโรค ไม่มีผู้ใดจะมีความสามารถมากไปกว่าเขาอีก
ณ ปัจจุบัน ไม่มีใครไม่ยอมรับในฝีมือของอานมู่ซี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนักหลอมโอสถหนุ่มมีวัตถุดิบชั้นดีจากการสรรหาของหลินเป่ยเฉิน จึงไม่มียารักษาโรคชนิดใดที่เขาจะหลอมออกมาไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตาม
ก่อนหน้านี้ คู่สามีภรรยาตระกูลหลิงมีความต้องการที่จะนำตัวบุตรสาวกลับไปรักษาด้วยตนเอง โดยเฉพาะชินหลันซูผู้ปฏิเสธหลินเป่ยเฉิน แน่นอนว่านางคงไม่อยากปล่อยให้บุตรสาวอยู่ในค่ายผู้อพยพอีกแม้แต่ลมหายใจเดียว แต่เมื่อเห็นสมุนไพรวิเศษจำนวนมากมายที่อยู่ในสำนักพยาบาลแห่งนี้แล้ว นางก็ถึงกับต้องเปลี่ยนใจ
พวกเขาเลือกที่จะอยู่เฝ้าข้างเตียงบุตรสาวที่นี่ต่อไป
เมื่อหลินเป่ยเฉินมาถึง เขาก็พบว่าหลิงจุนเซวียนกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นห้อง ลักษณะคล้ายกับกำลังโต้แย้งอะไรบางอย่าง
ภรรยาของเขามีสีหน้าไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้าไป หลิงจุนเซวียนก็รีบลุกขึ้นยืนปรับเปลี่ยนสีหน้าและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า ช่วงนี้ไขข้อของข้าไม่ค่อยดี จำเป็นต้องนั่งคุกเข่าเป็นระยะน่ะ ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ นะหลินเป่ยเฉิน ที่ช่วยเหลือบุตรสาวของพวกเราเอาไว้…”