เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 83 เธอเองก็รักษาคนไข้ในกรณีฉุกเฉินได้แล้วนะ
บทที่ 83 เธอเองก็รักษาคนไข้ในกรณีฉุกเฉินได้แล้วนะ
จางกงอี้รับใบวินิจฉัยไปดู ส่วนคนอื่น ๆ ก็ห้อมล้อมเข้ามาอยู่รอบตัว
หลี่เคอหมิงก็กำลังจ้องมองไปที่ใบวินิจฉัยด้วยความสงสัยเช่นกัน
การวินิจฉัยคนไข้รายแรก
ทำได้ไม่เลว ถือว่าเป็นคำตอบตามมาตรฐานทั่วไป
การระบุสาเหตุโรค ซูเย่สามารถระบุได้อย่างแม่นยำ ไม่มีรอยขีดฆ่าตัวอักษร หรือการแก้ไขข้อความสักนิดเดียว
นับว่าเป็นที่น่าพอใจมาก
กลุ่มแพทย์แผนจีนแอบพยักหน้าด้วยความชื่นชม
จางกงอี้ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเมื่อพบว่าคำตอบของซูเย่เป็นไปอย่างถูกต้อง และแม่นยำ เรียกได้ว่าถ้าให้คะแนนเต็มร้อย ก็ไม่มีปัญหาด้วยซ้ำ
จากนั้นเขาก็ดูข้อมูลการวินิจฉัยคนไข้รายที่สอง
ยังคงเหมือนการวินิจฉัยคนไข้รายแรก
การตรวจอาการเบื้องต้นไม่มีปัญหา การระบุสาเหตุที่ก่อเกิดโรคก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน
มาถึงเรื่องการเขียนใบสั่งยา…
หืม?
เมื่อกลุ่มแพทย์แผนจีนได้เห็นรายชื่อสมุนไพรเหล่านั้น พวกเขาก็ถึงกับประหลาดใจ
หากคนไข้รับประทานยาต้มชุดนี้เข้าไปแล้วเริ่มมีอาการดีขึ้น เสมหะลดลง ไม่มีอาการเจ็บคอ ก็ให้นำตัวยาเฮี่ยงเซียมกับซัวเตากิงออกจากรายชื่อ และต้มสมุนไพรส่วนที่เหลือรับประทานต่อไปให้ครบกำหนดเดิมทั้ง 7 วัน…
“ยอดเยี่ยมมาก ถึงกับคิดแผนการรักษาล่วงหน้าเอาไว้แล้วหรือนี่”
แพทย์อาวุโสคนหนึ่งพูดด้วยความประหลาดใจ…
“ใช่ครับ ทำได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ”
สีหน้า และแววตาของทุกคนบอกชัดถึงความชื่นชมในตัวชายหนุ่ม
หากเป็นสถานการณ์ปกติ เมื่อคนไข้รับประทานยาครบจำนวนที่กำหนดแล้ว ก็ต้องกลับมาให้หมอตรวจวินิจฉัยใหม่อีกรอบ เพื่อที่ทางคุณหมอจะได้ปรับปรุงปริมาณยาให้เหมาะสมสำหรับอาการที่ดีขึ้น
แต่ในใบสั่งยาของซูเย่สำหรับคนไข้คนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องทำให้คนไข้เสียเวลาถึงขนาดนั้น ซูเย่ได้เขียนข้อมูลบอกเอาไว้แล้วว่า ถ้าคนไข้อาการดีขึ้น ก็สมควรทำสิ่งใดต่อไป
จากคุณภาพของใบสั่งยา คุณภาพของการวินิจฉัยโรค และคุณภาพของการตรวจอาการ ทุกคนล้วนมั่นใจว่าอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้ คนไข้ที่มีอาการไอเรื้อรังคนนี้จะต้องมีอาการดีขึ้นเหมือนกลายเป็นคนละคนอย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มคนนี้เป็นเพียงเด็กใหม่ในวงการแพทย์แผนจีน เพิ่งเริ่มเรียนรู้การรักษาคนไข้ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ นับว่าหาได้ยากยิ่งที่จะมีอัจฉริยะเช่นนี้เป็นบุคคลที่สอง!
เมื่อจางกงอี้อ่านวิธีการรักษาคนไข้รายที่สองเสร็จสิ้น เขาก็เงยหน้ามองมาที่หลี่เคอหมิงพร้อมกับพูดว่า “คุณสอนลูกศิษย์ได้ดีจริง ๆ”
“ต่อให้อาจารย์เก่งแค่ไหน แต่ถ้าลูกศิษย์ไม่เก่ง ก็ต้องแพ้คนอื่นอยู่วันยังค่ำนั่นแหละครับ”
หลี่เคอหมิงพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี
จางกงอี้ได้แต่นั่งนิ่ง
เพราะนั่นคือประโยคเดียวกับที่เขาเคยพูดกับหลี่เคอหมิงในการสอบใบอนุญาตเมื่อปีที่แล้ว
จางกงอี้ตัดสินใจไม่ต่อล้อต่อเถียงกับหลี่เคอหมิง และก้มหน้ามองใบวินิจฉัยอีกครั้ง
แนวคิดในการรักษาก็สมบูรณ์แบบ
สมควรได้คะแนนเต็มอย่างไม่มีปัญหา
จางกงอี้พลิกกระดาษไปที่หน้าต่อไป
การวินิจฉัยคนไข้รายที่สาม
การตรวจโรคพื้นฐานไม่มีปัญหา การระบุสาเหตุโรคก็ไม่มีปัญหา
เท่าที่อ่านดูจนถึงตอนนี้ ใบวินิจฉัยโรคของซูเย่ไม่มีความผิดพลาดเลยแม้แต่จุดเดียว
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงมากที่สุดก็คือทักษะการเขียนใบสั่งยา และแนวคิดในการรักษาของซูเย่
มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ !
ในวงการแพทย์แผนจีนรู้ดีว่าเมื่อตรวจโรคขั้นพื้นฐานเสร็จเรียบร้อย ความยากลำบากที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นหลังจากนั้นต่างหาก
และในอาสาสมัครที่เป็นคนไข้ทั้งสามคนนี้ คนไข้รายที่สาม นับเป็นคนที่ยากต่อการรักษามากที่สุด!
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน และโรคอ้วน เกิดอาการไขมันอุดตันในเส้นเลือด นี่คือสิ่งที่สามารถตรวจสอบพบได้ง่ายดายมากจากการจับชีพจร ดูลิ้น และสีผิว
แต่ส่วนที่ยากที่สุดก็คือขั้นตอนการรักษา
การตัดสินใจที่แตกต่างกัน จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต่างกัน และมีความเป็นไปได้ที่มันจะกลายเป็นผลลัพธ์ของความผิดพลาด
หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวแค่โรคเดียว การรักษาก็จะง่ายขึ้นอีกหลายเท่า แต่ในกรณีนี้ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวอยู่ด้วยกันถึงสองโรค การเขียนชื่อสมุนไพรแต่ละตัว จึงต้องคำนวณถึงผลกระทบที่จะตามมาต่อผู้ป่วยด้วยเช่นกัน!
อาการเหนื่อยล้า และอ่อนเพลีย มักทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหิวโหย
ระดับการเต้นของชีพจรชนิดลื่นไหล เป็นจุดก่อกำเนิดความอ่อนล้าของร่างกาย
เมื่อนำข้อมูลทั้งสองส่วนนี้มารวมกัน ใครก็ตามที่สามารถจัดยาสมุนไพรรักษาคนไข้คนนี้ได้สำเร็จ ก็จะนับว่าเป็นผู้ที่ค้นพบความลับแห่งโลกของแพทย์แผนจีนโดยสมบูรณ์!
กลุ่มคณะแพทย์แผนจีนอยากจะเห็นแล้วว่าซูเย่มีแนวคิดในการเลือกตัวยาสมุนไพรอย่างไรบ้าง
พวกเขาแทบอดใจรอที่จะได้เห็นใบสั่งยาของคนไข้รายสุดท้ายไม่ไหวแล้ว
สายตาของทุกคนเลื่อนลงไปที่ใบวินิจฉัยหน้าสุดท้าย
แล้วพวกเขาก็ได้รู้ว่าซูเย่ทำได้ถูกต้อง!
เขาเลือกตัวยาสมุนไพรได้ถูกต้องทุกตัว!
การเลือกตัวยาสมุนไพรที่เหมาะสมกับคนไข้ที่สุด คือวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
“อาจารย์หลี่ ลูกศิษย์ของคุณเป็นอัจฉริยะจริง ๆ”
กลุ่มเพื่อนร่วมอาชีพหันมายกนิ้วโป้งชื่นชมหลี่เคอหมิงกันอย่างพร้อมเพรียง
“คนไข้มีอาการอ่อนเพลียมาเป็นระยะเวลาเกินกว่าหนึ่งเดือน สาเหตุมาจากการที่ร่างกายสะสมของเหลวเอาไว้เยอะเกินไป ถ้าสามารถระบายของเหลวออกจากร่างกายจนเกิดความสมดุลได้อีกครั้ง คนไข้ก็จะอาการดีขึ้นทันตาเห็นเลยสินะ?”
เมื่ออ่านใบวินิจฉัยหน้าสุดท้ายจบลง จางกงอี้ก็พับแผ่นกระดาษในมือ เขาไม่สามารถหาข้อโต้แย้งได้เลย ในที่สุดเขาจึงยอมรับ และหันไปยกนิ้วโป้งให้แก่หลี่เคอหมิงด้วยความชื่นชม
สำหรับหลี่เคอหมิง เขาคิดว่าคำชมเชยเหล่านี้ ตนเองไม่สมควรได้รับแม้แต่น้อย เพราะคนที่สมควรได้รับมันก็คือลูกศิษย์ของเขาต่างหาก
ชายหนุ่มใช้เวลาเพียง 10 นาที ก็สามารถวินิจฉัยอาการ และเขียนใบสั่งยาได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์แบบ เมื่อเป็นเช่นนี้ เหออี้เฉินต่อให้ใจจริงไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้ก็คงทำไม่ได้แล้ว
“น่าทึ่งมากเลยใช่ไหมล่ะครับ?”
หลี่เคอหมิงถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
จางกงอี้ไม่ตอบรับคำใด ได้แต่พูดอยู่ในใจว่าเมื่อกี้นี้ฉันตั้งใจชื่นชมลูกศิษย์ของนายต่างหาก ไม่ได้ชื่นชมนายสักหน่อย และเขาก็ขอสาบานกับตนเองว่า หลังจากนี้จะต้องสอนเหออี้เฉินให้มีความเก่งกาจมากขึ้นกว่านี้ให้ได้ แต่แล้วในทันใดนั้น จางกงอี้ก็ขมวดคิ้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“ใบวินิจฉัยของซูเย่สมควรได้รับคะแนนเต็มนะครับ ทำไมถึงได้แค่ 99 คะแนนล่ะ?”
จางกงอี้หันไปถามผู้จัดการสมาคมแพทย์แผนจีน
สายตาของทุกคนหันขวับกลับไปจ้องมองที่ผู้จัดการเป็นตาเดียว
นั่นสินะ หนึ่งคะแนนที่ถูกหักไปเป็นเพราะอะไรกัน?
“ฮ่าฮ่า” ผู้จัดการสมาคมระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “ผมให้แค่ 99 คะแนนเพราะกลัวเขาจะได้ใจเกินไปน่ะ”
เมื่อได้รับฟังคำตอบ กลุ่มแพทย์แผนจีนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
จากนั้นผู้จัดการจึงหันไปมองหน้าซูเย่ที่ยืนยิ้มเล็กน้อยอยู่ด้านข้าง ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยประกายแห่งความโล่งใจ และนั่นก็ทำให้ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายระยิบระยับดูสง่างามที่สุด
เมื่อเหออี้เฉินได้รับใบวินิจฉัยของซูเย่ไปดูด้วยตาตนเอง เขาก็รู้ดีว่าตนเองพ่ายแพ้ต่ออีกฝ่ายทุกประตูจริง ๆ
แต่การทำงานในวงการแพทย์แผนจีนเปรียบเสมือนการวิ่งทางไกล การสอบแข่งขันในขณะนี้ เปรียบเสมือนพวกเขาเพิ่งจะออกตัวจากจุดสตาร์ทเท่านั้นเอง!
ชนะฉันได้แค่ครั้งเดียว คิดว่านายจะเอาชนะฉันได้ตลอดไปเลยหรือไง?
ซูเย่ คอยดูก็แล้วกัน!
“เอาล่ะ ขอแสดงความยินดีกับคนที่เหลือด้วย เพราะฉันมีเรื่องมาประกาศว่า ผู้ที่ผ่านเข้ารอบหกคนสุดท้ายประจำปีนี้ จะได้รับใบอนุญาตจากทางสมาคมแพทย์แผนจีนครบทุกคน ขั้นตอนต่อไป เดี๋ยวฉันจะจัดการลงนามในใบอนุญาตของพวกคุณให้ก็แล้วกันนะ”
เมื่อเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ของทางสมาคมเดินนำใบอนุญาตมามอบให้แก่ทางผู้จัดการ บรรดาผู้เข้าสอบทั้งหกคนต่างก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจสุดชีวิต
ใบอนุญาตถูกแจกจ่ายให้แก่ผู้เป็นเจ้าของทั้งหก
เสียงปรบมือชื่นชมยินดีดังเกรียวกราวในโถงทางเดินของโรงพยาบาล
แต่ผู้ที่สอบผ่านทั้งหกคนนั้นก็รู้ดีว่า หลังจากนี้ตนเองยังคงต้องทำงานหนักอีกมาก
เมื่อทางผู้เข้าสอบเดินเข้ามาขอบคุณผู้จัดการสมาคมครบทุกคนแล้ว การสอบแข่งขันประจำปีนี้ก็จบลงอย่างเป็นทางการ
“ยินดีด้วยนะ ตอนนี้เธอก็มีความสามารถอยู่ในระดับแพทย์ผู้เขียนใบสั่งยาอย่างเป็นทางการแล้ว”
หลังกลับออกมาจากโรงพยาบาล หลี่เคอหมิงก็ยิ้มแย้ม และแสดงความยินดีกับซูเย่ ซึ่งกำลังถือใบอนุญาตการเป็นสมาชิกสมาคมแพทย์แผนจีนอยู่ในมือ
“ขอบคุณอาจารย์ที่สอนผมนะครับ”
ซูเย่ก้มหัวคำนับหลี่เคอหมิงด้วยความซาบซึ้งใจ “ผมต้องขอบคุณจริง ๆ”
“งั้นเธอมากินมื้อค่ำกับฉันดีกว่า วันนี้เราต้องฉลองกันสักหน่อย เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
หลี่เคอหมิงพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง
“ผมต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงอาจารย์ไม่ใช่หรือครับ”
“ฉันอยากแสดงความยินดีกับนายไง ให้ฉันเป็นคนเลี้ยงเถอะ”