เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 46 ของเก่าพวกนั้นเอาไปขายได้เงินจริงๆ ด้วย
บทที่ 46 ของเก่าพวกนั้นเอาไปขายได้เงินจริงๆ ด้วย
เมื่อเห็นเช่นนั้น
ทุกคนที่ยืนรวมตัวอยู่ท้ายรถกระบะก็ตกตะลึง!
แม้แต่ทีมงานรายการที่คุ้นเคยกับความมหัศจรรย์ของซูเย่ดีแล้ว ก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าแข่งขันอีกเก้าคน หรือแพทย์แผนจีนอาวุโสที่ทางรายการเชิญตัวมาเป็นผู้สังเกตการณ์ พวกเขาล้วนแต่ไม่อยากเชื่อกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้าตนเองสดๆ ร้อนๆ
“เป็นไปได้ยังไง?”
“ทำไมอาการถึงดีขึ้นรวดเร็วขนาดนี้?”
“การฝังเข็มมีประสิทธิภาพขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หากพวกเขาไม่ได้ตรวจชีพจรของคนไข้ ข้อสงสัยในการรักษาของซูเย่ก็ยังคงอยู่ต่อไป
แต่นี่พวกเขาได้ตรวจชีพจรของคนไข้แล้ว ทุกคนจึงรู้ดีว่าซูเย่สามารถรักษาคนไข้ได้สำเร็จ!
“ควับ!”
ทุกสายตาหันมามองหน้าซูเย่อย่างตั้งคำถาม
ทุกคนไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
หรือว่าความสามารถในการฝังเข็มของซูเย่จะสูงส่งเสียจนฝืนชะตาฟ้าลิขิต?
ทีมงานรายการเมื่อเห็นสีหน้าของกลุ่มนักศึกษาแพทย์และแพทย์แผนจีนอาวุโสผิดปกติไป พวกเขาก็รีบหันกล้องไปจับภาพไว้โดยทันที
“นายทำได้ยังไง? การฝังเข็มของนายไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาดพิสดาร มันไม่น่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ถึงขนาดนี้”
หวังจี้เชาถามออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ
ซูเย่นิ่งเงียบคิดหาเหตุผลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ให้คำตอบว่า “พอดีฉันเก่งเรื่องการเดินพลังลมปราณน่ะ”
เก่งเรื่องการเดินพลังลมปราณ?
พูดไร้สาระอะไรกัน!
คนเราสามารถเดินลมปราณผ่านการฝังเข็มได้ง่ายๆ ซะที่ไหน!
“เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เชื่อ!”
หวังจี้เชายื่นมือของตนเองไปตรงหน้าซูเย่และขอให้อีกฝ่ายช่วยเดินพลังลมปราณใส่แขนของตนเอง
ซูเย่ผงกศีรษะ ยิ้มเล็กน้อย
เขานำเข็มเงินเล่มหนึ่งมาปักไปที่จุดเหอกู่ ซึ่งอยู่บริเวณง่ามนิ้วระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของหวังจี้เชา
นี่คือการฝังเข็มที่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
ยากที่จะกระตุ้นการเดินพลังลมปราณได้
แต่หวังจี้เชาก็ต้องแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคลื่นพลังกำลังไหลเวียนออกมาจากจุดเหอกู่ของเขา
ซูเย่สามารถเดินพลังลมปราณได้จริงๆ หรือนี่?
เป็นไปได้ยังไงกัน?
เมื่อเห็นสีหน้าของหวังจี้เชาทุกคนก็รู้แล้วว่าซูเย่สามารถเดินพลังลมปราณได้จริงๆ
พวกเขามองหน้าซูเย่ด้วยความประหลาดใจ
ทุกคนรู้สึกหงุดหงิดที่ซูเย่สามารถเดินพลังลมปราณได้เหมือนกับมันเป็นเรื่องง่ายดาย?!
แม้แต่แพทย์แผนจีนอาวุโสหลายท่านก็ยังจ้องมองซูเย่ด้วยแววตาเช่นนั้น
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”
“วิธีการฝังเข็มของนายกับฉันเหมือนกันทุกอย่าง แล้วทำไมนายถึงเดินพลังลมปราณได้ง่ายๆ แบบนี้?”
หวังจี้เชาถามหน้าตาบึ้งตึง
“ถ้าจะให้อธิบายเหตุผลจริงๆ ละก็ คงต้องบอกว่าฉันสามารถสัมผัสกับพลังลมปราณในร่างกายของคนอื่นได้ไวเป็นพิเศษ ก็เลยสามารถเดินพลังลมปราณได้ง่ายกว่าคนทั่วไป”
ซูเย่ตอบกลับมา
เขาไม่ได้โกหก เพราะเขาเก่งเรื่องการเดินพลังลมปราณจริงๆ
ต้องไม่ลืมว่าซูเย่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ร่างกายย่อมไวต่อสัมผัสของพลังลมปราณมากกว่าคนทั่วไป
ถึงหวังจี้เชาจะใช้หลักการเดียวกันกับเขา แต่หวังจี้เชาไม่สามารถโคจรพลังลมปราณของตนเองเข้าไปกระตุ้นและควบคุมการไหลเวียนพลังลมปราณในร่างกายของคนไข้ได้ ดังนั้น นี่จึงเป็นความแตกต่างที่เกิดขึ้น
“ฉันจะเพิ่มความไวต่อการสัมผัสพลังลมปราณเหมือนนายได้ยังไง?”
ลู่จวิ้นถามออกมาโดยเร็ว
ทุกคนหันกลับมาจ้องมองซูเย่
และเฝ้ารอคำตอบ
การเดินพลังลมปราณนับเป็นศาสตร์ความรู้ปริศนาหลายชั่วอายุคน
ปัจจุบันนี้ ไม่มีผู้ใดรู้คำตอบที่แน่ชัดถึงวิธีการเดินพลังลมปราณที่ถูกต้อง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการเดินพลังลมปราณที่ง่ายดายแบบที่ซูเย่ทำ
“เธอก็ต้องทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่นให้มาก ใช้ชีวิตให้มีความสุข ลดละเลิกการเล่นโทรศัพท์มือถือหรือนั่งจมอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ออกไปเดินเล่นให้แสงแดดโดนตัวเสียบ้าง”
“การเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือไม่เหมือนการอ่านหนังสือ มันเป็นกิจกรรมที่ผลาญพลังงานชีวิตไปมากมายโดยไม่รู้ตัว เมื่อหัวใจและสภาพร่างกายของเธอเข้มแข็งและมีความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติมากขึ้น เธอก็จะสามารถสัมผัสกับพลังลมปราณในร่างกายของคนไข้ได้ง่ายขึ้น”
ซูเย่ตอบ
ทุกคนขมวดคิ้วนิ่วหน้า มันทำได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเชียวเหรอ?
นี่ซูเย่หลอกปั่นหัวพวกเขาเล่นหรือเปล่า?
“ขอถามหน่อยเถอะ ที่นายพูดออกมานี่ไม่รู้สึกตลกตัวเองบ้างหรือไง?”
หวังจี้เชายังคงตั้งคำถามด้วยความไม่อยากเชื่อ
เพราะวิธีการที่ซูเย่บอกมา มันไม่น่าเป็นไปได้เลยสักนิด
คนเราจะเดินพลังลมปราณเก่งขึ้นได้ด้วยการทำความดีเนี่ยนะ?
ด้วยการออกไปเดินเล่นใต้แสงแดด?
ด้วยการเล่นโทรศัพท์มือถือให้น้อยลง?
ซูเย่มีหลักฐานมายืนยันหรือเปล่า?
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น”
ซูเย่ผายมือออกกว้าง “เพราะว่าฉันก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน”
เขาพูด
หวังจี้เชาหยุดชะงักไปเล็กน้อย
แต่ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี
ไม่ใช่เพราะหวังจี้เชาไม่อยากทำความดี แต่เป็นเพราะหวังจี้เชารู้สึกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมามันไร้สาระมากเกินไป และไม่มีพื้นฐานความเป็นจริงรองรับแม้แต่นิดเดียว!
ส่วนผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ก็ได้แต่ชั่งใจในคำพูดของซูเย่
กิริยาการผายมือของซูเย่คือการยืนยันว่าเขาพูดความจริง
ไม่ต่างจากผู้ทรงศีลที่จะกล่าวคำพูดโป้ปดไม่ได้เด็ดขาด
ขณะนี้ ทีมงานที่คอยบันทึกภาพอยู่ตลอดเวลาเมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างซูเย่กับผู้เข้าแข่งขันคนอื่น พวกเขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาโดยทันที แม้ไม่รู้เลยว่ากลุ่มคนหนุ่มสาวพวกนี้กำลังพูดถึงอะไรกัน แต่ฟังดูมันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีมากแน่ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ซูเย่พูดออกมายังเหมาะสำหรับการตัดเป็นคลิปไฮไลท์โปรโมทรายการในอนาคตอีกด้วย
“แม่ครับ แม่จะลองลุกยืนเลยเหรอครับ?”
เสียงอุทานด้วยความตกใจระคนดีใจดังขึ้นข้างตัวซูเย่
ทุกคนหันกลับไปมองที่เตียงคนไข้อีกครั้ง
และได้ค้นพบสิ่งที่น่าตกตะลึง
หญิงวัยกลางคนผู้ป่วยเป็นอัมพาตในขณะนี้นอกจากลุกนั่งได้แล้ว เธอยังพยายามหย่อนขาลงมาบนพื้นเพื่อจะยันตัวลุกขึ้นยืนด้วยความกระตือรือร้นอีกด้วย
ผู้เป็นลูกชายรีบเข้าไปประคองด้วยความตื่นเต้น
ทุกคนเฝ้ามองลุ้นระทึก
หญิงวัยกลางคนมีน้ำตานองเต็มใบหน้า
“ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณคุณหมอมากจริงๆ!” เมื่อเธอสามารถยืนหยัดได้ด้วยการประคองของลูกชาย หญิงวัยกลางคนก็ทำท่าจะย่อกายลงคุกเข่าคำนับซูเย่
ซูเย่รีบประคองให้เธอลุกขึ้น
“คุณหมอซู”
ชายหนุ่มคนขับรถพูดกับซูเย่ด้วยความตื้นตันใจ “ไม่ได้นะครับ เป็นเพราะคุณหมอซูแท้ๆ ผมก็ต้องคำนับคุณหมอด้วยเหมือนกัน”
แล้วชายหนุ่มก็คุกเข่าลงไป
“ไม่ต้องหรอกครับ”
ซูเย่ช่วยประคองสองแม่ลูกลุกขึ้นมาข้างละคน
จากนั้นจึงอธิบายว่า
“ฟังให้ดีนะครับ”
“เดิมทีอาการแม่คุณก็ไม่ได้รุนแรงมาก แค่ได้รับการฝังเข็มกระตุ้นเล็กน้อยก็เพียงพอต่อการรักษา และอาการ ณ ตอนนี้ก็ไม่ต้องรับการฝังเข็มเพิ่มแล้วครับ คุณสามารถพาคุณแม่กลับบ้านไปพักผ่อนได้เลย หลังจากนี้ ก็พาคุณแม่ออกมาเดินเล่นในทุกๆ วันเพื่อเป็นการกายภาพบำบัด และเดี๋ยวอาการก็จะดีขึ้นตามลำดับครับ”
ซูเย่เพียงใช้พลังลมปราณของตนเองผ่านการฝังเข็มซ่อมแซมระบบประสาทที่เสียหายของคนไข้เท่านั้น
การฝังเข็มครั้งนี้เปรียบเสมือนการกระตุ้นระบบการทำงานของเส้นประสาทที่ไม่ได้ใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน
วิเคราะห์จากสภาพร่างกายของคนไข้ ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ หญิงวัยกลางคนผู้นี้ก็จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้แล้ว
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนไข้ตกใจมากเกินไป ซูเย่จึงไม่ได้บอกว่าเธอจะฟื้นตัวเร็วขนาดนั้น
“อย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะครับ”
“ขอบคุณมากครับคุณหมอ!”
“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ!”
ซูเย่ยิ้มแย้มและเฝ้ามองสองแม่ลูกขับรถจากไป
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์หันมามองที่ซูเย่ด้วยความประหลาดใจ
ราวกับพวกเขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองประมาทฝีมือด้านการแพทย์ของซูเย่มากเกินไป
“มีคนไข้มาเพิ่มแล้ว กลับไปตรวจกันต่อเถอะครับ” ทีมงานของรายการคนหนึ่งพูดขึ้นมา
การตรวจคนไข้ผ่านไปอีกสองวัน
พวกของซูเย่ทั้งสิบคนตรวจคนไข้จากหมู่บ้านโดยรอบจนครบถ้วน
ต่อให้เป็นคนไข้เรื้อรัง สภาพอาการย่ำแย่ ก็ยังมีอาการดีขึ้นได้ด้วยการรักษาเพียงสามวันเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นการฝังเข็ม การต้มยา หรือการใช้วิธีอื่นๆ ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นการรักษาที่ถูกต้องทั้งสิ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้
ทุกอย่างก็เป็นไปตามกำหนดการที่ทีมงานวางแผนไว้
ผู้เข้าแข่งขันชิงตำแหน่งสุดยอดแพทย์แผนจีนรุ่นใหม่สามารถแสดงฝีมือออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางรายการต้องการมากที่สุด
การตรวจคนไข้ฟรีกำลังจะสิ้นสุดลงในวันนี้
ทันใดนั้น
“บรื้น…”
เสียงเครื่องยนต์ของรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งดังลั่นถนน
ชาวบ้านหันไปมองทางต้นเสียง
แล้วพวกเขาก็ได้เห็นร่างของใครคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์คันใหม่ห้อเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
“นั่นมันคนแซ่หลี่ไม่ใช่เหรอ?”
“เจ้านี่หายหน้าไปสามวัน โผล่หัวมาอีกทีเอารถใหม่มาอวดเชียวเหรอเนี่ย?”
“ให้ตายสิ นี่มันรถอู๋หยาง 125cc ซื้อมือหนึ่งได้ข่าวว่าราคาแพงมากเลยนะ”
“หา อย่าบอกนะว่าเขาเข้าเมืองไปซื้อรถใหม่?”
ชาวบ้านที่มารวมตัวกันรอรับการตรวจโรค ต่างก็ให้ความสนใจไปที่คนแซ่หลี่เป็นหนึ่งเดียว
ภายใต้การเฝ้ามองด้วยสายตาอิจฉาของกลุ่มชาวบ้าน
คนแซ่หลี่ขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดไว้หน้าบ้านของตนเอง ก่อนจะเหวี่ยงขาลงจากรถด้วยท่วงท่าสุดเท่
ชาวบ้านหลายคนรีบเดินเข้าไปหาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เหล่าหลี่ หายหน้าไปไหนมาเสียตั้งหลายวัน?”
“นี่ไปถอยรถใหม่มาเรอะ?”
“แกไปเอารถใครเขามาขี่เนี่ย”
กลุ่มชาวบ้านระดมยิงคำถามด้วยความสงสัย
“พูดอะไรอย่างนั้น”
คนแซ่หลี่เงยหน้ายิ้มมุมปาก “ถ้ามันไม่ใช่รถฉัน แล้วฉันจะขี่กลับมาได้ยังไง?”
“ก็นั่นน่ะสิ รถรุ่นนี้ฉันเคยเห็นมาแล้ว ราคาตั้ง 10,000 หยวนเชียวนะ”
ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเดินเข้ามามองรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ของคนแซ่หลี่ด้วยความตื่นเต้น
“ราคาของจริงน่ะ 28,000 หยวนต่างหาก!”
คนแซ่หลี่ยิ้มกริ่ม “สวยนะ ว่าไหม?”
“สวยมาก ว่าแต่แกเอาเงินที่ไหนไปซื้อรถใหม่คันนี้?” ผู้ใหญ่บ้านเดินเข้ามาสอบถาม
“โฮะโฮะ” คนแซ่หลี่ยิ้มกว้าง “ต้องขอบคุณคุณหมอซูเขานะ ด้วยคำแนะนำจากคุณหมอซู ฉันก็เลยเอาชามกระเบื้องใบนั้นไปขายในตัวเมืองละ”
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้
กลุ่มชาวบ้านก็ดวงตาลุกวาว
โดยเฉพาะบรรดาคนที่ได้รับคำยืนยันจากซูเย่ว่าข้าวของของพวกเขาเป็นวัตถุโบราณของจริง ทุกคนยิ่งมีสีหน้าตื่นเต้นตึงเครียดมากไปกว่าเดิม
หลายคนรีบถามออกมา
“เอาไปขายได้จริงเรอะ?”
“ได้เท่าไหร่ล่ะ?”
“แกเอาไปขายได้ยังไง? แกเอาไปขายที่ไหน?”
“ฉันก็เอาไปขายที่ย่านของเก่าในตัวเมืองไง” คนแซ่หลี่ตอบยิ้มๆ “หลังจากปรึกษาคุณหมอซูแล้ว ฉันก็ตั้งเป้าว่าถ้าขายไม่ได้แสนหยวนจะไม่ปล่อยเด็ดขาด แต่ตระเวนขายสองวันแรกไม่มีใครรับซื้อเลย บางร้านตีราคาให้ฉันแค่พันหยวนเท่านั้น ไอ้ฉันก็นึกว่าตัวเองคงไม่มีดวงทางนี้ซะแล้ว จนกระทั่งเช้านี้นี่แหละ ฉันเดินเข้าไปขายเถ้าแก่ในร้านขายของเก่าร้านนึง”
“เขาตรวจชามกระเบื้องของฉัน และถามว่าฉันตั้งราคาไว้ที่เท่าไหร่ ฉันก็เลยตอบไปว่าตั้งไว้ 80,000 หยวน”
“สุดท้ายเขาเจรจาต่อรองราคาและยินดีจ่ายให้ฉัน 70,000 หยวน!”
“ฉันนึกได้ว่ามันเป็นราคาใกล้เคียงกับที่คุณหมอซูได้เคยบอกเอาไว้ ฉันก็เลยขายให้เขาไป”
คนแซ่หลี่อธิบายอย่างมีความสุข
เขารีบเดินมาหาซูเย่พลางหยิบซองบุหรี่ที่มีร่องรอยเปิดสูบแล้วยื่นมาส่งให้
“ผมไม่สูบบุหรี่ครับ”
ซูเย่ส่ายศีรษะยิ้มตอบกลับไป “บุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ ลดได้ก็ดี หรือถ้าเลิกได้ก็จะดีมากที่สุด”
“คร้าบ คร้าบ”
คนแซ่หลี่พยักหน้ารับคำแจ่มใส แต่กลับหยิบบุหรี่ในซองขึ้นมามวนหนึ่งขึ้นคาบหน้าตาเฉย
ซูเย่พูดอะไรไม่ออก
ขณะนี้
ชาวบ้านทุกคนที่เคยนำของเก่ามาให้ซูเย่ตรวจสอบต่างตกอยู่ในความตื่นเต้น
“วูบ!”
ทุกคนรีบวิ่งฝุ่นตลบกลับบ้านเพราะกลัวว่าของเก่าของตนเองอาจจะถูกขโมยไปแล้ว
วันพรุ่งนี้ พวกเขาจะเข้าเมืองไปขายของพวกนี้ให้หมด!
เมื่อเห็นดังนั้น กลุ่มผู้เข้าแข่งขันอีกเก้าคนรวมไปถึงทางทีมงานต่างก็มองมาที่ซูเย่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ก่อนหน้านี้ พวกเขาเข้าใจว่าซูเย่อาจจะมีความรู้เรื่องวัตถุโบราณเพียงผิวเผิน
คิดไม่ถึงเลยว่า…
ชาวบ้านกลับนำชามกระเบื้องใบนั้นไปขายได้ในราคาเดียวกับที่ซูเย่เคยบอกเอาไว้!
เขาบอกว่าจะขายได้ 70,000 ก็ขายได้ 70,000 จริงๆ
หมายความว่าระดับความรู้ของซูเย่ไม่ต่ำต้อย!
ให้ตายสิ!
นอกจากเก่งเรื่องแพทย์แผนจีนแล้ว นายยังเก่งเรื่องการดูของเก่าอีกเหรอเนี่ย!
หวังจี้เชาได้แต่สบถอยู่ในใจ…
“เอาละ”
กล้องยังคงบันทึกภาพ พิธีกรเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบคน “ทางเราต้องขอประกาศอย่างเป็นทางการว่าภารกิจเปิดคลินิกรักษาโรคให้แก่ชาวบ้านสี่วันเต็มในครั้งนี้ได้จบลงแล้ว”
กลุ่มทีมงานยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ
แต่กลุ่มผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบกลับมีสีหน้าพิศวงสงสัย
จบลงแล้ว?
กฎกติกาคืออะไรกันแน่?
คณะกรรมการจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินผู้ที่ผ่านเข้ารอบ?
“ทุกคนคงอยากรู้แล้วว่าอะไรคือเกณฑ์ตัดสินในการผ่านเข้ารอบต่อไป” ดูเหมือนพิธีกรจะอ่านใจทุกคนได้ จึงพูดออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “และเกณฑ์ในการตัดสินนั้นอยู่ที่การคัดเลือกของพวกคุณเอง”
กลุ่มผู้เข้าแข่งขันหยุดชะงัก…
การคัดเลือก?
ท่ามกลางความสงสัย
ทีมงานก็ทยอยแจกกระดาษและปากกาให้แก่ผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบคน
“สิ่งที่พวกคุณต้องทำก็คือนึกทบทวนดูให้ดีว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมา ผู้เข้าแข่งขันคนไหนบ้างที่คุณเห็นด้วยตาของตนเองว่าสามารถรักษาคนไข้ได้อย่างยอดเยี่ยมมากที่สุด ขอให้คุณเขียนชื่อลงบนกระดาษแผ่นนี้มาสามชื่อ และผู้ที่ได้รับการคัดเลือกมากที่สุดเป็นสามอันดับแรก ก็จะได้ผ่านเข้ารอบสามคนสุดท้ายโดยอัตโนมัติ!”
อื้อหือ!
ดวงตาของทุกคนเบิกโตด้วยความตกตะลึง
ในที่สุด พวกเขาก็ได้รู้แล้วว่ากติกาการแข่งขันในเกมที่ห้าคืออะไร
นั่นคือให้พวกเขาคัดเลือกผู้เข้ารอบกันเอง!
และการคัดเลือกนั้นต้องมาจากประสิทธิภาพในการรักษาคนไข้ก่อนหน้านี้!