เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 131 ความจำดีเลิศ! มือแสนแม่นยำ!
บทที่ 131 ความจำดีเลิศ! มือแสนแม่นยำ!
หนึ่งจิตสองประสงค์!
ผู้บัญชาการมหานครตะวันตกเฉียงใต้ ปาปู้เต๋อตาเป็นประกาย
“ไม่เลวเลย!”
หลังจากที่ได้ดูลีลาของฉินเว่ยหมิน สุดท้ายเขาก็ถอนใจออกมาและกล่าวต่อ “หากผู้ที่มีหนึ่งจิตสองประสงค์ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ล่ะก็ คงจะนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะเลย น่าเสียดายที่พ่อหนุ่มคนนี้ไม่เคยเกี่ยวข้องหรือมีรากฐานแห่งการฝึกยุทธ์มาก่อน”
“อย่างไรก็ตาม เจ้าเด็กซูเย่มีปัญหาแล้วล่ะ”
พอคิดได้เช่นนั้น ปาปู้เต๋อจึงหัวเราะออกมา
ในสนาม เมื่อผู้ชมได้เห็นวิชาการรักษาของฉินเว่ยหมิน สีหน้าพวกเขาก็พลันเปลี่ยนไป มองดูซูเย่อย่างเป็นกังวล
แม้ว่าซูเย่จะเคยสาธิตการวินิจฉัยด้วยสองมือในรายการอนาคตแพทย์แผนจีน แต่การวินิจฉัยสองมือนั้นไม่เหมือนกับการจ่ายยาสองมือพร้อมกัน
ความสามารถเช่นนี้ ต่อให้จะมีพรสวรรค์ถึงเพียงไหน ก็คงต้องผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน
ซูเย่จะทำได้หรือเปล่า?
กลุ่มแพทย์แผนจีนพื้นบ้านซึ่งนำโดยผู้นำตระกูลฉิน ต่างจ้องมองไปยังซูเย่โดยทันที
“ขอดูหน่อยสิว่าทีนี้จะทำอย่างไร!”
รอยยิ้มสุดแสนมั่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้นำตระกูลฉิน
เขาเชื่อมั่นว่าซูเย่ไม่สามารถทำตามได้อย่างแน่นอน!
การเพิ่มกฏวัดคะแนนด้วยความเร็วเข้าไป ทำให้โอกาสชนะของตระกูลฉินนั้นเพิ่มสูงขึ้น
เหล่าผู้นำตระกูลที่เป็นกังวลใจมาโดยตลอด ก็ได้ถอนใจออกมากันด้วยความโล่ง
ความสามารถหนึ่งจิตสองประสงค์เหมือนเป็นนักฆ่าที่จะมาจัดการซูเย่!
การแข่งขันครั้งนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาน่าจะชนะแล้ว
ทว่าเพียงช่วงเวลาต่อมา ดวงตาของทุกคนก็เบิกกว้าง ผู้นำตระกูลฉินสั่นไปทั้งร่าง
พวกเขาพบว่าซูเย่เองก็ทำการวินิจฉัยด้วยมือทั้งสอง!
ซูเย่ก็ทำได้เหมือนกันเหรอ?
ผู้คนทางฝั่งแพทย์แผนจีนพื้นบ้านหัวใจเต้นรัว
คนไข้ทั้งหนึ่งร้อยรายแบ่งออกเป็นสองแถวตามคำขอของซูเย่ โดยมีแถวละห้าสิบคน และทุกคนยกมือขวาขึ้นมาเพื่อรอรับการวินิจฉัยจากซูเย่
มองจากระยะไกล เหมือนกับว่าคนไข้ทั้งหมดตั้งแถวต้อนรับซูเย่ให้เดินผ่าน
“ไม่ใช้โต๊ะแล้วเขาจะเขียนใบสั่งยาอย่างไร?”
ทุกคนเกิดข้อสงสัย
แม้แต่บรรดานักศึกษาที่ถูกพามาเป็นผู้ช่วยในสนามแข่งเองก็สับสน พวกเขารอคำสั่งและวิธีการรักษาจากซูเย่อยู่ เพื่อที่จะได้ช่วยประหยัดเวลาลง
แต่ดูเหมือนซูเย่ไม่ได้คิดที่จะทำการแจกแจงคำสั่งเลย??
ภายใต้สายตาจับจ้องของผู้คนจำนวนมาก ซูเย่ไม่ได้มีอาการตื่นตระหนกหรืออะไรแม้แต่น้อย กลับตรวจอาการของคนไข้ไปอย่างใจเย็น
วินิจฉัยคนไข้สองรายพร้อมกัน
ไม่กี่วินาทีต่อมา หลังจากจากยืนยันอาการของคนไข้ทั้งสองได้แล้ว ซูเย่จึงปล่อยมือและเดินหน้าไปยังคนไข้สองรายถัดไป โดยไม่มีการจดบันทึกใด ๆ ทั้งสิ้น
“หือ?”
“ทำอะไรอยู่น่ะ?”
“เสร็จแล้วเหรอ?”
“แม้ว่าจะวินิจฉัยไม่นานก็เถอะ แต่ถ้าไม่จด จะไม่ลืมแล้วเสียเวลาเปล่าหรอกรึ?”
ทุกคนยิ่งสับสนหนักกว่าเก่า
หลังจากซูเย่วินิจฉัยคนไข้รายที่สามและรายที่สี่ เขาปล่อยมือและเดินหน้าต่อไปยังคนไข้รายที่ห้ากับรายที่หก
ฉินเว่ยหมินที่กำลังทำการวินิจฉัยอยู่ รู้สึกได้ถึงความวุ่นวายจากรอบกายเขา จึงหันหน้าไปมองซูเย่ขณะที่ยังวินิจฉัยด้วยมือทั้งสอง
หลังจากสังเกตการณ์ได้สักพัก ฉินเว่ยหมินจึงเดาขึ้นมาในใจ
“ดูเหมือนจะวินิจฉัยคนไข้ทั้งหมดรวดเดียว แล้วใช้ความจำเพื่อสั่งจ่ายยาอย่างรวดเร็วสินะ?”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
เขาไม่ได้สนใจวิธีการที่ซูเย่ใช้อยู่เลย
ต่อให้ความจำดีแค่ไหน ก็คงจำอาการของคนไข้ได้เพียงสิบรายในครั้งเดียวเท่านั้น
ส่วนทางเขาเองทั้งวินิจฉัยและจ่ายยาได้พร้อมกัน!
เปรียบเทียบกันแล้ว
วิธีการของซูเย่นั้นอธิบายออกมาได้ด้วยสี่พยางค์ว่า ‘ท่าดีทีเหลว!’
การรักษาดำเนินต่อไป
ในตอนที่เขาจ่ายยาให้คนไข้รายที่ห้าและรายที่หกเสร็จ ซูเย่ก็ได้ตรวจอาการของคนไข้รายที่เก้าและรายที่สิบเรียบร้อยแล้ว
แต่น่าแปลก ซูเย่ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น
เขาเดินหน้าต่อไป ทำการวินิจฉัยต่อ
ภาพนี้ ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะอึ้งและนิ่งไป แม้แต่ทางฝั่งมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเองก็ขมวดคิ้ว
“ทำต่อด้วยเหรอ?” ฉินเว่ยหมินเหลือบมองซูเย่ คิ้วขมวดขึ้นและพึมพำกับตัวเอง “ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่านายจะจำอาการของคนไข้เกินสิบคนได้”
ส่วนทางฝั่งมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน
“ซูเย่ทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร?”
ผู้นำของฝั่งมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน หลิวเจิ้นเฉียง เกิดความวิตกกังวลขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อเห็นภาพตรงหน้า
นี่เป็นการแข่งขันสุดท้ายแล้ว แต่วิธีการของซูเย่มันคืออะไร?
เขาไม่ได้เป็นเพียงผู้นำฝั่งมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน แต่เป็นหมอในวงการแพทย์แผนจีนด้วยเช่นกัน
เขารู้ดีว่าการจดจำผลการวินิจฉัยมันยากแค่ไหน
เพราะสิ่งที่ต้องทราบนั้นไม่ได้มีเพียงแค่อาการของคนไข้ แต่ยังรวมถึงรายละเอียดยิบย่อย ความเข้ากันได้ของส่วนผสมในยา และปริมาณน้ำหนักของส่วนผสมแต่ละชนิด
ด้วยเหตุนี้ การจดจำทุกองค์ประกอบหลังการวินิจฉัยสำหรับคนไข้รายเดียว ก็เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดอยู่เยอะแยะมากมายแล้ว
ทว่าตอนนี้ซูเย่วินิจฉัยไปเกินสิบราย แถมยังทำการวินิจฉัยด้วยสองมือ
ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ของซูเย่ เขาอาจจะจำอาการของคนไข้ถึงสิบรายได้จริง แต่มากกว่านั้นมันก็เกินไป ไม่มีทางที่จะจำได้หรอก!
“เขาจะจำได้จริงเหรอ?”
คณบดีหลายคนตื่นตระหนก
“ไม่มีทาง?”
“นี่เป็นการแข่งขันรายการสุดท้ายแล้ว จะทำอะไรเกินตัวไม่ได้นะ”
“ใจเย็นก่อนครับ” หลี่เคอหมิงกล่าวขึ้นเสียงเข้มขณะที่มองซูเย่ “ตั้งแต่ผมได้รู้จักกับซูเย่มา ความจำของเขาไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนทั่วไปได้เลยครับ จะใช้คำว่า ‘ดีเลิศ’ ก็ ได้ เขานำชัยชนะมาให้พวกเราได้ถึงหกศาสตร์แล้ว พวกเราควรจะเชื่อใจเขานะครับ ครั้งนี้เขาก็คงไม่ทำให้ผิดหวังเช่นกัน”
“พูดอย่างนั้นมันก็ถูก แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องเสี่ยงขนาดนี้เลยนี่?”
หลิวเจิ้นเฉียงเป็นกังวลยิ่งกว่าเก่า
ชัยชนะอยู่แค่ตรงหน้า
ตีตื้นกลับมาได้ตั้งหกศาสตร์ จะมาแพ้ตรงนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
“ไม่ต้องร้อนรนไปหรอกครับ” หลี่เคอหมิงหน้านิ่ว สูดหายใจลึกและกล่าวต่อ “เฝ้าดูต่อ กังวลมากไปก็ไม่เป็นประโยชน์ครับ ควบคุมความรู้สึกกันหน่อย จะได้ไม่ส่งผลกระทบกับซูเย่”
เขาเองก็รู้ดีว่าซูเย่จะไม่ลงมือทำอะไรหากไม่มั่นใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลเช่นกัน ขออย่าให้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นด้วยเถอะ!
ทุกคนที่ได้ฟังก็พลางคิดว่าสิ่งที่กล่าวมาเป็นเรื่องจริง
พวกเขากังวลหรือร้อนรนไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา?
จึงทำได้เพียงเฝ้าดูซูเย่ทำการแข่งขันต่อไปอย่างตั้งใจ
อีกฝั่งหนึ่ง ทางแพทย์แผนจีนพื้นบ้านเองก็เช่นกัน
หากซูเย่ทำการรักษาแบบปกติ พวกเขาคงไม่รู้สึกกดดัน เพราะทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คาดไว้
แต่เขากลับแสดงความสามารถอันไม่ธรรมดาออกมา จึงทำให้พวกผู้นำทำตัวกันไม่ถูก
สายตาและความสนใจจากภายนอกนั้นไม่มีผลต่อซูเย่ เมื่อตรวจอาการของคนไข้รายที่สิบเอ็ดและสิบสองเสร็จ เขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไป……
ไม่นาน
คนไข้ทั้งร้อยรายก็ได้รับการตรวจวินิจฉัยจนครบถ้วน
เสร็จแล้วเขาจะทำอะไรต่อ?
ผู้ชมทุกคนในสนาม รวมไปถึงฉินเว่ยหมินที่ยังคงใช้สองมือของเขาจ่ายยา ต่างมองและเฝ้ารอดูความเคลื่อนไหวต่อไปของซูเย่
เขาเดินกลับไปที่โต๊ะ
ซูเย่ไม่ได้เขียนอะไรทั้งนั้น
กลับบอกเหล่าผู้ช่วยว่า “ผมจะจัดยาเองครับ พวกคุณแค่ช่วยผมต้มยาก็พอ”
ทุกคนตกตะลึง สงสัยว่าได้ยินผิดไปหรือเปล่า
เรื่องขอให้ช่วยต้มนั้นไม่ใช่ปัญหา
แต่เขากลับไม่ได้เขียนใบจ่ายยา และจะไปรับส่วนผสมมาด้วยตัวเอง
มันดูขัดแย้งไปหรือเปล่า?
หากต้องการประหยัดเวลาโดยการไม่เขียนใบสั่ง แต่การจะไปเอาเองนั้น ไม่ยิ่งเสียเวลากว่าอีกหรือ?
พวกเขาก็ไม่รู้ถึงสิ่งที่อยู่ในหัวของซูเย่ จึงไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม
ขณะนั้น ซูเย่มาถึงตู้เก็บยาจากเภสัชกรรมกู่เต๋อที่อยู่ในสนามแข่ง
และเริ่มหยิบส่วนประกอบอย่างรวดเร็ว
“ชะเอมสิบห้ากรัม……”
ซูเย่ท่องรายการส่วนประกอบอย่างแผ่วเบา หยิบยาทุกชนิดใส่กระดาษหม่อนที่วางอยู่ด้านข้างโดยไม่ทำการชั่ง
ภาพนี้ ทำให้ทุกคนในสนามขมวดคิ้ว
ยาจีนนั้นจำเป็นจะต้องมีความแม่นยำเรื่องปริมาณ เพื่อที่จะรับประกันผลลัพธ์ของยา
วิธีการหยิบยาของซูเย่นั้นดูเลินเล่อเกินไป
หากไม่ชั่งน้ำหนัก จะมั่นใจได้อย่างไรว่าไม่มีความคลาดเคลื่อน?
นี่มันดูขาดความรับผิดชอบเกินไป!
ในตอนนี้ สายตาของฝั่งแพทย์แผนจีนพื้นบ้านเต็มไปด้วยความสงสัย
นักศึกษาผู้ช่วยหลายคนจากทางสถาบันเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
หลี่เชี่ยนหยวีตัดสินใจเข้าไปช่วยซูเย่ นำยาที่เขาหยิบมาเพื่อไปชั่งบนตาชั่งไฟฟ้า
สิบห้ากรัม!
ไม่ขาดไม่เกิน
หลี่เชี่ยนหยวีตะลึง
ซูเย่บอกว่าสิบห้ากรัม ก็หยิบขึ้นมาได้สิบห้ากรัมจริง ๆ!
ภาพตัวเลขน้ำหนักบนตาชั่งถูกฉายออกไปบนจอภาพขนาดใหญ่ในสนาม
ผู้ชมทุกคนก็ตกตะลึงไปตามกัน พวกเขาได้ยินเสียงกระซิบของซูเย่จากจอภาพมาก่อน
ปรากฏว่าหยิบมาได้พอดี!
“แม่นยำจัง?!”
“สิบห้ากรัมจริงเรอะ?”
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น
ขณะนั้น หลี่เชี่ยนหยวีนำส่วนประกอบยาที่สอง หวงฉิน ขึ้นมาชั่งน้ำหนัก
สิบสองกรัม!
ผู้คนพากันพูดคุยอย่างไม่หยุดไม่หย่อน
เมื่อครู่นี้ ซูเย่ก็พึมพำออกมาว่าหวงฉินสิบสองกรัม
ของทั้งสองชนิดถูกจัดเตรียมขึ้นมาได้อย่างแม่นยำ
กล่าวได้ว่า……
ซูเย่ไม่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักอีกต่อไป การกะน้ำหนักด้วยมือของเขาก็เพียงพอแล้ว!
ทุกคนยังยากที่จะเชื่อในความมั่นใจของซูเย่อยู่
นักศึกษาผู้ช่วยทั้งหลายเองก็ไม่อยากเชื่อ
จึงนำส่วนประกอบเหล่านั้นทุกอย่างขึ้นมาชั่ง
อย่างที่สาม อย่างที่สี่ อย่างที่ห้า……
ทุกอย่างที่ซูเย่เตรียมขึ้นมาล้วนถูกต้องแม่นยำ ตรงกับที่เขาพูดออกมาทั้งหมด ไม่มีคลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย!
ตึง!
ผู้ชมในสนามตกตะลึงถึงขีดสุด
ครั้งแรกอาจจะบังเอิญ ครั้งที่สองก็เป็นไปได้ ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า……
หมายความได้อย่างเดียวแล้วว่า มือของซูเย่นั้นแม่นยำเป็นอย่างมาก!
ไม่อย่างนั้นเขาคงทำเช่นนี้ไม่ได้ โดยปกติแล้วการกะปริมาณยาด้วยมือเปล่าเช่นนี้ มีเพียงเภสัชกรสูงอายุที่มีประสบการณ์ผ่านมาเกินทศวรรษเท่านั้นที่จะทำได้
ส่วนประกอบของยาตัวแรกครบถ้วน
“เรียบร้อย ฝากจัดการหน่อยนะครับ” ซูเย่ส่งทุกอย่างให้กับหลี่เชี่ยนหยวี พร้อมกำชับ “ต้มตามปกติได้เลย คุมไฟอย่าให้แรงเกินไป”
“ได้” หลี่เชียนหยวีพยักหน้า เดินออกไปเพื่อต้มยา
ซูเย่เริ่มทำการหยิบส่วนประกอบสำหรับยาตัวที่สองต่อ
จ้าวชุนอวี่เดินหน้าออกมา
เหมือนก่อนหน้า ทุกครั้งที่ซูเย่เตรียมส่วนประกอบหนึ่งอย่าง เขาจะคอยนำไปชั่งบนตาชั่งให้ทันที
ผลปรากฏว่า
ปริมาณยังคงถูกต้องเหมือนเดิม ไม่ขาดไม่เกิน
จนกระทั่งส่วนประกอบของยาตัวที่สองถูกจัดครบถ้วน ก็ยังคงไร้ข้อผิดพลาด
ในตอนนั้น ทุกคนในสนาม รวมไปถึงฉินเว่ยหมินและผู้ตัดสินทั้งหกคน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ
ตำรับยาตัวที่สองเสร็จ
จ้าวชุนอวี่จึงนำส่วนประกอบไปต้มยา
ซูเย่ต่อด้วยการหยิบส่วนประกอบของยาตัวที่สาม ตัวที่สี่
หยิบไปจนถึงยาตัวที่หนึ่งร้อย
ตอนนี้ทุกคนก็ได้เข้าใจแล้วว่า ซูเย่ประหยัดเวลาโดยการไม่เขียนใบสั่งยา และออกไปหยิบส่วนประกอบด้วยตัวเอง
ที่สำคัญคือซูเย่สามารถจำอาการของคนไข้ทั้งหมดได้จริง เพราะไม่มีช่องว่างระหว่างการหยิบส่วนประกอบยาแต่ละตัวเลย!
แถมยังไม่ต้องหยุดคิดอีกด้วยว่าจะต้องจ่ายยาตัวไหนให้ใคร หมายความได้ว่าเขากำหนดยาสำหรับคนไข้แต่ละรายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว!
ความจำของเขานี่มันอะไรกัน?
ทุกคนในสนามได้แต่จ้องมองดูซูเย่อย่างเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจ
ผู้คนจากกลุ่มแพทย์แผนจีนพื้นบ้านยิ้มเจื่อนมองหน้ากัน แน่นอนว่าพวกเขาถูกซูเย่สั่งสอนมอบบทเรียนให้อีกแล้ว
ทางฝั่งมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเองก็ได้เข้าใจในที่สุด ว่าที่หลี่เคอหมิงกล่าวถึงความจำดีเลิศของซูเย่นั้นเป็นอย่างไร ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถเทียบได้จริง ๆ!
ฉินเว่ยหมินผู้ที่ใช้สองมือวินิจฉัย สองมือจ่ายยา เริ่มรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย
เพราะวิธีการของซูเย่นั้น… เร็วกว่าวิธีของเขาอย่างชัดเจน!!