เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 43 แปลอักษรเจี๊ยกู่ตัวละหนึ่งแสนหยวน
บทที่ 43 แปลอักษรเจี๊ยกู่ตัวละหนึ่งแสนหยวน
“หืม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูเย่ โจรปล้นสุสานผงะ ขมวดคิ้วเหลือบมองซูเย่ ก่อนจะยิ้มและเอ่ยขึ้น “ผมไม่ได้ล้อเล่นกับคุณนะ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่บอกให้ลูกน้องเชิญคุณมาที่นี่”
“ฉันก็ไม่ได้ล้อเล่นกับนาย” ซูเย่พูดยิ้ม ๆ
นาทีต่อมา ภายใต้สายตาตกตะลึงของอีกฝ่าย ร่างของซูเย่วูบไหว
“เพียะ ๆ…”
ร่างของทั้งสามคนล้มลงกับพื้น
“แอ๊ด”
ประตูห้องถูกผลักออก
ซูเย่ชะโงกหัวออกมาด้วยรอยยิ้ม และบอกกับชายฉกรรจ์สองคนหน้าประตู “พี่ใหญ่ของพวกนายให้ฉันมาตามพวกนายเข้าไปหารือแผนการหลังจากนี้”
ชายฉกรรจ์สองคนได้ฟังก็สบตากันอย่างดีใจ
พี่ใหญ่จัดการเรียบร้อยแล้วเหรอ?
พวกเขาหัวเราะซื่อ ๆ กับซูเย่ และเดินเข้าไปทันที
“เพียะเพียะ”
เพิ่งเข้ามาในประตู
เสียงกระแทกดังลั่นสองเสียงดังเข้ามา
ชั่วขณะนั้น ห้องนี้กลับสู่ความสงบ
ชายฉกรรจ์ทั้งหมดสี่คนรวมถึงคนเป็นหัวโจกคนนั้นหมดท่ากันหมด
ซูเย่ค้นเชือกออกมาได้หนึ่งมัดจากอุปกรณ์ทำงานกองหนึ่งของพวกโจรปล้นสุสาน และมัดทั้งห้าคนเข้าด้วยกัน ก่อนจะโยนขึ้นรถตู้พร้อม ๆ กับอุปกรณ์ทำงานอย่างอื่น
“นี่ฉันเผลอไขคดีสำเร็จเหรอเนี่ย?”
ซูเย่ส่ายหัวด้วยความสะท้อนใจ และขับรถมุ่งหน้าไปทางสถานีตำรวจของเมืองจี้หยาง
“เอ๋ ซูเย่?”
ตำรวจที่อยู่เวรในสถานีกำลังสงสัยว่าใครกันที่ขับรถส่วนตัวเข้ามา พอดูดี ๆ ก็พบว่าเป็นซูเย่
กำจัดอิทธิพลใต้ดินได้ถึงสองครั้งรวด และช่วยหน่วยงานตำรวจจับกุมพ่อค้ายาเสพติด!
ตำรวจทุกคนในสถานีรู้จักซูเย่หมด
บวกกับชื่อเสียงของซูเย่ค่อนข้างดังอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น นาทีแรกที่เห็นซูเย่ ตำรวจอยู่เวรก็เดินยิ้มเข้ามาทักทายทันที
“คนดัง มาได้ยังไงครับ” ตำรวจถาม
“จับโจรปล้นสุสานได้สามสี่คน จึงรีบมาแจ้งผู้บังคับบัญชาพวกคุณให้มารับไป”
ซูเย่ลงรถและชี้ไปที่ด้านหลังรถพลางบอก
“โจรปล้นสุสาน?”
ตำรวจที่อยู่เวรได้ฟังแบบนั้นจึงรีบโทรรายงานผู้บังคับบัญชาทันที
“เกิดอะไรขึ้น” ผู้บังคับบัญชาสถานีตำรวจเดินนำลูกน้องออกมาอย่างรวดเร็ว และเข้ามาหาด้วยสีหน้าตั้งคำถาม
หนึ่งในคนด้านหลังเขาคือหวังเหวิน เขามองหน้าซูเย่ด้วยหน้าตาประหลาดใจ
“เช้านี้ผมเพิ่งออกจากมหาวิทยาลัยก็โดนคนกลุ่มนี้ลักพาตัว”
ซูเย่ยักไหล่ด้วยสีหน้าใสซื่อ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พวกเขาเป็นกลุ่มโจรปล้นสุสาน จะชวนผมไปร่วมงานปล้นสุสานด้วยกัน”
เมื่อเขาพูดแบบนี้ออกไป
ตำรวจทุกนายในที่นี้หัวเราะกันหมด
ลักพาตัวใครไม่ลักพา ดันลักพาตัวซูเย่ เขาเป็นคนมีฝีมือที่ผู้มีอิทธิพลใต้ดินเมืองจี้หยางยังเกรงกลัวเลยนะ
ผู้บัญชาการก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือแสดงอารมณ์แบบไหนดี ตาบอดรึไงกัน? คนจากกองสืบสวนก็กล้าลักพาตัวเหรอ เขาพูดด้วยสีหน้าขึงขัง “มาให้ฉันดูหน่อย คนมีตาหามีแววไม่ที่ไหนไม่รู้จักแม้กระทั่งวีรบุรุษกำจัดเหล่าร้ายของพวกเราเมืองจี้หยาง”
พูดไป
เขาก็เปิดรถตู้ และเห็นทั้งห้าคนที่ถูกมัดเข้าด้วยกัน จึงรีบหันไปเรียกนายตำรวจมานำพวกเขาลงไป
“โอ้โห อุปกรณ์ทำงานครบครันดีนี่”
ผู้บัญชาการเห็นอุปกรณ์ที่ขนลงจากรถแล้วหัวเราะเย็น ๆ หันไปพูดกับหวังเหวินด้านข้าง “ไปตรวจสอบข้อมูลของคนพวกนี้หน่อย”
“ครับ”
หวังเหวินรีบหยิบเครื่องมือขึ้นมาเครื่องหนึ่ง และถ่ายรูปทั้งห้าคนไว้เพื่อทำการตรวจสอบ
“เจ้าคนพวกนี้ต้องไม่ได้อยู่ในแวดวงใต้ดินแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่โง่ถึงขนาดมาหาเรื่องนาย” ผู้บัญชาการเดินมาอยู่ข้างกายซูเย่และเอ่ยยิ้ม ๆ
“จะว่าไป ผมจับอาชญากรมาให้คุณมากมายขนาดนี้ มีรางวัลอะไรมั้ยครับ?” ซูเย่ถาม
“ไม่มี” ผู้บัญชาการส่ายหัวทันควัน พร้อมเอ่ยขึ้น “ธงรางวัลให้อีกผืนพอได้อยู่”
“เจอแล้วครับผู้บัญชาการ” ทันใดนั้น เสียงอึ้ง ๆ ของหวังเหวินดังเข้ามา เขากล่าว “คนคนนี้คืออาชญากรหลบหนีคนสำคัญ ก่อความผิดด้านทำลายทรัพย์สินและขายทรัพย์สินระดับหนึ่งของประเทศ รางวัลนำจับห้าแสนครับ”
เมื่อประโยคนี้ถูกเอื้อนเอ่ย
ตำรวจทุกนายในที่นี้อึ้งกันหมด
ผู้บัญชาการก็ตาโต หน้าตายินดีปรีดาเช่นเดียวกัน
จับตัวการใหญ่ได้!
“ห้าแสน?” ซูเย่ตาเป็นประกายอย่างอดไม่ได้ เงินนี่มาเองถึงที่เลยนะ
“รีบนำคนไปขังไว้ ฉันจะเป็นคนสืบสวนและรายงานเอง” ผู้บัญชาการออกคำสั่ง
บรรดาตำรวจรีบลงมือพาพวกเขาไปขัง
“บนใบประกาศจับเขียนไว้ว่าคนที่บอกเบาะแสสำคัญได้มีเงินรางวัลห้าแสนหยวน ถึงแม้นายจะจับมาให้เลย แต่เงินรางวัลสูงสุดก็แค่ห้าแสนหยวนอยู่ดี มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” ผู้บัญชาการตรวจสอบใบประกาศจับก่อนจะบอกกับซูเย่
“ห้าแสนไม่น้อยแล้วครับ ผมไม่โลภ” ซูเย่ยิ้ม ก่อนจะกรอกตาไปมาและถาม “มีนักโทษหลบหนีคนสำคัญคนอื่นอีกมั้ยครับ ประเภทที่เงินรางวัลสูง ๆ น่ะ”
“นายจะทำอะไร?” ผู้บัญชาการผงะ
“กำจัดภัยร้ายให้ประชาชน!” ซูเย่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทำไมฉันรู้สึกว่านายทำเพื่อเงินล่ะ??” ผู้บัญชาการเบ้ปาก
แต่… ถ้าซูเย่จับมาได้จริง ๆ ต่อให้แค่คนเดียวก็นับเป็นเรื่องดี!
เขาพาซูเย่มาที่ห้องทำงานและส่งไฟล์ให้ซูเย่
“ในไฟล์นี้ล้วนแล้วแต่เป็นนักโทษหลบหนีที่ประกาศจับในพื้นที่ทั้งประเทศ จับได้แค่คนเดียวก็เก่งมากแล้ว” ผู้บัญชาการกล่าว
“ได้ครับ”
ซูเย่ตอบ “ผมจะจับตามนี้”
ผู้บัญชาการหมดคำจะพูด เขาเตือนขึ้นมาทันที “คนพวกนี้มีแต่พวกเลวทรามต่ำช้า ในนี้มีจำนวนไม่น้อยที่ฆ่าคนตายมาแล้ว ไม่ได้จัดการได้ง่าย ๆ อย่างที่นายคิดหรอกนะ”
“ยากกว่าจับพ่อค้ายาเสพติดอีกเหรอครับ?” ซูเย่ถามกลับ
ผู้บัญชาการได้ยินเข้าก็ไม่พูดอะไรอีก
เจ้านี่หลบกระสุนปืนได้เชียวนะ!
ดูเหมือนความกลัวเกรงจะไม่มีอยู่จริงสำหรับพวกเขากองสืบสวน
“ยืนยันตัวตนนักโทษเรียบร้อยแล้ว เงินรางวัลของนาย สถานีของเราจะเป็นคนมอบให้แทนเอง เงินรางวัลนี้ไม่ต้องจ่ายภาษี นายจะเอาเงินสดหรือจะให้โอน” ผู้บัญชาการได้ข้อมูลจากตำรวจใต้บัญชาแล้วถาม
“โอนครับ”
ครู่เดียว ซูเย่ก็ได้รับเงินห้าแสนหยวนที่ผู้บัญชาการโอนมา
หลังจากถูกดึงไปถ่ายรูปเสร็จ ซูเย่ถึงออกจากสถานีตำรวจไปคนเดียว
“ได้เงินจากถ่ายรายการหลังหักภาษีหกแสนหยวน จับผู้ร้ายได้อีกห้าแสนหยวน ขาดอีกหนึ่งล้านเก้าแสนถึงจะได้สิบล้านหยวน”
ซูเย่บ่นกับตัวเอง
ต้องหาทางที่จะทำเงินได้รวดเร็วกว่านี้!
เก็บวัตถุโบราณคงไม่ได้แล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรให้เก็บเลย
คิดไปสักพัก
ซูเย่พลันนึกได้ว่าเมื่อกี้ตัวเองเพิ่งเปิดเวยป๋อไม่ใช่เหรอ
หรือว่า…
ลองถามในเวยป๋อดีไหม ว่าหาเงินยังไง?
ซูเย่รู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดี รวมพลังฝูงชน ไม่แน่ว่าชาวเน็ตอาจจะมีหนทางจริง ๆ ก็ได้
‘มีวิธีหาเงินแบบไว ๆ บ้างไหมครับ’
เขารีบพิมพ์เวยป๋อในมือถือและโพสต์ออกไป
ชาวเน็ตที่ติดตามซูเย่เห็นเวยป๋อโพสต์นี้ก็หัวเราะออกมาทันควัน
ซูเย่อยากหาเงินไว ๆ?
นายเพิ่งได้มาแปดล้านไม่ใช่เหรอ?
อยากจะหาเงินอีก? ง่ายนิดเดียว
‘วิธีหาเงินง่าย ๆ ล้วนเขียนไว้ในข้อกฎหมายอาญาหมดแล้ว’
เมื่อคอมเมนต์นี้ถูกโพสต์ตอบ ก็ได้ชาวเน็ตนับไม่ถ้วนดันจนติดท็อปเม้นในทันที
ซูเย่ “…….”
ฉันเป็นประชาชนที่เคารพกฎหมายนะ!
ด้านใต้โพสต์
คอมเมนต์แต่ละคนต่างเปิดโลกจินตนาการให้กับชายหนุ่มขนานใหญ่
‘ขายตรงสิ เปิดร้านออนไลน์สิ ไม่ก็เล่นเงินตราต่างประเทศไง ได้เงินไวมาก’
‘ปล้นธนาคาร’
‘ด้วยความสามารถของนาย ไปเขียนนิยายปล้นสุสานได้เลยนะ ผมจะกดซื้อแน่นอน’
‘ฮ่า ๆ ด้วยชื่อเสียงของนายตอนนี้ยังต้องกังวลเรื่องเงินอีกเหรอ แฟนคลับอย่างพวกเราช่วยบริจาคให้เอาไหม? คนละหยวนก็ไม่น้อยแล้วนะ’
‘นายต้องการเงินเท่าไหร่ บอกราคามาเลย ฉันจะรับเลี้ยงดูนายเอง’
คอมเมนต์เหล่านี้ร้ายกาจขึ้นเรื่อย ๆ
ซูเย่อ่านอยู่ตั้งนาน ก็มีแค่งานพรีเซนเตอร์ที่เข้าท่า
ทว่า…
เขาไม่มีแผนจะเข้าวงการบันเทิง!
เขาหากินด้วยความสามารถนะ
ไม่ใช่ด้วยหน้าตา
ซูเย่อ่านต่อไปเรื่อย ๆ
และเลือกเมินพวกคอมเมนต์ก่อกวน
ดูไปดูมา
คอมเมนต์ที่มีประโยชน์มากก็ปรากฏสู่สายตา
‘แปลอักษรเจี๊ยกู่*[1]ตัวละหนึ่งแสนหยวน อันนี้ไวสุด’
ซูเย่ตาเป็นประกายทันที
มีวิธีนี้ด้วยเหรอ?
แปลอักษรเจี๊ยกู่ตัวละหนึ่งแสนหยวน?
คอมเม้นต์ใต้คอมเมนต์นี้ก็เยอะมาก
‘อันนี้ดี ฮ่า ๆ ….ชาตินี้พยายามแปลอักษรเจี๊ยกู่ได้สักตัว’
‘เท่เลยนะ’
‘ท่านเทพซูเย่เป็นผู้ชนะเลิศของงานแพทย์แผนจีน ไม่แน่อาจจะแปลได้จริง ๆ สู้ ๆ นะ ฉันไม่เอาใจช่วยเลยสักนิด ฮ่า ๆๆ’
ชาวเน็ตต่างเห็นการแปลอักษรเจี๊ยกู่เป็นเรื่องเพ้อฝัน
ซูเย่ยิ้มเล็กน้อย
เขานี่แหละรู้อักษรเจี๊ยกู่!
ว่าแล้วชายหนุ่มรีบค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการแปลอักษรเจี๊ยกู่ และพบว่าสำนักงานวัฒนธรรมของเมืองตี้ตูเคยประกาศรางวัลแปลอักษรเจี๊ยกู่หนึ่งตัวได้หนึ่งแสนหยวนจริง ๆ
คนที่ต้องติดต่อก็คือผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านอักษรเจี๊ยกู่
“ทำอันนี้แหละ”
นัยน์ตาซูเย่เป็นประกาย และกดไลก์คำแนะนำของคนนี้
ไม่กดไลก์ไม่เท่าไหร่
พอกดไลก์ ก็เรียกชาวเน็ตมากมายมามุง
‘ซูเย่กดไลก์??’
‘ไม่หรอกมั้ง เขาคงไม่ได้อยากไปแปลอักษรเจี๊ยกู่จริง ๆ ใช่ไหม?’
‘ไม่มั้ง ไม่มั้ง’
ในขณะที่ชาวเน็ตกำลังตะลึง
ก็พบว่าซูเย่ตอบกลับคอมเมนต์นั้น
‘ขอบคุณคำแนะนำของคุณมาก ถ้าได้เงินรางวัลจริง ๆ ผมจะจับฉลากรางวัล แจกโบนัสหนึ่งหมื่นหยวนให้ทุกคน และจะโอนให้คุณห้าพันหยวนเป็นรางวัลตอบแทน’
ชาวเน็ตอึ้งกันหมด
นี่นายจะทำจริง ๆ เหรอ???
อักษรเจี๊ยกู่แปลง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง
ซูเย่ไม่สนใจปฏิกิริยาหลังจากนั้นของชาวเน็ต
เขาโพสต์เสร็จก็ปิดเวยป๋อ และลองใช้ฟังก์ชั่นของนาฬิกาจากกองสืบสวนตรวจสอบดู
และก็ได้เจอที่อยู่บ้านของผู้เชี่ยวชาญคนนี้จริง ๆ
“ไม่ได้อัพเลเวลสมาชิกกองสืบสวนเปล่า ๆ ปลี้ ๆ สินะ มีอภิสิทธิ์นี้ด้วย สุดยอด”
ซูเย่อุทาน และจองตั๋วเครื่องบินไปที่เมืองตี้ตูทันที
สองชั่วโมงต่อมา เขามาถึงเมืองตี้ตู
ชายหนุ่มมาตามที่อยู่บ้านที่สืบมาได้ และมาถึงโครงการเก่า ๆ ที่แมกไม้ขึ้นดก
“สวัสดีครับ ผมมาหาอาจารย์เจิ้งไท่ผิงที่อยู่ตึกสามห้อง 401”
ซูเย่บอกกับยามหน้าโครงการ
“คุณเป็นใครครับ?” ยามถาม
“คุณบอกเขาว่า ผมคือลูกศิษย์ของปรมาจารย์แพทย์แผนจีนฮัวเหรินเชิง ซูเย่” ซูเย่ตอบ
“รอก่อนนะครับ” ยามพยักหน้า และติดต่อเจิ้งไท่ผิง
ผ่านไปสักพัก
“เข้าไปได้แล้ว ขึ้นไปที่ห้อง 401 ชั้นสี่ได้เลยครับ” ยามบอก
ซูเย่รีบเดินเข้าไปในโครงการ และมาถึงตึกสาม
เขาพบว่าประตูตึกเปิดไว้แล้ว หลังจากเข้ามาในลิฟต์ก็เลือกชั้นอื่นไม่ได้ ไปได้แค่ชั้นสี่
ประตูลิฟต์เปิดออก
ซูเย่เพิ่งจะเดินออกไป ก็เห็นชายแก่คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู 401 ยืนรอด้วยหน้าตาสงสัย
“คุณคือลูกศิษย์ของปรมาจารย์แพทย์แผนจีน ฮัวเหรินเชิงเหรอ?” เมื่อเห็นซูเย่ ชายแก่ก็เอ่ยถามทันที
“สวัสดีครับ” ซูเย่พยักหน้าและคำนับ พร้อมกล่าว “ผมคือซูเย่”
“ซูเย่?”
เจิ้งไท่ผิงขมวดคิ้วและถาม “ฉันกับอาจารย์ของคุณไม่ได้สนิทกัน คุณมาหาฉันมีเรื่องอะไร?”
“แปลอักษรเจี๊ยกู่ครับ” ซูเย่ยิ้มน้อย ๆ
“คุณเรียนการแพทย์แต่รู้เรื่องอักษรเจี๊ยกู่ด้วยเหรอ?!” เจิ้งไท่ผิงชะงักไป ก่อนจะส่งสัญญาณให้ซูเย่เข้าห้อง
เมื่อกี้เขาก็เข้าไปค้นหาข้อมูลในเน็ตมาแล้ว และรู้แน่ชัดว่าปรมาจารย์แพทย์แผนจีนมีลูกศิษย์กี่คน
และมีลูกศิษย์ชื่อซูเย่จริง ๆ มิหนำซ้ำยังเป็นศิษย์ก้นกุฏิอีกด้วย
“พอรู้บ้างครับ”
พอเดินเข้ามาในห้อง ซูเย่พบว่าในห้องเล็ก ๆ นี้เต็มไปด้วยของที่ใช้ในการวิจัย ไม่เหมือนกับที่พักพิงเลย
[1] อักษรเจี๊ยกู่ หรือ เจี๋ยกู่เหริน คืออักษรจีนโบราณชนิดหนึ่งที่สลักบนกระดองเต่าหรือกระดูกสัตว์ นับเป็นตัวอักษรจีนที่พัฒนาจนมีรูปแบบที่เก่าแก่ที่สุด