เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 175 บรรดาพี่ชายจากคำบอกเล่าของเสี่ยวเป่า
- Home
- เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช
- บทที่ 175 บรรดาพี่ชายจากคำบอกเล่าของเสี่ยวเป่า
บทที่ 175 บรรดาพี่ชายจากคำบอกเล่าของเสี่ยวเป่า
บทที่ 175 บรรดาพี่ชายจากคำบอกเล่าของเสี่ยวเป่า
“ที่พวกเขามีความสุขมากยามพบว่ามีเนื้ออยู่ในซาลาเปา ก็เพราะว่าบางครอบครัวไม่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อหาเนื้อมากินได้เป็นเวลาหลายเดือนหรือถึงครึ่งปี คนที่ยากจนมาก ๆ อาจได้กินเนื้อเพียงปีละหน เพียงแค่เติมท้องให้อิ่มก็เป็นเรื่องยากแล้ว การกินเนื้อจึงเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยมาก”
หนานกงฉีเฉินเม้มปาก ก่อนจะถามขึ้นว่า “เราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลยหรือ”
หลีรุ่นลูบเคราของเขาแล้วส่ายหน้า “เป็นเรื่องยากมากพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายห้าขึ้นเสียงอย่างกระวนกระวาย “ท่านราชครู การที่ท่านบอกว่าเป็นเรื่องยาก หมายความว่ายังพอมีวิธีจะทำได้สินะ”
หลีรุ่นส่ายหน้าและไม่ได้อธิบายต่อ เรื่องเหล่านี้เกี่ยวพันกับปัญหาซับซ้อนมากมายเกินกว่าที่เหล่าองค์ชายจะเข้าใจได้ในเวลานี้
หนานกงสือเยวียนนั่งอยู่ในห้อง จิบชาพลางอุ้มเสี่ยวเป่าไว้ในอ้อมแขนและฟังอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้รบกวนการสอนของหลีรุ่น
ไม่เพียงแต่สอนให้ท่องจำตำราเท่านั้น เขายังต้องการให้ราชครูสอนเรื่องราวความเป็นไปในบ้านเมืองแก่องค์ชายด้วย
องค์ชายทั้งหมดตกอยู่ในภวังค์ของความคิด มีสีหน้าหนักใจระคนสงสัยไปพร้อมกัน หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังหลังจากได้ยินสิ่งที่หลีไท่ฟู่กล่าวเมื่อครู่
เสี่ยวเป่ายังคงมองคนข้างนอกที่กำลังมีความสุขกับน้ำบ๊วย รอยยิ้มบนใบหน้าเด็ก ๆ เหล่านั้นมีความสุขราวกับกำลังฉลองวันข้ามปี พวกเขาถือถ้วยน้ำแล้วจิบอย่างละเลียด ยังได้ยินด้วยว่าพวกเขาไม่สามารถเอาซาลาเปาและน้ำบ๊วยกลับไปฝากคนที่บ้านได้
“ท่านพ่อ น้ำตาลเป็นสิ่งที่แพงมากหรือไม่เพคะ”
เมื่อตอนที่เสี่ยวเป่าอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขา มารดามักจะทำม่ายหยาถัง*[1] ให้กินเป็นครั้งคราว แต่กลับไม่เคยได้เห็นน้ำตาลสีขาวมาก่อนเลย
นางไม่เคยเห็นน้ำตาลขาว ๆ ที่เรียกว่าน้ำตาลเกล็ดหิมะ จนกระทั่งเข้ามาในวัง
“อืม”
แววตาของหนานกงสือเยวียนลึกล้ำ “ตอนที่ข้าอยู่ในกองทัพ น้ำตาลเกล็ดหิมะสองก้อนราคาสิบอีแปะ”
เพียงหนึ่งถึงสองก้อนก็ราคาแพงกว่าข้าวสารไปมาก
ดวงตาของเสี่ยวเป่าเบิกกว้าง “แพงมากจริง ๆ ด้วย!”
โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ฟังหลีไท่ฟู่พูดเรื่องความยากลำบากในการหาเงินของชาวบ้านไปเมื่อครู่แล้ว นางก็ยิ่งตกใจมาก
“ทำไมล่ะเพคะ”
นางจำได้ว่าชาติที่แล้วน้ำตาลเป็นของราคาไม่แพงเลย
หนานกงสือเยวียนชำเลืองมองไปทางราชครู เป็นเชิงเรียกให้เขามาทางนี้
ราชครูเอ่ยตอบ “กระหม่อมก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องน้ำตาลมากนัก ทราบเพียงว่ามันผลิตจากพืชที่เรียกว่าอ้อย แต่เพราะสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตทำให้ปลูกได้เพียงบางพื้นที่ในตอนใต้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ เมื่อผลผลิตเก็บเกี่ยวได้น้อยมาก และการทำน้ำตาลเกล็ดหิมะจำเป็นต้องนำอ้อยมาผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน เพื่อให้ได้น้ำตาลเกล็ดเล็ก ๆ สีขาวออกมา มันจึงมีราคาแพงมาก”
เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะ “นอกจากอ้อยแล้ว เถียนช่าย*[2] ก็ใช้ทำน้ำตาลได้ดีเช่นกัน และยังปลูกได้ดีที่สุดทางเหนืออีกด้วย”
หลังจากเสียงใสของเด็กหญิงเอ่ยจบแล้ว นางก็พบว่าทั้งท่านพ่อและฝูไห่กงกงกำลังจ้องมองมาที่ตน
เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ อย่างไร้เดียงสา ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“เถียนช่าย?”
หนานกงสือเยวียนถามขึ้นว่า “มันคืออะไร”
เหตุใดเขาถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
ฝูไห่เองก็จนปัญญา เขาไม่รู้จักมันเช่นกัน
หนานกงสือเยวียนถามต่ออย่างใจเย็น “หน้าตามันเป็นอย่างไร ข้าจะส่งคนไปออกตามหา”
แม้ว่านี่จะเป็นคำพูดของบุตรสาววัยสามหนาว แต่ผู้เป็นบิดาก็เชื่อในคำของนาง
เสี่ยวเป่ายกมือเล็ก ๆ ขึ้นแสดงรูปร่างของมันพร้อมอธิบายเสียงใส “หน้าตามันดูเหมือนหัวไชเท้า แต่ว่าเป็นทรงกลมสีแดง ๆ และมีรสชาติหวานด้วยเพคะ”
เพียงแค่คำอธิบายนั้นน่าจะยังเข้าใจยากเกินไป จึงต้องหาจิตรกรมาวาดภาพเถียนช่ายตามคำอธิบายของเสี่ยวเป่า
หนานกงสือเยวียนมีความคิดจะตามหาเถียนช่าย จึงให้คนเขียนอธิบายลักษณะของมันและให้จิตรกรวาดภาพอีกสองสามภาพประกอบลงไป
เพราะภาพวาดในยุคนี้เป็นสีขาวดำเท่านั้น
เขาตั้งใจจะแจกจ่ายประกาศนี้ออกไปตามหัวเมืองต่าง ๆ และมอบรางวัลให้ผู้ที่ช่วยตามหาเถียนช่ายมาได้ หากมีคนช่วยออกตามหาจำนวนมาก อย่างไรก็ต้องหาพบ
สาเหตุที่พืชทำน้ำตาลที่เรียกว่าเถียนช่ายนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งก็เพราะว่า นอกจากในอาณาจักรต้าเซี่ยแล้ว อาณาจักรอื่น ๆ และชนเผ่าต่าง ๆ โดยรอบก็ต้องการน้ำตาลมากเช่นกัน
หากค้นพบเถียนช่ายที่สามารถปลูกได้จำนวนมากทางเหนือตามที่เสี่ยวเป่าว่า ย่อมสามารถใช้มันเป็นแหล่งรายได้ชั้นดีให้แก่ท้องพระคลังได้ แม้แต่ราชสำนักก็ยังขาดแคลนเงิน เสนาบดีกรมคลังไม่สามารถจัดการเรื่องเงินได้อย่างคล่องตัว ฮ่องเต้ก็ต้องหาทางช่วยเหลือ
หลังจากกินอาหารจนอิ่ม และพักเอาแรงชั่วครู่ ทุกคนก็เริ่มออกมาจับปลากันต่อที่ทุ่งนา
หัวหน้าผู้ดูแลนาหลวงดีใจระคนกังวล เมื่อเห็นว่ามีปลาจำนวนมาก แน่นอนว่าเขามีความสุขที่เห็นปลามากมายแต่ปัญหาคือ ไม่รู้ว่าจะเอาปลาเหล่านี้ไปขายให้หมดได้อย่างไร
หนานกงสือเยวียนไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย “จับขึ้นมาแค่บางตัว แล้วก็เติมน้ำกลับเข้าไป เลี้ยงบางตัวที่เหลือต่อ”
เสี่ยวเป่าออกความคิดเห็น “สามารถส่งไปที่เหลาอาหารเจินซิวได้หรือไม่เพคะ”
อาหารจานหลักของเหลาอาหารเจินซิวในปัจจุบันคือกุ้งก้ามแดงเท่านั้น ต่อไปจะสามารถเพิ่มปลาทอด ปลานึ่ง ปลากระรอกทอดเปรี้ยวหวานก็ได้!
เพียงแค่คิดเสี่ยวเป่าก็น้ำลายสอขึ้นมาแล้ว
หนานกงสือเยวียนบีบแก้มกลมของบุตรสาว “หมูน้อยจอมตะกละ”
เสียงทุ้มลึกเต็มไปด้วยเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์กำลังหยอกล้อเจ้าตัวน้อย
ปลาที่เลี้ยงในนามีขนาดตัวอ้วนใหญ่ แต่ละตัวมีน้ำหนักราวสองถึงสามชั่งได้
ในตอนนั้นเองก็มีรถม้าคันหนึ่งมาจอดที่ด้านหน้าของนาหลวง ผู้ดูแลนาหลวงจึงเข้ามากราบทูลต่อหนานกงสือเยวียน
“ให้พวกเขาเข้ามา”
เมื่อได้รับรายงานก็ตอบรับอย่างง่ายดาย
ระหว่างที่เสี่ยวเป่าและพี่ ๆ กำลังรวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับการเอาปลาไปทำอาหาร เด็กหญิงก็ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
ร่างเล็กหันไปมองตามต้นเสียงก็พบว่าเป็นโจวเหยียน เพื่อนตัวน้อยของนางเอง เสี่ยวเป่ามองแวบเดียวก็รู้ทันที
โจวเหยียนแทบรอไม่ไหวที่จะกระโดดลงจากรถม้าและวิ่งตรงมาทางนี้ แต่กลับถูกบิดาคว้าคอเสื้อเอาไว้อย่างรวดเร็วและเคาะหัวอย่างไม่ปรานี
“เจ้าเด็กนี่ ข้าสอนมารยาทเจ้าแล้วตั้งแต่บนรถม้า ตอนนี้ไม่เหมือนเวลาทั่วไป เจ้าต้องรู้จักสำรวมให้มากกว่านี้ ไม่เข้าใจหรือ!”
โจวเหิง บิดาของโจวเหยียนลดเสียงลงและเอ่ยสั่งสอนบุตรชายว่าห้ามซุกซน อย่าวิ่งไปมา อาจทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยได้ ถ้าเขายังอยากจะเป็นพระสหายขององค์หญิงน้อยต่อไปก็ต้องทำตัวดี ๆ
เด็กชายตัวกลมคร่ำครวญอย่างไม่พอใจ แต่ในที่สุดก็ค่อย ๆ เดินอย่างเชื่อฟังไม่รีบวิ่งไปอีก
เจี่ยเจินลงมาจากรถม้าพร้อมขวดสุราที่ห้อยอยู่ที่เอว
เมื่อเสี่ยวเป่าเห็นโจวเหยียน ก็รีบยกมือนุ่มนิ่มโบกไปมาให้เขาอย่างมีความสุข
“โจวเหยียน มาดูปลาเร็วเข้า”
โจวเหยียนตอบรับอย่างมีความสุข เดิมทีก็อยากจะรีบวิ่งไป แต่เห็นว่าบิดากำลังส่งสายตาคมกริบห้ามปรามไว้อยู่
โจวเหยียนนิ่งอึ้ง “…”
ท่านพ่อคนนี้ต้องเป็นตัวปลอมแน่ ๆ
“ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
โจวเหิงดึงบุตรชายให้คุกเข่าทำความเคารพด้วยกัน
หนานกงสือเยวียน “ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
โจวเหิงยังอยู่ในอาการประหม่า ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ต่างจากองค์หญิง พระองค์อยู่ในฐานะเจ้าแผ่นดินของราชวงศ์ต้าเซี่ย เขาทำได้แค่ยืนนิ่งด้วยความรู้สึกราวกับถูกกดทับไปทั่วทั้งร่าง
เป็นไปตามที่เล่าลือกัน กลิ่นอายเทพสงครามของพระองค์ที่แผ่ออกมา ล้วนเป็นเครื่องยืนยันความแข็งแกร่งที่ได้รับมาจากการเคี่ยวกรำในสนามรบ
แม้โจวเหยียนจะประหม่าและกระวนกระวายระหว่างเผชิญหน้ากับหนานกงสือเยวียน แต่ไม่นานนัก เขาก็ถูกเสี่ยวเป่าลากไปดูปลาด้วยกัน
เด็กชายตัวกลมตื้นตันใจจนน้ำตาแทบไหลเมื่อเสี่ยวเป่าต้อนรับเขาอย่างเป็นมิตร
แต่เพียงครู่ต่อมา เขาก็ถูกสายตาเจ็ดคู่จับจ้องมาเป็นตาเดียว
เด็กอ้วนโจวเหยียน “…”
“นี่คือพี่ชายของเสี่ยวเป่าเอง ทักทายพี่ชายเร็วเข้า”
เมื่อถูกสายตาทั้งเจ็ดคู่จ้องเขม็ง เด็กชายตัวกลมก็ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้
เขารู้ว่าเสี่ยวเป่ามีพี่น้องแปดคน แต่เหตุใดพวกเขาถึงได้แตกต่างจากที่เสี่ยวเป่าเคยเล่าให้ฟังนัก
จำได้ว่าพี่ชายของเสี่ยวเป่าที่นางเคยเล่าให้ฟังนั้นอ่อนโยนและใจดี อบอุ่นเป็นมิตรกับผู้คน โดยรวมแล้วเป็นคนดีมาก
แต่สิ่งที่เขาเห็นตอนนี้…
สายตาที่ส่งมาช่างดุดันเหลือเกิน QAQ
องค์ชายห้ากอดอกพลางหรี่ตาพูดว่า “เจ้าคือสหายของน้องหญิงงั้นหรือ”
โจวเหยียนพยักหน้าอย่างนอบน้อม ไม่ต่างจากลูกแกะตัวน้อยที่กำลังเผชิญหน้ากับหมาป่าตัวใหญ่
เหตุใดเขารู้สึกว่าตนกำลังถูกพี่ชายของเสี่ยวเป่าข่มขู่อยู่กันนะ (T^ T)
[1] ม่ายหยาถัง (麦芽糖) น้ำตาลจากข้าวบาร์เล่ย์ เป็นลูกกวาดเหนียวสีน้ำตาล
[2] เถียนช่าย (甜菜) คือ บีทรูท