เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 180 องค์หญิงไท่จ่าง
บทที่ 180 องค์หญิงไท่จ่าง
บทที่ 180 องค์หญิงไท่จ่าง
ในงานเลี้ยงมีแค่เหล่าสตรีชั้นสูงเท่านั้น เพียงแรกมอง เสี่ยวเป่าก็เห็นท่านน้าและเหล่าพี่สาวที่แต่งกายหรูหรางดงาม
“ถวายพระพรพระสนมและองค์หญิงเจาเสวี่ยเพคะ”
เสี่ยวเป่ามองหญิงงามละลานตาจนแทบลืมมองทาง เกือบจะพลาดชนเข้ากับหวงกุ้ยเฟย เจ้าก้อนแป้งเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางคลี่ยิ้มหวานสดใส
“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”
เสี่ยวเป่าถูกอันหมัวมัวอุ้มขึ้นนั่งบนเก้าอี้ถัดจากหวงกุ้ยเฟย องค์หญิงน้อยพยายามอย่างเต็มที่ในการนั่งหลังตรงให้ดูสง่างาม จ้องมองเหล่าสตรีที่อยู่เบื้องล่างด้วยดวงตาสีเข้มแฝงความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้
ในขณะที่นางกำลังมองสตรีสูงศักดิ์จากทั่วทั้งเมืองหลวง เหล่าสตรีที่อยู่ด้านล่างก็มององค์หญิงอยู่เช่นกัน
บางคนรู้สึกว่าองค์หญิงช่างน่ารักราวกับเทพเซียนตัวน้อย แม้จะยังทรงพระเยาว์แต่ก็ดูโดดเด่นมาก มิแปลกที่ฝ่าบาทจะโปรดปราน
แน่นอนว่าต้องมีคนที่คิดร้ายด้วยเช่นกัน บางคนมองว่ารูปโฉมเช่นนี้จะต้องมาจากมารดาที่ทรงเสน่ห์และเย้ายวน ไม่เช่นนั้นแล้ว สาวชาวบ้านในชนบทจะทำให้ฮ่องเต้หลงใหลได้อย่างไร
นับตั้งแต่เสี่ยวเป่าเป็นที่โปรดปราน ผู้คนต่างก็สงสัยว่าฝ่าบาททรงพึงใจต่อพระมารดาขององค์หญิงน้อยมากใช่หรือไม่ และความรักที่ทรงมีต่อองค์หญิงเก้าก็คงเผื่อแผ่มาจากความพึงใจในตัวพระมารดาขององค์หญิง
มีคนคิดอย่างอุกอาจว่าเหตุที่ฝ่าบาทยังทรงรั้งรอไม่ยอมยกตำแหน่งองค์รัชทายาทให้ผู้ใดนั้น เป็นเพราะกำลังรอพระโอรสจากพระมารดาขององค์หญิงเก้าอยู่ แต่โชคไม่ดีที่พระมารดาองค์หญิงเก้าสิ้นพระชนม์ก่อนวัยอันควร จึงหมดโอกาสที่จะขึ้นเป็นใหญ่ในฝ่ายใน
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวความรักระหว่างฝ่าบาทกับพระมารดาขององค์หญิงเก้า ซึ่งเป็นสาวชาวบ้านอีกหลายหลายรูปแบบที่เล่าลือกันในหมู่สตรีชนชั้นสูงตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
แน่นอนว่าทั้งฮ่องเต้และเสี่ยวเป่าไม่ได้รู้เรื่องนี้
เมื่องานเลี้ยงเริ่มขึ้น บรรดาฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายก็พูดคุยกัน
ทุกคนเก่งเรื่องการเข้าสังคม และใช้วงสนทนาเป็นที่เยาะเย้ย ถากถางหรือข่มกันเองอยู่เนือง ๆ คนไร้เดียงสาไม่มีทางเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดเหล่านั้นจริง ๆ
ดวงตาของเสี่ยวเป่ากลายเป็นรูปก้นหอย เพราะไม่เข้าใจอะไรแม้แต่น้อยว่าพวกนางกำลังพูดสิ่งใดกัน
นางเปลี่ยนไปสนใจอาหารแทน
ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารในกระพุ้งแก้มกลม องค์หญิงน้อยก็ได้ยินชื่อของตัวเองถูกเอ่ยขึ้นมา
“จะว่าไปแล้ว เด็ก ๆ ตระกูลเราเมื่ออายุได้สามปีก็จะเริ่มดีดฉิน เล่นหมากล้อม เขียนพู่กันและวาดภาพกัน แต่องค์หญิงเจาเสวี่ยกลับสามารถคิดค้นเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ช่วยเพิ่มผลผลิตได้จริง ๆ คงเป็นเพราะลูกหลานของข้ายังโลกทัศน์คับแคบ ถูกเคี่ยวเข็นให้อยู่แต่กับการเล่าเรียนที่บ้านอย่างไร้เดียงสา ในขณะที่องค์หญิงกลับมีความรู้มากมาย เช่นนี้นางน่าจะต้องให้ความรู้แก่พวกเราเรื่องการเพิ่มผลผลิตและการเพาะเมล็ดพันธุ์พืชบ้างแล้ว”
ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นถูกเอ่ยออกมา ทั้งงานเลี้ยงก็เงียบเสียงลง
เซี่ยหวงกุ้ยเฟยมองหญิงชราที่เป็นเจ้าของประโยคด้วยสายตาเย็นชา
สิ่งที่นางกล่าวคล้ายจะเป็นการตำหนิลูกหลานในครอบครัวตนเอง แต่มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ความหมายแท้จริงซึ่งแฝงอยู่ในประโยคเหล่านั้น
มันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากต้องการถากถางว่าองค์หญิงเก้าเป็นเด็กที่เติบโตมาท่ามกลางดินโคลนในชนบท ก่อนที่จะถูกพากลับวังหลวง หากจะให้ดีดฉิน เล่นหมากล้อม เขียนอักษร วาดภาพก็คงจะทำไม่ได้ จึงต้องทำอย่างอื่นเพื่อให้ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานแทน
“หืม?”
เสี่ยวเป่าที่แก้มยังพองกลมอยู่ เอียงหน้ามองผู้พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
หวงกุ้ยเฟยตรัสตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “จะว่าไปแล้ว องค์หญิงเจาเสวี่ยยังไม่ได้รู้จักกับองค์หญิงไท่จ่าง*[1] เป็นความผิดของหม่อมฉันเองที่ประมาทเลินเล่อ องค์หญิงไท่จ่างไม่ได้เสด็จมาที่วังหลวงเป็นเวลานานแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันจะแนะนำองค์หญิงให้เองเพคะ เสี่ยวเป่ามาทางนี้สิ”
เด็กน้อยเดินไปหาอย่างเชื่อฟัง และถูกดึงตัวเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม “ผู้ที่พูดอยู่นี้คือน้องสาวเสด็จปู่ของเจ้า เรียกได้ว่าเป็นเสด็จย่า แต่ข้าไม่คิดว่าองค์หญิงจะได้พบพระองค์บ่อยนัก อาจจะทำให้จำไม่ได้ไปบ้าง เอาเป็นว่าข้าจะคอยเตือนองค์หญิงเอง”
เสี่ยวเป่ารับคำอย่างว่าง่าย แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าตอนนี้ใบหน้าของเสด็จย่าแดงก่ำ
แน่นอนว่าพระพักตร์ขององค์หญิงไท่จ่างแดงก่ำโกรธ
เซี่ยหวงกุ้ยเฟยไม่ได้แนะนำว่านางเป็นเสด็จอาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่กลับแนะนำว่าเป็นน้องสาวของฮ่องเต้พระองค์ก่อน เท่ากับตั้งใจตัดขาดตนเองออกจากฝ่าบาทโดยสิ้นเชิง ทั้งยังเน้นย้ำอีกว่า นางไม่ได้เข้าวังหลวงมาเป็นเวลานานแล้ว เป็นการพูดอ้อม ๆ แก่ทุกคนว่านางไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮ่องเต้มากมายอะไรนัก
สำหรับองค์หญิงไท่จ่าง คำพูดเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากมีดที่ทิ่มแทงหัวใจที่สร้างความเจ็บปวดได้เสมอ
สิ่งที่นางให้ความสำคัญก็คือ หน้าตาของตนเองในฐานะที่เป็นองค์หญิง และความสนิทสนมใกล้ชิดระหว่างตนเองกับราชวงศ์
ทั้งที่ยังเป็นองค์หญิงเช่นเดิม ทว่ากลับใกล้ชิดสนิทสนมกับแค่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน นางเคยได้รับความโปรดปรานอย่างมากในฐานะพระขนิษฐาของฮ่องเต้ผู้ล่วงลับ แต่ก็ยังน้อยยิ่งกว่าหนึ่งในพันเมื่อเทียบกับที่เสี่ยวเป่าได้รับจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันในตอนนี้
หากนางไม่ได้ช่วยเหลือหนานกงสือเยวียนไว้สองครั้ง เพื่อรักษาหน้าตาของตนเองเอาไว้ก่อนแต่งงาน ก็น่ากลัวว่าทั้งตระกูลหลี่และตัวนางคงจะไม่มีที่ยืนอีกต่อไปแล้ว
เดิมที องค์หญิงไท่จ่างยังใจเย็นอยู่เพราะฐานะขององค์ชายรอง แม้จะทราบดีว่าองค์ชายรองและพระมารดาของเขาไม่ลงรอยกัน แต่อย่างไรความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ตัดไม่ขาด นางไม่เชื่อว่าองค์ชายรองจะไม่ดูดำดูดีตระกูลหลี่จริง ๆ
แต่เมื่อองค์หญิงเก้าได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงเจาเสวี่ย องค์หญิงไท่จ่างผู้ที่นั่งอย่างมั่นคงในตระกูลหลี่ก็เริ่มสูญเสียความเยือกเย็นในจิตใจขึ้นมา
ทั้งที่เป็นองค์หญิงเหมือนกันแท้ ๆ แต่เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้มีชีวิตที่ดีกว่านางเช่นนี้!
องค์หญิงไท่จ่างได้ลิ้มรสของความอิจฉาริษยาแล้ว แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็กหญิงอายุสามปีก็ตาม
นั่นทำให้นางในวันนี้ไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกอยากจะเสียดสีเด็กคนนั้นเอาไว้ได้ แต่ผู้ใดจะคิดว่านางเซี่ยชิงหร่านจะเข้ามาปกป้องเด็กเหลือขอคนนี้ ถึงขนาดกล้าฉีกหน้านางต่อหน้าธารกำนัล!
เมื่อเห็นองค์หญิงไท่จ่างถลึงตามองด้วยความโกรธ เซี่ยชิงหร่านก็แสร้งทำเป็นกังวลใจ
“เสด็จอาเป็นอะไรไปเพคะ ให้หม่อมฉันเรียกหมอหลวงดีหรือไม่เพคะ ท่านเป็นถึงพระขนิษฐาของฮ่องเต้องค์ก่อน หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับพระองค์ หม่อมฉันจะมีหน้าไปกราบทูลเรื่องนี้กับฮ่องเต้ได้อย่างไร”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าองค์หญิงไท่จ่างกำลังโมโหมากเพียงใด
“ไม่ ไม่ต้อง”
องค์หญิงไท่จ่างฝืนยิ้มขึ้นมา “ก็แค่โรคคนแก่ พักสักหน่อยก็น่าจะดีขึ้นแล้ว”
หลี่หนานจูจ้องพวกนางด้วยแววตาเกลียดชัง เพราะเห็นว่าคนเหล่านี้ทำให้เสด็จย่าของนางโกรธ
เซี่ยชิงหร่านยิ้มหยันที่มุมปาก “คุณหนูจากจวนเซวียนผิงโหวก็ดูตาแดง ๆ ให้หม่อมฉันตามหมอหลวงดีหรือไม่”
“ไม่จำเป็น!”
สามคำนี้แทบจะหลุดออกมาจากระหว่างฟันที่ขบแน่นขององค์หญิงไท่จ่าง นางจับมือหลี่หนานจูอย่างแรงและเอ็ดขึ้น
“รีบนั่งลงสิ!”
หลี่หนานจูหวาดกลัวต่อสายตาดุดันของเสด็จย่า จึงรีบถอยไปอย่างใจเสีย
องค์หญิงไท่จ่างหลับตาสงบสติอารมณ์และยุติความวุ่นวายที่ตนก่อขึ้นเอง
เสี่ยวเป่าไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าก็ได้แต่มองอย่างสงสัย
เซี่ยชิงหร่านคลี่ยิ้มแล้วจับแก้มกลมขององค์หญิงน้อย
“นั่งกับข้าคงไม่สนุกเท่าไหร่ เสี่ยวเป่าพาเหล่าคุณหนูไปนั่งที่ศาลา ชมดอกบัวและให้อาหารปลาเถอะ”
ฮูหยินของเจ้ากรมมหาดไทยเอ่ยตามว่า “ใช่แล้วเพคะ ผู้ใหญ่คุยกันก็มีแต่เรื่องที่เด็ก ๆ ไม่เข้าใจ จะทำให้รู้สึกเบื่อเปล่า ๆ องค์หญิงและพวกคุณหนูวัยเดียวกันน่าจะไปเล่นสนุกกันมากกว่า ชิวหยวนเจ้าก็ไปด้วยเถอะ ในฐานะที่อายุมากกว่าต้องช่วยถวายการดูแลองค์หญิงด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ ท่านย่า”
ทุกคนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปโดยปริยาย แต่ตอนนี้ทุกคนต่างเห็นแล้วว่า หวงกุ้ยเฟยไม่ใช่ผู้ที่จะยอมถูกรังแกได้ง่าย ๆ
สตรีชั้นสูงบางคนลอบมองและสังเกตได้ว่าพระสนมตั้งใจปกป้ององค์หญิงจากคนอื่น ๆ ดูจากท่าทางที่พระนางปฏิบัติกับองค์หญิงไท่จ่างอย่างไม่ลดละเช่นนั้นแล้วก็คาดเดาได้ ว่าพระสนมหวงกุ้ยเฟยแสดงออกราวกับเป็นพระมารดาผู้ให้กำเนิดองค์หญิงเจาเสวี่ยไม่มีผิด
[1] จ่างกงจู่ เป็นตำแหน่งองค์หญิงขั้นหนึ่ง องค์หญิงที่ได้รับตำแหน่งนี้จะต้องเป็นพี่สาวหรือน้องสาวของฮ่องเต้ ในที่นี้องค์หญิงไท่จ่างเป็นน้องสาวของฮ่องเต้องค์ก่อน และเป็นมารดาของเซวียนผิงโหวกับอี๋กุ้ยเฟย