เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 329 คนกันเอง
บทที่ 329 คนกันเอง
บทที่ 329 คนกันเอง
เด็กน้อยปฏิเสธทันที “เสี่ยวเป่าไม่กลับ หากท่านส่งเสี่ยวเป่ากลับไป เสี่ยวเป่าจะให้เฮยไป๋อู๋ฉางพากลับมาที่นี่อยู่ดี!”
“ที่นี่อันตรายเกินไป”
“เสี่ยวเป่าช่วยได้ จะไม่สร้างปัญหาให้ท่านพี่ด้วย”
“ไม่ได้ หากเจ้าเป็นอันใดไป เสด็จลุงต้องคลั่งเป็นแน่”
เสี่ยวเป่ายืดอกยืนยันหนักแน่น “เสี่ยวเป่ามีวิธีตามหาท่านอาสี่!”
ทันทีที่นางเอ่ยจบ หนานกงชิงก็ครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางจะสื่ออยู่ชั่วอึดใจ
“เจ้าจะบอกว่าเจ้าตามหาเสด็จพ่อของข้าได้อย่างนั้นหรือ!”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า ดูสิ นางมีประโยชน์มาก
“พี่หญิงปู้หนานอีมอบกู่ติดตามให้ข้า ว่าแต่… ว่าแต่ท่านพี่มีของใช้ของท่านอาสี่หรือไม่”
“มี”
หนานกงชิงรีบหยิบผ้าเปื้อนเลือดออกมาจากชายแขนเสื้อ “ข้าพบสิ่งนี้ตกอยู่บริเวณที่เสด็จพ่อหายตัวไป”
เขาพาองครักษ์เงาออกตามหาอยู่นาน ก่อนจะได้พบทหารผู้ติดตามเสด็จพ่อที่หนีตายมาได้ ถึงได้รู้ว่าเสด็จพ่อกับทหารส่วนหนึ่งถูกกษัตริย์หนานจ้าวจับตัวไป
พวกเขาแฝงตัวเข้าไปสืบอยู่นาน แต่ข่าวคราวที่สืบมาได้ล่าสุดก็คือพวกหนานจ้าวกำลังรวบรวมเด็ก ๆ จำนวนมาก และนำไปสังเวยที่สนามรบเพื่อปลุกคำสาปอาฆาตในตัวเสด็จลุง
ในเมื่อคนพวกนั้นต้องการตัวเด็กไปทำพิธีสังเวยที่สนามรบ พวกเขาก็เลยวางแผนมาช่วยเด็ก ๆ
เดิมทีวิธีที่ดีที่สุดคือชิงจัดการเด็กเหล่านี้ด้วยการเผา พวกเขามีกันน้อย ซ้ำยังอยู่ในถิ่นศัตรู การพาเด็กจำนวนมากหนีเท่ากับเป็นการเปิดเผยตัวตน
แต่สุดท้ายก็ตัดใจทำไม่ลง
นับว่าโชคดียิ่งนัก ไม่เช่นนั้นเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น หากเผาที่นั่นทั้ง ๆ ที่เด็ก ๆ ยังอยู่ในนั้น
“เสด็จพ่ออาจถูกขังไว้ที่คุกในวังหนานจ้าว แต่คนในวังส่วนใหญ่เก่งการใช้กู่ บุ่มบ่ามเข้าไปคงถูกจับได้เสียก่อน หากเป็นเช่นนั้นจะยิ่งตามหาเสด็จพ่อได้ยากขึ้น อันตรายเกินไป”
เสี่ยวเป่าเกาหัวแกรก ๆ “เสี่ยวเป่าซ่อนกู่ไว้ใต้ดิน เราต้องไปเอามันมา”
“ได้ ข้าจะพาเจ้าไป”
หนานกงชิงพานางไปตามสถานที่ที่นางบอก ทั้งสองเริ่มขุดหาภาชนะที่ถูกฝังเอาไว้ แต่จู่ ๆ หนานกงชิงก็รับรู้ได้ถึงภัยอันตรายรีบอุ้มเสี่ยวเป่าขึ้นแนบอก
ชายผู้มาใหม่ถือดาบไว้ทั้งสองมือ กระบวนท่าพลิ้วไหวเฉียบคม ดาบทั้งสองเล่มพุ่งเข้าหาหนานกงชิง
หนานกงชิงไม่ใช่คนไร้ฝีมือ แม้จะอุ้มคนไว้ในอ้อมแขนและถือดาบเพียงมือเดียว มันก็หาได้มีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเขาไม่
“อย่าทะเลาะกัน อย่าทะเลาะกัน คนกันเอง เราคนกันเอง!”
เสี่ยวเป่าเริ่มเวียนหัวเมื่อถูกอุ้มหมุนซ้ายหมุนขวา
เมื่ออีกฝ่ายได้ยินเสี่ยวเป่ากล่าวเช่นนั้น เขาก็ตีลังกาถอยห่างไปหกฉื่อ
ชายผู้นั้นสวมเสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของคนเผ่ากู่ สวมหน้ากากปกปิดใบหน้า เห็นเพียงนัยน์ตาสีเขียวอมฟ้าอันโดดเด่น
“ท่าน… ท่านคือคนที่พี่หญิงปู้หนานอีส่งมารับข้าใช่หรือไม่”
ชายคนนั้นเพียงส่งเสียงตอบรับในลำคอ ทั้งยังจ้องหนานกงชิงไม่วางตา
เสี่ยวเป่ารีบกอดคอหนานกงชิงไว้พลางอธิบาย “พี่ชายข้า เขาคือพี่ชายของข้า”
หนานกงชิงมองตอบอีกฝ่ายพร้อมพยักหน้าส่ง ๆ
สุดท้ายความเข้าใจผิดก็ได้รับการแก้ไข แม้ทั้งสองฝ่ายจะไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่ทั้งคู่ก็เก็บดาบเข้าฝักคืน
ภาชนะบรรจุกู่ของเสี่ยวเป่าถูกขุดออกมาจนหมด ข้างในมีทั้งกู่พิษและไข่แมลง
หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ ทั้งสามคนก็หาโรงเตี้ยมเล็ก ๆ เพื่อพักผ่อน
ทว่านี่เป็นค่ำคืนที่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดในเมืองนอนหลับได้อย่างสงบสุข เพราะการสูญเสียเด็กจำนวนมากดูเหมือนจะทำให้มหาปุโรหิตโมโหมาก ทหารหนานจ้าวจึงต้องค้นทุกซอกทุกมุมแทบพลิกแผ่นดินหา
เสี่ยวเป่าเริ่มเป็นกังวล “ท่านพี่ คนที่เหลือจะปลอดภัยหรือไม่”
หนานกงชิงลูบหัวนางพลางกล่าวปลอบโยน “ไม่ต้องกังวล เราเตรียมการไว้แล้ว ทุกคนซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดิน”
คนที่กอดอกอยู่ข้าง ๆ เอ่ยแย้งทันที “คนพวกนั้นใช้กู่ติดตามดมกลิ่นหาร่องรอย พวกเขาย่อมต้องมีสิ่งของที่มีกลิ่นเด็ก ๆ ติดอยู่ ป่านนี้คงเริ่มออกตามหาจากกลิ่นกันแล้ว”
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา หนานกงชิงพลันหน้าถอดสี
เขาหยัดกายขึ้นทันใด “ข้าต้องรีบส่งข่าวให้พวกเขาย้ายที่ซ่อน”
“ไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ แม้กู่ติดตามจะไม่สามารถตามกลิ่นได้ในระยะไกล พวกมันสามารถตามกลิ่นได้ในระยะหนึ่งลี้เท่านั้น แต่ต่อให้พวกเจ้าย้ายคนหนีทัน หากยังมีการค้นหาเช่นนี้ต่อไปก็คงจะหาพบในไม่ช้า”
เสี่ยวเป่าถามขึ้น “พอจะมีสมุนไพรที่ทำให้กู่ติดตามสับสนกลิ่นหรือไม่”
ชายผู้นั้นมองเสี่ยวเป่าอย่างแปลกใจ แต่ก็ส่งเสียงตอบรับในลำคอ
“เจ้ามีหรือ”
คนตัวใหญ่ตัวเล็กต่างมองเขาอย่างคาดหวัง
“ข้าไม่มี”
ความหวังในดวงตาคนทั้งสองริบหรี่ลงทันที หนานกงชิงขบกรามแน่น “ข้าจะไปหา…”
“แต่ข้ารู้จักร้านค้าที่พอจะซื้อหามันได้”
หนานกงชิงคว้าแขนคนทั้งสองวิ่งออกไปไม่พูดไม่จา
ผ่านไปไม่นาน คนทั้งสามก็เดินทางมาถึงที่หมาย พวกเขาสวมหน้ากากเพื่อแฝงตัวเข้าไปในตลาดมืด
ใช่แล้ว พวกเขามาที่ตลาดมืดในอาณาจักรหนานจ้าว
ที่นี่มีข้าวของมากมายให้เลือกซื้อหา คงอีกสักพักใหญ่กว่าคนพวกนั้นจะตามมาพบ ฉะนั้นพวกเขาต้องรีบหน่อย
ชายหนุ่มพาสองพี่น้องตรงไปที่ร้านค้าเป้าหมาย พูดบางอย่างที่นางกับพี่ชายฟังไม่เข้าใจ น่าจะเป็นรหัสลับ
เสี่ยวเป่าหันซ้ายหันขวาเหมือนเด็กน้อยอยากรู้อยากเห็น ปรากฏว่าที่นี่เป็นตลาดมืดที่ขายสมุนไพรและยาพิษนานาชนิด ซ้ำยังมีการลอบขายอาวุธและยาพิษหายากมากมาย
นางกวาดตามองรอบ ๆ จนไปหยุดอยู่ที่ก้อนหินรูปร่างแปลกตาน่าดึงดูดใจ
ขณะที่พี่ชายกำลังคุยกับเจ้าของร้าน นางก็วิ่งไปหยิบก้อนหินขึ้นมาดู
บนหินมีดอกไม้สีตุ่น ๆ ดอกเล็กดูไม่สะดุดตา
“สิ่งนี้ขายอย่างไรหรือเจ้าคะ”
นางถือก้อนหินวิ่งกลับมาถาม
เจ้าของร้านหันมองก่อนบอกราคา “มันคือต้นหิน ราคาห้าตำลึงเงิน”
เสี่ยวเป่ากำลังจะหยิบเงินออกมาจ่าย แต่แล้วก็ทำหน้าเขินอายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนไม่มีเงินติดตัว
“คิดรวมกัน”
หนานกงชิงจ่ายเงินก่อนจะหันมาอุ้มเสี่ยวเป่าแล้วเดินจากไป
ส่วนชายหนุ่มผู้นั้นก็เดินตามอยู่ข้างหลัง
เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านอันห่างไกล ขณะที่หนานกงชิงจะเดินไปเคาะประตู ชายชราคนหนึ่งก็ถือตะเกียงออกมา
“ผู้ใด”
หนานกงชิง “ลุงเฉิน ข้าเอง”
“เข้ามาเร็ว”
ทันทีที่รู้ว่าเป็นผู้ใด ลุงเฉินก็รีบเชิญเข้าไปข้างในทันที ก่อนจะรีบปิดประตูแล้วสอดส่องรอบ ๆ ให้แน่ใจ
“เร็วเข้า รีบบดสมุนไพรนี้ผสมน้ำแล้วราดให้ทั่ว”
สิ้นเสียงหนานกงชิง ทุกคนก็เร่งมือทำตามที่เขาบอก
เสี่ยวเป่าเองก็ช่วยตักน้ำราดพื้น
“ใต้เท้า พวกท่านจะทำสิ่งใด”
ทันใดนั้นเสียงของลุงเฉินก็ดังขึ้น
หนานกงชิงส่งสัญญาณให้ทุกคนรีบเก็บข้าวของออกไป เสี่ยวเป่าถูกอุ้มตัวปลิวเข้าไปในห้องห้องหนึ่งก่อนจะเปิดทางลับแล้ววิ่งเข้าไป
“หลีกไป เราได้รับคำสั่งให้ค้นหาผู้ต้องสงสัย”
ลุงเฉินรีบห้ามพวกเขา “ใต้เท้า ท่านทำเช่นนี้ไม่ดีกระมัง ในบ้านมีสตรี หากพวกท่านบุกเข้ามาแบบนี้ บุตรสาวของข้าคงไม่ได้ออกเรือนแล้ว”
“ค้น!”
เจ้าหน้าที่ทั้งหลายบุกเข้ามาค้นทั่วห้อง และที่ที่อาจใช้เป็นที่ซ่อนได้
หัวหน้าพวกเขาถือกู่ติดตามอยู่ในมือ แต่กู่ติดตามตัวนั้นเอาแต่หมุนตัวไปมาบนมือเขา
“เหตุใดถึงมีน้ำมากมายบนพื้น”
ลุงเฉินยืนถือไม้กวาดก้มมองพื้นสีหน้าเศร้าหมอง “ข้ากวาดพื้นได้ไม่ถึงไหน พวกท่านก็บุกเข้ามาเสียก่อน”
“ทำความสะอาดต้องใช้น้ำมากขนาดนี้เชียวหรือ” ทหารหนานจ้าวนายนั้นมองด้วยสายตาจับผิด
ลุงเฉิน “ขุนน้ำขุนนางอย่างพวกท่านคงไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน ฝุ่นบนพื้นเยอะมาก หากไม่ทำเช่นนี้ก่อนกวาด ทั่วทั้งบ้านก็ฝุ่นตลบน่ะสิ”