เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 342 แมลงผี
บทที่ 342 แมลงผี
บทที่ 342 แมลงผี
วิธีการเชือดไก่ให้ลิงดูของหนานกงสือเยวียนนั้นได้ผลเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็ทำให้ทั่วทั้งพระราชวังเงียบสงบลง แม้แต่เสียงลมหายใจยังเบาลงจนแทบไม่ได้ยินเสียด้วยซ้ำ ด้วยความกลัวว่าวิญญาณของตนจะโดนดาบเล่มนั้นพรากเอาไป
“นางล่ะ?”
หนานกงสือเยวียนมองไปที่เจียงอู๋ฮ่วน
แน่นอนว่าเขารู้ว่าฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยกำลังถามถึงผู้ใด
“ฝ่าบาทต้องถามองค์ชายองค์หญิงหัวหมูพวกนั้นพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงเจาเสวี่ยออกไปพร้อมกับพวกเขา หลังจากกลับมาก็พบว่าพวกเขาโดนตัวต่อต่อย แต่กลับไม่พบตัวองค์หญิงเจาเสวี่ยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
พวกองค์ชายองค์หญิงที่ถูกเรียกว่าหัวหมูมีท่าทีสับสนระคนหวาดกลัว อะไรนะ…องค์หญิงเจาเสวี่ยอะไรกัน
หนานกงสือเยวียนปรายตามองคนเหล่านั้น ทำให้พวกเขารู้สึกขนหัวลุกตั้งแต่ศีรษะจรดฝ่าเท้า
เมื่อพิจารณาใบหน้าของพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง หนานกงสือเยวียนก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของเสี่ยวเป่าอย่างแน่นอน อย่างน้อยลูกสาวของเขาก็ไม่ได้เป็นลูกพลับนิ่มให้ผู้ใดกลั่นแกล้ง
“ไต่สวนให้ชัดเจน”
หนานกงสือเยวียนออกคำสั่ง หลังจากนั้นก็มีบุคคลเดินเข้ามาคุมตัวพวกที่หน้าตาบวมเป่งไปไต่สวน
ทุกคนล้วนเป็นเด็กหนุ่มสาวที่อายุยังน้อย เมื่อเห็นคนเดินเข้ามาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด บางคนก็หวาดผวาจนควบคุมสติไม่ได้ บางคนก็หวาดกลัวจนถึงขั้นเป็นลมล้มพับไป
ขณะที่หนานกงชิงเองก็พาคนเข้ามาเช่นกัน เขาแบกบิดาที่หมดสติเอาไว้บนหลัง ซ้ำยังมีบาดแผลร่องรอยของคมดาบอยู่ตรงบริเวณไหล่
“เสด็จลุง”
เมื่อเห็นบุคคลผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่งของราชวัง ก็พลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะคนของเขาเองก็แทบจะไร้เรี่ยวแรงกันหมดแล้ว
“หมอทหาร”
แน่นอนว่าหมอทหารต้องติดตามมาด้วยเพื่อพร้อมให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ เขาก้าวเดินไปเบื้องหน้าโดยเร็วเพื่อตรวจดูอาการของทั้งสอง
“เสด็จลุง พวกเขาฝังหนอนกู่ในตัวเสด็จพ่อ ตอนนี้เสด็จพ่อกำลังจะกลายเป็นหุ่นเชิดพ่ะย่ะค่ะ”
คนพวกนั้นช่างเหี้ยมโหดยิ่งนัก หากเขาไม่ได้พาไพร่พลมาเยอะ เกรงว่าตัวเขาอาจจนมุมและไม่กล้าโต้กลับเป็นแน่ และท้ายที่สุดก็อาจถูกเสด็จพ่อฆ่าตายได้
หากเป็นเช่นนั้นจริง หลังจากที่เสด็จพ่อฟื้นขึ้นมา แล้วรู้ว่าตนพลั้งมือสังหารลูกชายของตัวเอง นั่นอาจเป็นเรื่องเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย
ยามนี้หนานกงชิงเกลียดพวกที่ใช้พิษกู่ยิ่งนัก
เขาจ้องมองด้วยตาแดงก่ำ “เสด็จลุง ได้โปรดช่วยเสด็จพ่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
พิษกู่ที่อยู่ในร่างของหนานกงจ้านยังไม่ถูกกำจัดไป ดังนั้นหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาก็มีโอกาสที่จะลงไม้ลงมือกับพวกเขาได้
หนานกงสือเยวียนพิจารณาสถานการณ์ของหนานกงจ้าน สีหน้าก็พลันเย็นชาขึ้นมา
“ข้าจะลองคิดหาวิธี”
แต่หนานกงจ้านเพิ่งถูกพวกเขาทำให้หมดสติไป นอกจากร่างกายที่ซูบผอมลงอย่างมากกอปรกับพิษกู่ที่อยู่ในร่างแล้ว ทุกส่วนล้วนดูไม่เป็นปัญหามากมายนัก
แต่ถึงกระนั้น บาดแผลบริเวณไหล่ของหนานกงชิงก็ควรได้รับการรักษา
หนานกงสือเยวียนจ้องมองเขาพลางเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น”
หนานกงชิงงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ เขายังสวมใส่ชุดเสื้อผ้าของสตรีอยู่ เหมือนกับตอนที่เขาสวมมันเพื่อลอบเข้ามาภายในวัง!!!
ใบหน้าที่แต่เดิมซีดเซียวในตอนนี้กลับมีสีแดงแต่งแต้มมากขึ้น น่าอับอายยิ่งนัก
“สถานการณ์มันบังคับพ่ะย่ะค่ะ”
ในตอนนี้หนานกงสือเยวียนไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดมากมายนัก เนื่องจากคนของเขาเดินเข้ามาเสียก่อน
“จากคำรายงานของพวกเขา องค์หญิงเจาเสวี่ยหายตัวไปในตำหนักเย็นที่ถูกทิ้งร้างพ่ะย่ะค่ะ”
“นำทางไป”
หนานกงสือเยวียนมองไปทางเจียงอู๋ฮ่วน
เจียงอู๋ฮ่วนพยักหน้า ไม่กล้ารีรอ เนื่องจากเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วยามแล้ว
ยามนี้ทุกคนต่างไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเสี่ยวเป่าเลย ไม่เช่นนั้นหนานกงสือเยวียนต้องคลุ้มคลั่งเป็นแน่
ทว่าระหว่างทางกลับไม่พบร่องรอยของนางเลย หนานกงสือเยวียนเริ่มอารมณ์ขุ่นมัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นก็พลันได้ยิ่งเสียงหึ่ง ๆ ดังมาตามสายลม
หนานกงสือเยวียนยกมือขึ้น
“ทุกคนหยุด” พอสังเกตเห็นสัญลักษณ์มือ แม่ทัพก็ตะโกนเสียงดัง ทุกคนจึงพากันเงียบ
ในตอนนี้เสียงหึ่ง ๆ ๆ ยิ่งมายิ่งดังชัดมากขึ้น
และในที่สุดต่อตัวอวบอ้วนตัวหนึ่งก็บินร่อนลงเกาะบนไหล่ของหนานกงสือเยวียน
นางพญาต่อ : หมดแรงแล้ว!
เวลานี้มันไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว ว่าหนานกงสือเยวียนจะน่ากลัวมากเพียงใด เนื่องจากหากมันไม่พักคงได้ตายเข้าจริง ๆ
นางพญาต่อผู้สง่างาม หากต้องมาตายเช่นนี้ก็ค่อนข้างน่าอายไม่น้อย
“ฝ่าบาท นี่คือตัวต่อขององค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อหนานกงสือเยวียนได้เห็นมัน อารมณ์ของเขาก็ค่อย ๆ สงบลง
“นำทางไป”
เขาสะกิดต่อตัวอวบอ้วนที่เกาะนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนไหล่ของตน
นางพญาต่อกระพือปีกประท้วง ขอให้มันพักสักเดี๋ยวไม่ได้หรือ!
เมื่อหนานกงสือเยวียนเห็นว่ามันดูเหนื่อยมาก ท่าทางเหมือนจะสลบไสลจึงเงียบลง
เสี่ยวเป่าเลี้ยงให้มันอ้วนเกินไปแล้ว นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเช่นกัน
“พวกข้าจะเดินไปกันเอง หากไปผิดทางเจ้าเพียงช่วยเตือนเป็นพอ”
เอ่ยเช่นนั้นโดยไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อยว่าตัวต่อจะฟังเข้าใจหรือไม่ พลันเขาเดินนำผู้คนไปข้างหน้า
เมื่อเดินไปจนถึงทางแยกและเลี้ยวผิดทาง นางพญาต่อก็ส่งเสียงหึ่ง ๆ แล้วกระพือปีกทันที
ผิดแล้ว ผิดแล้ว
หนานกงสือเยวียนหันกลับพลางเปลี่ยนทิศทาง มันจึงเงียบลงอีกครั้ง
ผู้คนที่ตามติดเขา แม้แต่เจียงอู๋ฮ่วนเองก็จ้องมองต่อตัวนั้นด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“มันเข้าใจจริงหรือนี่!”
“ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก องค์หญิงเจาเสวี่ยของพวกกระหม่อมช่างเป็นเทพธิดาตัวน้อยลงมาจุติเสียจริง ตัวต่อที่ทรงเลี้ยงช่างแตกต่างจากตัวต่อทั่วไปยิ่งนัก”
“มีคนเคยกล่าวว่าองค์หญิงคือปลาจิ๋นหลี่กลับชาติมาเกิดมิใช่หรือ”
“ถึงอย่างไรองค์หญิงเจาเสวี่ยก็มิใช่มนุษย์ธรรมดา”
ผู้คนที่อยู่ข้างหลังเอ่ยพูดคุยกันเสียงเบา โดยมีตัวต่อคอยนำทาง อารมณ์ของฝ่าบาทดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาจึงกล้ากระซิบกระซาบพูดคุยกัน
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านั้นล้วนเป็นคำเยินยอ
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงตำหนักเย็นอันทรุดโทรม
ตอนหนานกงสือเยวียนจะก้าวเดินเข้าไปก็มีคนเปิดประตูให้เหมือนอย่างที่ทำตามปกติ หลังจากนั้นนางพญาต่อจึงนำทางเข้าไป ก่อนพวกเขาจะได้เห็นทางลับภายในนั้น
“ไม่คิดเลยว่าสถานที่เช่นนี้จะมีทางลับด้วย”
“องค์หญิงทรงประทับอยู่ที่นี่หรือ เหตุใดจึงมาที่นี่นะ”
ทุกคนต่างกังวลใจ อดคิดมิได้ว่าอาจมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับองค์หญิง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากพูด
เจียงอู๋ฮ่วนเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าที่แห่งนี้จะมีเส้นทางลับ!
“รีบนำโคมมาส่องทางเดี๋ยวนี้!” หนานกงสือเยวียนมองเส้นทางลับด้วยสายตาลึกล้ำ
เส้นทางลับนั้นมืดสนิท ยิ่งยามนี้ตะวันเริ่มอัสดงแล้ว ยิ่งทำให้มองเห็นข้างในได้ไม่ค่อยชัดนัก
หลังจากนำโคมมาแล้ว ผู้คนก็พากันสำรวจเส้นทางที่อยู่ข้างหน้า ไม่กล้าปล่อยให้หนานกงสือเยวียนเดินนำไปก่อน
แต่เมื่อก้าวเดินไปได้เพียงครู่หนึ่ง คนที่เดินอยู่ด้านหน้าก็เริ่มโบกไม้โบกมือ
“สวรรค์…นี่มันอะไรกัน นี่คือแมลงอะไร!”
แมลงที่ว่ามีสีดำขนาดตัวใหญ่เกือบเท่ากับยุง ชุกชุมอยู่อย่างหนาแน่น นอกจากนี้บนพื้นยังมีชุดสีดำกองเอาไว้
นับว่าโชคยังดีที่แมลงพวกนั้น ‘ดูเหมือน’ จะไม่เป็นอันตราย
“ฝ่าบาทรงทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงอู๋ฮ่วน “นี่คือชุดของผู้ใช้วิชา”
เขาขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าผู้ใช้วิชาจะมาที่นี่ เพียงแต่…เหตุใดจึงถอดเสื้อผ้ากองไว้เช่นนี้
สายตาของเขาจ้องมองไปที่แมลงพวกนั้น ก่อนจะยกโคมขึ้นเพื่อพิจารณาดู หลังจากนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“นี่มัน…แมลงผี!”
“ว่าอย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงอู๋ฮ่วนมองไปที่แมลงพวกนั้น พลางกลืนน้ำลายตัวเอง สายตาเต็มไปด้วยความสับสน
“แต่เหมือนจะมิใช่นะพ่ะย่ะค่ะ พวกแมลงผีหากพบเจอสิ่งมีชีวิตอื่นมักจะรุมกัดกิน แม้แต่ชายชาตรียังถูกกัดกินจนเหลือเพียงเศษซากกระดูกในชั่วอึดใจเท่านั้น แต่เจ้าพวกนี้….”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเขา บางคนพลันกอดตัวเองไว้อย่างสั่นเทา
“เจ้าพูดถึงสิ่งใดกัน มันร้ายกาจเช่นนั้นเลยหรือ”
“น…นี่ไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่เจ้าเอ่ยใช่หรือไม่ เพราะพวกเรา… ยังอยู่สุขสบายดี”
ในขณะเดียวกันนั้น หนานกงสือเยวียนเหลือบมองเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นอย่างพิจารณา
เจียงอู๋ฮ่วนเองก็งุนงงเช่นกัน “ช่างละม้ายคล้ายคลึงมาก แต่…”
“ต้องไม่ใช่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ หากเป็นเช่นนั้นจริงพวกเราคงไม่มีลมหายใจแล้วกระมัง ฮ่า ๆ ๆ….”
พวกเขาละความสนใจจากแมลงแล้วก้าวเดินต่อไป เจียงอู๋ฮั่นรู้สึกหนักใจ พลางขบคิดตลอดเวลา เพราะลางสังหรณ์ของเขามักถูกต้องเสมอ
——————————————-