แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 180 เจ้าได้กำไรเยอะจริง ๆ
ทารกหญิงที่เนื้อตัวเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือดยังคงร้องไห้เสียงดัง น่าเวทนาจริง ๆ! นางไม่รู้ชะตากรรมที่ตัวเองจะต้องเจอหลังจากนี้เลย
เจียงป่าวชิงที่เดิมทีดูอยู่ข้างนอกอย่างเงียบ ๆ มาตลอด เมื่อเห็นขาข้างหนึ่งของชูเหล่าไท่ก้าวเข้าไปในห้องส้วมก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางพยายามเบียดฝูงชนเข้าไปและพูดขึ้นเสียงสูงไปด้วย “เดี๋ยวก๊อน!”
โชคดีที่เจียงป่าวชิงตัวเล็ก การที่นางเบียดเข้ามาจึงไม่ยุ่งยากเท่าไหร่นัก
ชูเหล่าไท่ได้ยินเสียงเรียกก็หยุดชะงัก แต่ยังอุ้มทารกหญิงไว้อย่างนั้น นางเห็นเจียงป่าวชิงเบียดแทรกออกมาจากฝูงชนก็กวาดตามองอย่างหงุดหงิดใจ “อะไรอีกล่ะ ? พวกเจ้าคุยให้จบในครั้งเดียวไม่ได้รึ ?” พูดเสร็จ นางก็คิดจะขับไล่ฝูงชนทั้งหมดออกไป “มีเรื่องสนุกอะไรน่าสนใจนักหรือไง รีบกลับไปกันได้แล้ว”
เจียงป่าวชิงมองทารกหญิงที่กำลังหลับตาร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของชูเหล่าไท่พลางถอนหายใจและพูดกับชูเหล่าไท่ว่า “ท่านยายเจ้าคะ เอาเด็กมาให้ข้าเถอะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ ?!” ชูเหล่าไท่คิดว่าตัวเองฟังผิดไป
เจียงป่าวชิงจึงพูดซ้ำอีกครั้งด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยว “ข้าบอกว่า ท่านยายเอาเด็กมาให้ข้าเถอะ”
ครั้งนี้ชูเหล่าไท่ได้ยินอย่างชัดเจน นางสังเกตเจียงป่าวชิง จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา “หึ ๆ เด็กที่ขนยังขึ้นไม่หมดอย่างเจ้าคิดจะเลี้ยงทารกอย่างนั้นรึ ? ใครต่างบอกว่าเจ้าไม่ปัญญาอ่อนแล้ว แต่ข้าดูแล้วทำไมถึงรู้สึกว่าเจ้ายังโง่มากเหมือนคนปัญญาอ่อนอยู่เลยเล่า ?”
เจียงป่าวชิงไม่โกรธ นางทำเพียงพูดซ้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าราบเรียบ “ท่านยายเอาเด็กมาให้ข้าเถอะ”
ไม่รู้ทำไม ชูเหล่าไท่ถึงได้ถูกท่าทางของเจียงป่าวชิงกระตุ้นให้โกรธเสียอย่างนั้น “เหอะ! เจ้าเด็กน้อย เจ้าคิดว่าเลี้ยงเด็กเป็นเรื่องง่ายมากอย่างนั้นหรือ ? นี่ไม่ใช่การละเล่นของเด็กอย่างพวกเจ้า ถ้าหากว่าเลี้ยงลูกเป็นเรื่องที่ง่ายขนาดนั้น ทำไมข้าถึงกับต้องกดนางให้จมน้ำตายด้วย ?!”
ชาวบ้านบางคนที่เวลานี้ยังไม่กลับไป พูดเตือนขึ้นมาจากด้านข้าง “ใช่แล้วเด็กตระกูลเจียง เด็กทารกไม่ได้เลี้ยงง่าย ๆ เลย เจ้าดูแลตัวเองกับพี่ชายของเจ้าได้ก็เก่งมากแล้ว ล้มเลิกความคิดที่จะเอาเด็กไปเถอะ”
“ใช่ ๆ ๆ”
ทว่าเจียงป่าวชิงไม่สนใจเสียงรอบข้าง นางยังคงพูดซ้ำอีกครั้ง “ท่านยาย เอาเด็กมาให้ข้าเถอะ”
ชูเหล่าไท่โกรธจนหน้าแดงก่ำแล้วในขณะนี้ “เอ๊ะ! ไอ้เจ้าเท้าเล็กนี่ ทำไมถึงไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีบ้าง ? เลี้ยงเด็กไม่เป็นแต่ดึงดันจะเอาไป ถึงตอนนั้นถ้าเจ้าเลี้ยงแล้วเด็กตายขึ้นมา คราวนี้จะโทษใครได้!”
เจียงป่าวชิงพูดขึ้น นางไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของยายชราใจดำคนนี้แม้แต่น้อย “ถ้าเด็กคนนี้ถูกท่านยายกดให้จมในโถเยี่ยวก็ตาย ถูกข้าเลี้ยงไม่ดีก็ตาย ถึงยังไงนางก็ต้องตายอยู่ดี ทำไมถึงไม่ให้เด็กกับข้า ไม่แน่ข้าอาจจะเลี้ยงได้ก็ได้ ถึงตอนนั้น นั่นคือการที่ข้าสามารถช่วยได้อีกหนึ่งชีวิตเลยนะเจ้าคะ”
เจียงป่าวชิงพูดได้ดีมีเหตุผลจนชูเหล่าไท่ตกตะลึง จากนั้นนางก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตเจียงป่าวชิง
ชูเหล่าไท่มีชีวิตมาจนอายุขนาดนี้แล้ว ต้องยอมรับว่านางดูคนได้แม่นมาก เด็กเจียงป่าวชิงคนนี้ เมื่อก่อนตอนที่นางยังปัญญาอ่อน เสื้อผ้าผมเผ้ารุ่งริ่งไม่เป็นระเบียบ ใบหน้าสกปรก ซอกเล็บเต็มไปด้วยโคลน ดูก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กเถื่อนไร้คนสนใจ และก่อนที่พี่ชายของนางจะกลับมา เพื่อให้นางดูดี ตระกูลเจียงจึงให้น้ำเจียงป่าวชิงหนึ่งกะละมังเพื่อให้นางใช้ทำความสะอาดร่างกาย เมื่อมาเห็นเจียงป่าวชิงในตอนนี้ที่ใบหน้านางเต็มไปด้วยเนื้อสมส่วนกว่าเมื่อก่อน ผิวก็ขาวนวล ดูไม่เหมือนเด็กสาวที่ใช้ชีวิตอยู่ในภูเขาของพวกนางเลยสักนิด และถึงแม้ว่าวัสดุเสื้อผ้าที่นางสวมใส่อยู่จะไม่ได้สีสันฉูดฉาดหรือหรูหรา แต่ดูก็รู้ว่ามันเรียบดูเป็นระเบียบมาก วัสดุนี้มันเป็นประเภทที่สวมใส่สบายไม่เสียดสีกับผิวหนัง ซึ่งมันทำให้เด็กตระกูลเจียงคนนี้ดูสะอาดสะอ้านน่าจะทำอะไร ๆ ได้คล่องตัว และดูก็รู้แล้วว่านางเก่งในการใช้ชีวิตอยู่พอสมควร
เด็กเจียงป่าวชิงคนนี้ไม่ใช่เจียงป่าวชิงคนเดิมอีกต่อไปแล้ว
“ไม่ได้!” ชูเหล่าไท่เงียบไปสักครู่ สุดท้ายนางยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง “ถึงยังไงเด็กคนนี้ก็ยังเป็นเด็กของบ้านข้า ถ้าเจ้าเอาไปเลี้ยงแล้วเกิดปัญหาอะไรขึ้น ถึงตอนนั้นไม่แน่เจ้าก็อาจจะมาสร้างปัญหาให้กับบ้านข้า เก็บไว้ก็เป็นหายนะเปล่า ๆ”
ชูเหล่าไท่กำลังจะเดินไปทางห้องส้วม เห็นทีว่าทารกหญิงที่ร้องไห้จ้าคนนั้นคงต้องถูกจับกดลงในโถส้วมแน่แล้ว
เจียงป่าวชิงทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ จึงกระชากแขนของชูเหล่าไท่อย่างแรง “ท่านยาย ถ้าท่านไม่วางใจ เราไปทำสัญญาที่สถานที่ทำงานของหัวหน้าหมู่บ้านก็ได้ ไปทำสัญญากันว่าต่อไปหากเด็กคนนี้เกิดแก่เจ็บตาย ต่างก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลชูทั้งสิ้น แบบนี้ล่ะได้หรือไม่ ?”
ชูเหล่าไท่เกิดความลังเลทันที
ในขณะนี้ พวกเด็กคนอื่น ๆ จากตระกูลชูก็ขยับเข้ามาทางเจียงป่าวชิง เมื่อพวกนางเห็นเนื้อที่อยู่ในตะกร้าผักที่เจียงป่าวชิงห้อยไว้ ดวงตาน้อย ๆ หลายคู่ก็เป็นประกายทันที
“นะ… เนื้อ… โอ้!”
“ท่านย่า ไม่อย่างนั้นท่านก็แลกน้องสาวกับเนื้อนี่สิเจ้าคะ” เด็กคนหนึ่งเสนอ
“ใช่เจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นก็เอาเนื้อให้ท่านย่ากับท่านพ่อกิน ส่วนพวกเราซดน้ำต้มเนื้อเอาก็ได้”
พวกเด็กผู้หญิงมีความขลาดกลัว แต่ในนัยน์ตากลับเต็มไปด้วยความปรารถนาสุดใจ
ทว่าข้อเสนอนี้กลับเป็นการเตือนสติชูเหล่าไท่ นางมองเนื้อชิ้นโตที่วางอยู่ในตะกร้าผักบนคอของเจียงป่าวชิง จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอ “อืม น่าสนใจ ถ้าอย่างนั้นเจ้าสนใจแลกเด็กคนนี้กับเนื้อที่เจ้ามีอยู่ไหมล่ะเจ้าเด็กตระกูลเจียง ?”
เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา
ชูเหล่าไท่ไม่รอช้า รีบยัดทารกหญิงที่กำลังร้องไห้ใส่ในอ้อมแขนของเจียงป่าวชิงทันที จากนั้นนางก็แย่งตะกร้าผักของเจียงป่าวชิงไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกลัวเสียเหลือเกินว่าเจียงป่าวชิงจะกลับคำทำนองนั้น
สุดท้าย นางก็ถอยห่างเจียงป่าวชิงไปไกลและมองเจียงป่าวชิงอย่างระแวดระวัง “ถะ… ถ้าอย่างนั้นเป็นอันตกลงตามนี้”
เจียงป่าวชิงอุ้มทารกหญิงที่เนื้อตัวเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและยังคงร้องไห้อย่างไม่หยุดหย่อนไว้ในอ้อมแขน เด็กหนึ่งคน ชีวิตหนึ่งชีวิต… น่าเศร้าที่ชีวิตของเด็กคนนี้ ทางบ้านของทารกน้อยกลับมองว่านางมีค่าแค่แลกกับเนื้อสัตว์เพียงหนึ่งชั่ง
เจียงป่าวชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์เอาไว้ จากนั้นก็พยักหน้า “ใช่ เอาตามนี้เจ้าค่ะ”
ชูเหล่าไท่ชั่งน้ำหนักตะกร้าผักนั้นด้วยมือของตัวเอง ใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มที่ปกปิดไม่มิดออกมา แต่นางยังกลัวว่าเจียงป่าวชิงจะกลับคำพูดจึงพูดขึ้น “จะว่าไปแล้วเจ้าเองก็ได้กำไรเยอะเหมือนกันนะ หลานสาวของข้าคนนี้ ก่อนนางจะเกิด ใคร ๆ ต่างบอกว่านางเป็นเด็กผู้ชาย ตอนที่แม่ของนางตั้งท้อง แม่ของนางก็บำรุงร่างกายไปไม่น้อย ดูสิ อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็น่าจะหนักตั้งสิบสองชั่งแหละ …แต่เนื้อของเจ้าแค่หนึ่งชั่ง เจ้านี่นะ ได้กำไรเยอะจริงเชียว!”
ยายแก่หงำเหงือกไม่รักหลานตัวเองคนนี้ พูดเหมือนที่เจียงป่าวชิงแลกเด็กน้อยกลับมานั้น ก็เพื่อจะเอานางไปกินอย่างนั้นแหละ
เจียงป่าวชิงหลุบสายตาลง จากนั้นก็ปกปิดรอยยิ้มตรงมุมปาก
นี่ไม่ใช่สังคมกินคนหรอกรึ ?
เจียงป่าวชิงถอดเสื้อคลุมออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็นำไปห่อร่างทารก อุ้มไว้ในอ้อมแขน และเดินออกไปข้างนอก
เมื่อสักครู่ ทารกคนนี้ถูกชูเหล่าไท่อุ้มแบบไม่ใส่ใจอยู่นานมาก นางจึงต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปทำการตรวจร่างกายให้กับทารกตัวน้อย
ตอนที่เจียงป่าวชิงอุ้มทารกเดินผ่านข้างตัวชาวบ้านอีกหลาย ๆ คน พวกเขาก็รีบพากันหลบหลีกราวกับเห็นสิ่งสกปรกทำนองนั้น ดูกลัวเสียเหลือเกินว่ามันจะเปื้อนตัวพวกเขา
“เด็กตระกูลเจียงคนนี้เป็นบ้าไปแล้ว…”
“ว่ากันว่านางหายจากโรคปัญญาอ่อนแล้ว แต่ข้าว่านางยิ่งปัญญาอ่อนกว่าเดิมน่ะสิไม่ว่า”
“ใช่! สมัยนี้ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อย บ้านใครยังมีข้าวเหลือที่จะเลี้ยงอีกปากอยู่อีกล่ะ”
ชูเหล่าไท่ยังกลัวว่าเจียงป่าวชิงจะลืม จึงตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง “เด็กตระกูลเจียง หลังจากนี้อีกสองสามวัน เจ้ากับข้าไปทำสัญญาที่สถานที่ทำงานของหัวหน้าหมู่บ้านด้วยกัน นี่เป็นสิ่งที่เจ้าบอกเอง ออกไปจากประตูบ้านนี้แล้ว เด็กในอ้อมแขนเจ้าก็ไม่ใช่คนของตระกูลชูของข้าอีกต่อไป”
เจียงป่าวชิงไม่หยุดฝีเท้า แต่กลับเร่งฝีเท้าเร็วยิ่งขึ้น นางอยากรีบไปจากบ้านตระกูลชูจะแย่อยู่แล้ว
ตลอดทางกลับ เจียงป่าวชิงแทบจะวิ่งกลับมา เมื่อถึงบ้าน นางก็รีบเข้าไปในบ้านทันที
ณ ตอนนี้เสียงร้องของทารกหญิงที่อยู่ในอ้อมแขนนางดูอ่อนแรงมากถึงขั้นจะไม่ได้ยินเสียงอยู่รอมร่อ
เจ้าเสี่ยวหวงกับเจ้าเสี่ยวป๋ายได้กลิ่นคาวเลือด เมื่อเจียงป่าวชิงเข้ามาในบ้าน เจ้าสุนัขทั้งสองตัวก็ส่งเสียงเห่าหอนราวกับว่าพวกมันกำลังระวังอะไรอยู่
เจียงป่าวชิงไม่สนใจที่จะปลอบเจ้าตัวซนทั้งสอง นางเลือกที่จะตะโกนเรียกเจียงหยุนชานแทน “พี่หยุนชาน ช่วยไปต้มน้ำร้อนให้ข้าหน่อยเจ้าค่ะ”
เจียงหยุนชานขานรับจากในห้อง เขารีบรุดออกมา เมื่อเห็นว่าดูเหมือนจะมีบางอย่างอยู่ในอ้อมแขนของน้องสาวตัวเอง เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางนึกสงสัย แต่ทันใดนั้น เขาเห็นเท้าเล็ก ๆ ที่อวบอ้วนโผล่พ้นออกมาจากห่อผ้า
เจียงหยุนชานเหมือนถูกฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น “ไอ้ยา! เจียงป่าวชิง สิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนเจ้า…”
เจียงป่าวชิงรีบอุ้มเด็กน้อยเข้าไปในห้องโดยที่ไม่หันหน้ากลับมามอง “นี่คือน้องสาวที่ข้าเพิ่งเก็บกลับมาเจ้าค่ะ”
.