แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 334 สร้างความซับซ้อนเพื่อหลอกให้สับสน
คนบังคับรถม้าสะบัดแส้ราวกับถูกกระตุ้นอารมณ์ ทำเอารถม้าแล่นผ่านโคลนไปอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากฝนที่ตกหนักอย่างกะทันหันนี้ กงจี้จึงสั่งงานกองทัพอย่างเร่งรีบอยู่ด้านหน้า แม้เขาใส่เสื้อกันฝนอยู่ แต่อากาศที่หนาวเย็นท่ามกลางสายฝนช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็ยังเหมือนตัวอ่อนของแมลงวันที่ติดอยู่ตรงกระดูกหลังเท้าที่กำลังเจาะเข้าไปในขาบาดเจ็บของเขาโดยตรง แต่กงจี้เป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี เมื่อก่อนเจียงป่าวชิงรักษาขาให้เขา เขาไม่แม้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดสักครั้ง ตอนนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
แม้เจ็บขาอย่างมากแต่ใบหน้ากงจี้กลับยังคงไร้อารมณ์เหมือนปกติ และไม่เห็นถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย
เจียงป่าวชิงรู้ว่ากงจี้เป็นคนที่แม้ตนเองเจ็บมากเพียงใดก็ไม่ยอมแสดงออกมาให้คนอื่นเห็นเลย
ในแง่หนึ่งเขากับนางมีความคล้ายคลึงกันมาก
รถม้าเคลื่อนที่ไปได้ครึ่งทางก็หยุดลงอย่างกะทันหันเพราะมีรถม้าคันที่เจียงป่าวชิงนั่งอยู่ภายในมาดักหน้า กงจี้จึงบังคับม้าไปถามคนบังคับรถม้าคันนั้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“เกิดอะไรขึ้น ?”
คนบังคับรถม้าตกตะลึง เขารู้สึกหวาดกลัวกับสีหน้าเหี้ยม ๆ ของกงจี้จริง ๆ จึงเอ่ยตอบไม่ได้ไปชั่วขณะ
เจียงป่าวชิงเลิกม่านออก ตะโกนขึ้นเสียงดัง “เข้ามาคุยกันข้างในเถอะ”
กงจี้เห็นว่าเจียงป่าวชิงไม่เพียงแต่ไม่เป็นอะไร นางยังดูแช่มชื่นอยู่ ความประหม่าในตอนที่สายตาเห็นรถม้าเคลื่อนมาหาเมื่อสักครู่จึงหายสาบสูญไปจนหมดสิ้น แต่กลับตามมาด้วยอาการสั่นที่อธิบายไม่ได้
กงจี้สูดหายใจเข้าลึก ๆ รู้สึกหมดหนทางกับเจียงป่าวชิง เขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าจากหลังม้า ขณะเดียวกันเจียงป่าวชิงก็เลิกม่านรถให้เขา ส่วนเขาถอดเสื้อกันฝนไปวางบนไม้กระดานด้านนอกแล้วถึงจะเข้าไปในห้องโดยสารรถม้า
เจียงป่าวชิงส่งผ้าขนหนูให้เขาเช็ดหน้าเหมือนห่วงใยเขา แต่นางกลับพูดต่างจากการกระทำ “อย่าทำให้รถม้าเปียก”
กงจี้ขมวดคิ้วพลางชำเลืองมองนาง “นี่เจ้ารังเกียจข้ารึ ?”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า
กงจี้สูดหายใจเข้าลึก ๆ ระงับอารมณ์ พยายามบอกกับตัวเองว่าถ้าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลืออย่างเจ้าเด็กบ้าเจียงป่าวชิงจะเป็นการทำให้ตัวเองไม่สบายใจเปล่า ๆ เขาใจกว้างพอ ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าเด็กบ้าคนนี้หรอก!
เจียงป่าวชิงนั่งอยู่บนที่นั่งในรถม้า นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองกงจี้และเห็นว่าเขาทำหน้าแหย ๆ พิกล ท่าทางเช็ดศีรษะอย่างลวก ๆ ของเขาดูค่อนข้างยิ่งใหญ่ แม้เป็นการกระทำอย่างลวก ๆ ในสถานการณ์จนตรอกเช่นนี้ แต่อากัปกิริยาของเขากลับยังคงมีความสูงศักดิ์อยู่ ราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่แกะสลักอยู่ในกระดูกของเขา ไม่มีอะไรสามารถมาลบได้
เจียงป่าวชิงเม้มริมฝีปากแต่ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อเช็ดศีรษะกับใบหน้าเสร็จแล้ว กงจี้ม้วนผ้าขนหนูใส่ในมือนางอย่างลวก ๆ และเอ่ยถามขึ้นว่า “มาหาข้ามีธุระอย่างนั้นรึ ?”
เจียงป่าวชิงนึกถึงท่าทางเมื่อสักครู่ของกงจี้ สาวน้อยหลุบสายตาลงพูดอ้อมแอ้ม “ข้างนอกฝนตกหนัก ขาของเจ้าทนความหนาวไม่ได้หรอกนะ เดิมทีรถม้านี้ก็เป็นของเจ้าอยู่แล้ว เจ้าควรเข้ามาหลบฝนในรถม้าได้สิ ไม่มีธุระอะไรข้างนอกแล้วไม่ใช่หรือ ?”
กงจี้โค้งตัวเล็กน้อยพร้อมขยับเข้าไปใกล้เจียงป่าวชิง “แค่นี้รึ ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่สนิทกับข้าหรือไง ทำไมถึงได้เป็นห่วงข้าเช่นนี้ล่ะ ?”
เจียงป่าวชิงขยับถอยหลังอย่างไม่เป็นตัวเอง เบนสายตาไปทางอื่นไม่กล้ามองเขาเลย “จะ… เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้ารักษาขาของเจ้าให้หายดี ถ้าเจ้าประมาทแบบนี้มันเป็นการทำให้ผลการรักษาของข้าแย่ลง… อีกอย่าง เจ้ายังต้องพาข้ากับอาฉิงไปหาพี่ชายที่เมืองหลวง ถ้าหากว่าขาของเจ้าใช้การไม่ได้อีก แบบนั้นมันก็ลำบากมากขึ้น ข้าไม่อยากมีปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมาใหม่…” เจียงป่าวชิงพูดเหตุผลอย่างตั้งใจทีละข้อ
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นางใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง แต่กลับหยิบออกมาเกลี้ยกล่อมกงจี้ในตอนนี้ เรื่องอธิบายนางชำนาญเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
กงจี้ยิ่งฟังก็ยิ่งโกรธ นัยน์ตาของเขาสุขุมลุ่มลึก เขาค้ำผนังรถม้าด้วยมือข้างเดียวก่อนจะก็โน้มตัวลงไปจุมพิตปิดปากสาวน้อยตรงหน้า
เจียงป่าวชิงเบิกตากว้างตกใจ แก้มของนาง ไม่สิ! ทั้งใบหน้านางร้อนผ่าวแทบจะในทันที
จนกระทั่งลิ้นของเขาแทรกเข้ามาในปากของนาง เจียงป่าวชิงถึงตอบสนองกลับ ใช้มือที่ค้ำอยู่ตรงหน้าอกของเขาผลักเขาออกอย่าแรงราวกับถูกของร้อนลวก พร้อมรีบผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกทั้งเขินอายและโมโหพุ่งเข้าถาโถม ได้แต่ถลึงตาใส่กงจี้อย่างโหดเหี้ยมและพ่นคำด่าในใจมากมายที่อยากจะด่าเขา
ริมฝีปากบางสั่นเล็กน้อย สุดท้ายก็พ่นออกมาหนึ่งประโยคที่มีความละอายเห็นได้ชัดยิ่งกว่าความโกรธ “ทำอะไรของเจ้า… น้องสาวข้าก็อยู่ที่นี่ด้วยไม่เห็นรึ ?!”
เจียงป่าวชิงอยากด่ากงจี้ที่ไม่มีความละอายแก่ใจ อยู่ต่อหน้าเด็กเขายังทำเรื่องน่าเขินอายเช่นนี้ได้ลงคอ
ไอ้คุณชายกงบ้า!
กงจี้อมยิ้ม เขามองดูริมฝีปากสีแดงและแก้มแดง ๆ ที่สวยงามยิ่งกว่าดอกท้อด้วยแววตาลุ่มลึกก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ และพูดขึ้นอย่างมีความหมาย “เข้าใจแล้ว ครั้งหน้าเอาเป็นตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยแล้วกัน”
เจียงป่าวชิงหันรีหันขวางมองไปด้านข้าง คว้าหมอนอิงที่วางอยู่มาปาใส่กงจี้
กงจี้ไม่ได้โกรธอะไรเลย เขายื่นมือไปรับหมอนอิงและยิ้มให้เจียงป่าวชิงอย่างมีความหมาย
แต่เจียงป่าวชิงโกรธจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ส่วนเจียงฉิง ตอนนี้สาวน้อยขดตัวอยู่ที่มุม กำลังก้มหน้าปิดตาทั้งสองข้าง ทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่นี่
……
โชคดีที่คนบุกเบิกเส้นทางที่อยู่ด้านหน้าเจอบ้านทรุดโทรมข้างทาง มันดูเหมือนถูกทิ้งร้างมานานแล้ว มีโลงศพทั้งเก่าและโทรมสองสามโลงวางกระจัดกระจายอยู่ในห้องโถงใหญ่ ฝาโลงทั้งหมดถูกเปิดขึ้นและศพข้างในโลงบางโลงก็เหลือเพียงโครงกระดูก บางโลงมีคราบหลงเหลืออยู่บ้างแต่กลับไร้ร่องร่อยของศพ
ตอนที่พวกผู้หญิงออกมาจากรถม้า นายทหารยศสูงที่เอาร่มมาให้ก็พูดเตือนเป็นพิเศษว่า “แม่นางทั้งหลาย ศพข้างในนั้นค่อนข้างน่ากลัว เดินเลี่ยงหน่อยจะดีกว่า”
เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงไม่เป็นอะไร ทั้งสองคนเคยเห็นฉากนองเลือดมาไม่น้อยเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตลอดเวลาการอยู่ในหมู่บ้านฟู่กุ้ย แต่หลี่อันหรูรู้สึกสงสัยเล็กน้อย นางอยากถามอะไรบางอย่างแต่เมื่อมองเจียงป่าวชิงที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง นางก็พ่นลมออกมาทางจมูกและไม่ได้พูดอะไร จากนั้นยกแขนขึ้นอย่างอ่อนแอและเรียกใช้กุ้ยจือ “เจ้าน่ะ มาประคองข้าหน่อย นั่งรถม้านี่ช่างเหนื่อยจริง ๆ”
กุ้ยจือก้มหน้าเข้ามาประคองหลี่อันหรู นางถือร่มไม่คงที่จึงทำให้เนื้อตัวเปียกไปมากกว่าครึ่ง
เมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว หลี่อันหรูก็มองสถานที่มืดหม่นแห่งนี้อย่างรังเกียจ “ชิ! ทำไมต้องหยุดพักที่นี่ด้วย ดูดินนี่สิ ไอ้โย! สกปรกจริง ๆ แถมตรงนี้ก็หลังคารั่ว แล้วไหนจะกลิ่นเหม็นมาก ๆ นี่อีก เหอะ!”
‘แม่นางเรื่องมากนี่ก็จ้องจับผิดไปเสียทุกอย่าง’ เจียงป่าวชิงคิดในใจ
ตอนนี้หลิวจิ้งอี๋ไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาไปช่วยพี่ชายจัดการเรื่องม้าให้กองทัพ กุ้ยจือจึงไม่กล้าพูดอะไรกับหลี่อันหรู นอกจากเสียงฝนที่ตกลงมาทั่วทั้งห้องหลักของบ้านหลังนี้แล้ว ก็คือเสียงบ่นอย่างต่อเนื่องของหลี่อันหรู
เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงไม่อยากสนใจแม่คุณหนูคนนี้ เจียงฉิงมีนิสัยในแบบของเด็กจึงวิ่งไปดูโลงศพและพบว่ามีวัตถุแปลก ๆ สองสามชิ้นที่ดูสกปรกเกินกว่าจะมองออกว่ามันคืออะไรอยู่ในโลง
เด็กหญิงส่งเสียงอุทานเล็กน้อยก่อนจะหันมาถามพี่สาวของตัวเอง “พี่สาว นี่คืออะไรหรือจ๊ะ ?”
เจียงป่าวชิงจึงต้องเดินมาดูด้วยเช่นกัน
หลี่อันหรูส่งเสียงออกมาทางจมูก “หึ สิ่งที่อยู่ในโลงศพจะเป็นอะไรได้อีก ไม่เข้าใจอะไรเลยล่ะสิไอ้เด็กไม่มีความรู้”
เจียงป่าวชิงมองหลี่อันหรูอย่างเซ็ง ๆ …ว่านางได้ แต่ว่าน้องสาวของนางไม่ได้
เจียงป่าวชิงพูดขึ้นยิ้ม ๆ ด้วยน้ำเสียงเบา “อาฉิง ข้าจะบอกให้เจ้าฟังว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่เจ้าอย่ากลัวล่ะ”
เจียงฉิงตบหน้าอกเล็กของตัวเอง “บอกมาได้เลยจ้ะพี่สาว ข้าจะกลัวได้ยังไง อาฉิงคนนี้กล้าหาญที่สุดแล้วจ้ะ”
แต่หลี่อันหรูกลับพูดขึ้น “จงใจสร้างความลี้ลับซับซ้อนเพื่อหลอกให้สับสนล่ะสิ! ไหนเจ้าลองบอกมาว่านอกจากซากศพนี้แล้วยังจะเป็นอะไรได้อีก”
.
.
.