โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 13
Ch.13 – ผู้อำนวยการ
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.13 – ผู้อำนวยการ
นี่ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกสะดวกใจขึ้นเยอะ
หลังจากทบทวนถึงเรื่องนี้สักครั้งสองครั้ง เขาก็เดินไปที่เตียงของตัวเอง เก็บอุปกรณ์ต่างๆ แล้วเดินออกไปชำระล้างร่างกายในโรงอาบน้ำรวมหลังอาคาร
เขาดึงเสี่ยวไป๋ออกจากกระเป๋าเสื้อ แล้วพบว่า เจ้าตัวน้อยคล้ายกับจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย หากเทียบกับเมื่อคืน
ตอนนี้ ขนปุยสีขาวของมันเริ่มงอกขึ้นจนทั่วตัวแล้ว แถมยังสะอาดราวกับว่ามิเคยได้สัมผัสกับฝุ่นผง คู่ดวงตาสีดำเริ่มเปิดออก พร้อมกันกับสองหูน้อยๆที่ตั้งตรง
“เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อนสิ!” เฉินเฟิงลองตบๆลงบนในกระเป๋าเสื้อของเขาอีกครั้ง จึงค่อยตระหนักได้ว่า นอกเหนือไปจากเสี่ยวไป๋แล้ว แก่นพลังงานที่เขาใส่เอาไว้ได้หายไป
ต้องไม่ลืมนะว่าแก่นพลังงาน ฉินเฟิงไม่ได้ขายมันให้กับซูซิงฝู เขาเก็บมันเอาไว้ใช้กับตัวเอง
หลังจากลองค้นดูอีกเล็กน้อย แต่ยังไงก็ไม่เจอ ดวงตาของฉินเฟิงจึงเริ่มเบนมองมายังร่างของเสี่ยวไป๋
“นี่แกกินแก่นพลังงานเข้าไปหรอ?”
“จี๊–”
ในแววตาของเสี่ยวไป๋คล้ายดูหวาดกลัวเล็กน้อย เมื่อถูกฉินเฟิงถาม มันก็หลบเลี่ยงสายตา
ภายใต้ท่าทีน่ารักน่าชังเช่นนี้ ฉินเฟิงก็ไม่อาจกล่าวคำตำหนิใดๆออกมา
“ช่างมันเถอะ แกไม่ต้องรู้สึกผิดถึงขนาดนั้นก็ได้”
อำนาจของแก่นพลังงานน่ะมหาศาลมาก ดังนั้นหากกินมันอย่างไม่ยั้งคิด เกรงว่าเสี่ยวไป๋จะมิอาจทานทนได้ ร่างกายมีโอกาสระเบิดออก นี่ต่างหากคือปัญหาที่ฉินเฟิงกังวล แต่ดูจากสภาพแล้ว หลังจากกินเข้าไป มันก็ไม่เป็นอะไร แถมยังมีวิวัฒนาการที่ดี เขาจึงวางใจ
“แกอยู่ที่นี่ก่อนนะ ไว้เดี๋ยวฉันกลับมา จะพาแกออกไปข้างนอกในเร็วๆนี้!”
ฉินเฟิงวางเสี่ยวไป๋ลงในขันตักน้ำ ส่วนตัวเขาลงไปแช่ในบ่อน้ำเย็นโดยตรง
ฉินเฟิงซักชุดต่อสู้เล็กน้อย สะบัดๆ แล้วเปลี่ยนไปสวมใส่เสื้อผ้าสะอาด เสื้อที่ว่าเป็นสีขาวที่ถูกซักบ่อยจนกลายเป็นซีด มันดูเก่า ยามสวมใส่ เลยพลอยทำให้ความดุดันของฉินเฟิงด้อยลงไปด้วย
หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่าง ฉินเฟิงก็เก็บเสี่ยวไป๋ใส่กระเป๋าสะพายหลัง และตรงไปยังสำนักงานของผู้อำนวยการ
แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าทันทีที่ก้าวไปถึงประตู เขาจะได้ยินเสียงหัวเราะดังลอดออกมาจากข้างใน
“ดี ดีมาก ตาแก่อย่างฉันละอดเฝ้ารอที่จะได้เห็นถึงความสำเร็จของเธอไม่ไหวจริงๆ ในเมื่อเจอที่ๆดีแล้ว เธอก็ไม่ต้องตอบแทนอะไรหรอก”
ได้ยินถึงเสียงที่แสนจะคุ้นเคย ฉินเฟิงก็ตระหนักได้ทันทีว่ามันเป็นเสียงของผู้อำนวยการ
ผู้อำนวยการมีชื่อว่าหลินเต๋อหรง อายุราวๆ 80 ปี เป็นอาวุโสผู้น่านับถือ นอกจากนี้ ยังกล่าวกันว่า ในยุคของอาวุโส เขายังเป็นส่วนหนึ่งในคนที่ร่วมก่อตั้งชุมชนทางตอนเหนืออีกด้วย
ดังนั้น ในปัจจุบัน เขาจึงได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งมันก็เป็นเวลานานกว่า 30 ปีมาแล้ว แม้นี่จะไม่ใช่ตำแหน่งที่เลิศเลออะไร แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ถึงขั้นไม่ยุติธรรมต่อความสามารถของเขา
ด้วยความอดทนและเมตตาที่หลินเต๋อหรงมี เลยช่วยเติมเต็มให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยความหวัง
มันเลยพลอยทำให้ฉินเฟิงที่แม้จะมีชีวิตรันทดขมขื่น ยังพอสัมผัสได้ว่าตนมีบ้านที่แสนอบอุ่นและปลอดภัย ช่วยให้เขาสามารถทานรับความยากลำบาก ฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหมด เพื่อต้องการที่จะกลับมา
ประตูสำนักงานผู้อำนวยการไม่ได้ถูกปิดสนิท ดังนั้นเลยยังพอที่จะสามารถมองลอดเข้าไปข้างในได้ แต่แล้วเมื่อเห็นถึงอีกคนที่อยู่ภายใน สีหน้าของฉินเฟิงก็หม่นลง
เป็นเฉินหมิง!
ทว่าเพียงครู่ สีหน้าของฉินเฟิงก็เปลี่ยนกลับมาคงเดิม และเริ่มเคาะประตู
“ก๊อก ก๊อก!”
ภายในห้อง หลินเต๋อหรงกับเฉินหมิงมองมายังทางเข้า แล้วทั้งคู่ก็พบว่าเป็นฉินเฟิง
“ฉินเฟิง มาได้จังหวะพอดีเลย เธอก็ด้วยนะ” หลินเต๋อหรงคล้ายแสดงออกถึงความคาดหวัง “พร้อมที่จะผ่านพิธีการรึยัง?”
“ผมก็ด้วย? พูดแบบนี้หมายความว่ามันรวมถึงเฉินหมิงด้วยใช่ไหมครับ?” ฉินเฟิงหันไปมองเฉินหมิง
สีหน้าของเฉินหมิงดูจะหมองไปพักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าในช่วงที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาและฉินเฟิงมีสัมพันธ์อันดีต่อกันมาโดยตลอด ทว่าเมื่อวานนี้เขากลับเลือกหนีไปก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัด
“ใช่แล้วฉินเฟิง นายมีแผนที่จะย้ายออกรึยัง? แล้วเรื่องการปลุกพลังพิเศษล่ะ เป็นยังไงบ้าง?” เฉินหมิงพยายามรักษาน้ำเสียงให้ฟังดูสงบ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ทว่าในหัวใจก็ยังคงวิตกกังวลว่าฉินเฟิงจะสามารถปลุกพลังพิเศษขึ้นได้แล้ว
“ไม่เลย” ฉินเฟิงปฏิเสธโดยตรง “แล้วนายล่ะ ทำไมถึงคิดจะย้ายออกตอนนี้?”
พอได้ฟัง มุมปากของเฉินหมิงก็ผุดรอยยิ้มภาคภูมิใจในชัยชนะปรากฏขึ้นทันที
“พอดีว่าเมื่อวานนี้ฉันบังเอิญไปพบกับทีมทหารรับจ้างเข้า และพวกเขาก็ยินดีจะให้ฉันเข้าร่วมเป็นสมาชิกทีม แถมยังให้ที่พักพิงแก่ฉัน -ตอนนี้ฉันสามารถออกไปจากที่นี่ และอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ร่วมกับพวกเขาได้!”
อพาร์ทเม้นท์น่ะแตกต่างจากห้องนอนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หลายๆสิ่งอย่างเช่นความปลอดภัย และทรัพยากรฝึกฝนเป็นอะไรที่ดีมากๆ
“ใช่แล้วล่ะ เฉินหมิงได้เข้าร่วมกับทีมที่ดี ฉินเฟิงเอ๋ย ถ้าเธออยากจะเข้าร่วมกับทีมทหารรับจ้างเหมือนกัน ทำไมไม่ลองขอให้เฉินหมิงแนะนำดูล่ะ บางทีหลังจากนี้ในอนาคต เพื่อนรักอย่างพวกเธอจะได้ดูแลซึ่งกันและกันไง!”
หลินเต๋อหรงกล่าวอย่างรวดเร็ว
พริบตานั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินหมิงพลันแข็งค้าง เขาเพิ่งจะเข้าร่วมกับทีมทหารรับจ้างได้เมื่อวานนี้เอง แต่ยังไม่ทันไร จู่ๆก็จะต้องอ้อนวอนขอให้เพื่อนอีกคนเข้าร่วมทีมด้วยซะแล้ว แบบนี้มันผิดวิสัยเกินไป
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ฉันอาจจะต้องถามหัวหน้าก่อนนะ แต่ได้ยินว่าหน้าใหม่ในทีมเหมือนจะเต็มแล้ว”
ฉินเฟิงลอบหัวเราะหยันในจิตใจ คนอย่างมันน่ะหรือ ไหนเลยจะเห็นเขาเป็นเพื่อน
“ไม่ต้องใส่ใจหรอก ฉันยังไม่อยากจะเข้าร่วมทีมทหารรับจ้างในตอนนี้ อันที่จริงฉันคิดว่าอยากจะไปเข้าเรียนต่อในสถาบันระดับสูงน่ะ!”
“แต่ค่าเล่าเรียนสถาบันระดับสูงมันแพงมากเลยไม่ใช่หรอ? ยังไงก็ตาม ถ้าเธอต้องการที่จะไปจริงๆ ฉันอาจติดต่อกับคนบางกลุ่ม ช่วยเธอเซ็นสัญญาให้ได้นะ แล้วหลังจากจบการศีกษา เธอจะได้เข้าร่วมกับกลุ่มของพวกเขาเลยไง แบบนี้น่าจะดีกว่าไปลำบากเพียงลำพังเป็นไหนๆ!”
“ผู้อำนวยการไม่ต้องกังวลไป เรื่องนี้ผมจะหาหนทางเอง!” ฉินเฟิงไม่เต็มใจที่จะให้หลินเต๋อหรงช่วยเขาติดต่อกับใคร ไม่ต้องกล่าวถึงความทรงจำในช่วงสิบปีก่อนหน้า ในหัวใจของฉินเฟิงเลยยังไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มใดๆ ดังนั้นจึงตอบปฏิเสธ ไม่คิดเป็นเจ้าบ่าวให้ผู้อื่นจับคลุมถุงชน
“ก็ได้ งั้นตอนนี้ฉันจะพาเธอไปผ่านพิธีการก่อนก็แล้วกัน!”
ผู้อำนวยการหันไปวุ่นกับสิ่งอื่น ระหว่างนี้ฉินเฟิงก็หันไปมองเฉินหมิงและเอ่ยถาม “นายได้เข้าร่วมกับทีมอะไร?”
“มันเรียกว่าทีมซ่งจี่” ในหัวใจของเฉินหมิงบังเกิดความหวาดระแวงบางอย่างขึ้น เขารู้สึกว่าไม่อาจหลอกลวงฉินเฟิงได้ ดังนั้นจึงกล่าวเพียงสั้นๆ
“อืม เป็นชื่อที่ดีนี่!” เมื่อได้ฟัง ในหัวใจของฉินเฟิงปะทุไปด้วยความโกรธแค้น
ในชีวิตก่อนหน้า ที่เขาหนีออกมาจากห้องทดลอง แล้วสามารถกลับมายังชุมชนทางตอนเหนือได้อีกครั้ง โจวฮ่าวเสียชีวิตลงแล้ว เขาตัวคนเดียว เลยย่อมเป็นธรรมดาที่จะนึกถึงเฉินหมิง และกลับมายังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
และไม่คาดคิดเลย ว่าเฉินหมิงเองก็กลับมายังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก่อนแล้ว หลังจากที่ได้เห็นบาดแผลสาหัสของฉินเฟิง สีหน้าของเฉินหมิงก็ดูผิดปกติ และแยกตัวออกไปยกหูโทรศัพท์
กระทั่งถึงตอนนี้ ฉินเฟิงยังสามารถจดจำได้ดี ว่าเฉินเหมิงกล่าวไม่กี่คำอะไรออกไปในเวลานั้น
“หัวหน้า ไม่ใช่ว่าคุณจับตัวฉินเฟิงไปทำการทดลองแล้วหรอกหรอ? ทำไมเขาถึงยังมีชีวิตอยู่กันล่ะ?”
“ใช่ ตอนนี้เขากลับมาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว!”
“รับทราบ เข้าใจแล้ว ผมจะหาทางจับเขาเอาไว้เอง ถ้ายังไงขอให้คุณรีบมา … ”
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าฉินเฟิงโกรธแค้นแค่ไหน แต่ในตอนนั้น อาการบาดเจ็บของฉินเฟิงยังไม่หายดี ร่างกายของเขาอ่อนแอนัก มิอาจต่อกรกับเฉินหมิงได้
ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจหลบหนีทั้งวันคืน สุดท้ายพ้นจากชุมชนทางตอนเหนือไป
หัวหน้าที่เฉินหมิงเพิ่งติดต่อ คือหนึ่งในสมาชิกของแลปทดลองผิดกฏหมาย และแลปที่ว่านั่น ก็เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรร้ายที่ลักพาตัวฉินเฟิงไป
ดูเหมือนว่าเฉินหมิงจะยังไม่ทราบความจริงเกี่ยวกับทีมทหารรับจ้างนี้ แต่ภายในครึ่งเดือน คาดว่าเขาสมควรจะได้รู้!
‘แทนที่จะช่วยเก็บเรื่องของฉันเป็นความลับ มันกลับต้องการที่จะให้ฉันตายอีกครั้ง ไอ้บัดซบนี่มันสารเลวนัก เสียดายจริงๆที่คบกันมาตั้งหลายปี’
‘ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าอย่างงั้น ฉันจะไม่ปล่อยให้มันล่วงรู้ว่าฉันสามารถปลุกพลังพิเศษได้แล้วเด็ดขาด!’
ไม่เพียงแต่เขาจะไม่พูดมันออกไป แต่ฉินเฟิงในตอนนี้ยังได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาที่ต้องตายลงของโจวฮ่าว จึงกล่าวได้ว่าในอีกไม่นาน โจวฮ่าวก็น่าจะสามารถปลุกพลังพิเศษของตัวเองขึ้นมาได้เช่นกัน ฉะนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้องค์กรที่คอยลักพาตัวคนไปทดลองสาวไปถึงตัวโจวฮ่าว ฉินเฟิงจึงต้องช่วยปกป้องโจวฮ่าวด้วยเช่นกัน
ฉินเฟิงแน่นอนย่อมไม่ยินยอมให้พี่น้องที่แท้จริงของตัวเองถูกรังแก และได้รับความเดือดร้อน
“เอาล่ะ เธอเอานี่ไป” หลินเต๋อหรงจัดแจงเอกสารข้อมูล และส่งให้แก่ฉินเฟิง
“ขอบคุณผู้อำนวยการ อีกไม่กี่วันผมจะกลับมาเยี่ยมคุณอีกครั้ง!” ฉินเฟิงกล่าว นี่มิใช่คำพูดลอยๆตามมารยาท แต่ในอีกไม่กี่วัน เขาจะกลับมาหาผู้อำนวยการจริงๆ
และวันนั้น จะเป็นวันที่หลินเต๋อหรงต้องอึ้งทึ่งอย่างคาดไม่ถึง!