โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 223
Ch.223 – ประกายแห่งความมืด
Provider : Muntra
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.223 – ประกายแห่งความมืด
ท่ามกลางยุคโลกาวินาศ เลเวล E แทบจะสามารถขึ้นเป็นผู้นำของสถานชุมชนเล็กๆได้ หรือที่เรียกกันว่า ‘ผู้ว่าการ’
ในขณะที่เลเวล D สามารถขึ้นเป็นผู้นำของเมืองใหญ่ได้ หรือก็คือตำแหน่งเทศมนตรี*
*(ผมจำได้ว่าชิเทียนไห่ของเมืองหานก็เคยถูกเรียกเทศมนตรีหรือ 市长 นะครับ แต่คาดว่าน่าจะเป็นบริบทในเชิงให้เกียรติกัน ไม่ก็ผมเข้าใจผิดเอง … เอาเป็นว่าแปลตามคนแต่งแล้วกันครับ)
ทว่าพอมาถึงเลเวล C คุณจะไม่ถูกจำกัดอยู่เมืองใดเมืองหนึ่งอีกต่อไป แต่สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำกลุ่มหรือองค์กรได้
แน่นอนว่ากลุ่มองค์กรจะมีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไป หากเลเวล C คิดจัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็กๆ ก็ย่อมสามารถทำได้ไม่เป็นปัญหาอะไร ทว่าหากเป็นกลุ่มองค์กรใหญ่ อย่างน้อยสมควรเป็นผู้ใช้พลังในเลเวล A
กลุ่มเล่ยถังถือว่ามีบทบาทไม่น้อยในสามเฉิง แม้จะเป็นกลุ่มขนาดเล็ก แต่ก็เป็นถึงงูเจ้าถิ่น ที่ในบรรดาคนจากหลายๆกลุ่มองค์กร ไม่ต้องการขัดแย้งด้วย
“จะยังไงก็ช่าง เรื่องพวกนี้มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉัน ตราบใดที่สามารถคว้าผลประโยชน์มาได้ก็พอแล้ว!”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเฟิงก็เริ่มทำการปิดกั้นเสียงจากภายนอก นั่งขวาทับซ้าย จมลงสู่ห้วงสมาธิ
ในวันนี้ เขาสังหารผู้ใช้วรยุทธโบราณจากองค์กรมืดไปสองคน ทั้งยังสามารถดูดซับกำลังภายในมาได้ โดยเฉพาะของหมาป่าสาว เธอครอบครองกำลังภายในมหาศาล แต่เมื่อเทียบกับฉินเฟิงแล้ว แน่นอนว่ามันยังห่างชั้นอยู่มาก
“พลังพิเศษดูดกลืน!”
กำลังภายในแพร่กระจายอย่างไร้ทิศทาง แทรกเข้าไปเสริมสร้างเส้นลมปราณของฉินเฟิงอย่างรวดเร็ว หลังจากหลอมกลั่นมัน ทะเลเมฆในตันเถียนก็มีถึง 15 ชั้น
จากนั้น ฉินเฟิงก็นำหนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกครั้ง แล้วเริ่มฝึกฝนพลังสมาธิ –การฝึกมัน หากเทียบกับการฝึกกำลังภายใน ถือว่ายากเย็นกว่าหลายเท่า ดีที่วันนี้เขาสังหารมือปืนขององค์กรมืดไปคนหนึ่ง เลยช่วยให้พลังสมาธิของฉินเฟิงก้าวหน้าไปได้อีกเล็กน้อย
การฝึกฝนบนเกาะแห่งนี้ มีความรวดเร็วยิ่งกว่าโลกภายนอกราวๆ 3 – 4 เท่า
และน่าจะมีบางคนที่เริ่มตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน พวกเขาละความคิดร้ายๆไว้ชั่วคราว มุ่งสมาธิหันมาทุ่มลงมือฝึกฝนอย่างเต็มที่
…
ช่วงกลางดึก สองตาที่หลับสนิทของฉินเฟิงค่อยๆเปิดออก
“ไปกันเถอะไป๋หลี”
ฉินเฟิงปลุกไป๋หลีอย่างเงียบๆ
ไป๋หลีอ้าปากหาว มองฉินเฟิงด้วยความสับสน
“ไปไหน?”
ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจางๆ
“ไปล่าสมบัติ!”
ไป๋หลีพอได้ยินก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที
ทั้งสองรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า และใช้ประโยชน์จากช่วงเวลายามค่ำคืน ฉินเฟิงปลดปล่อยรูนมืดออกมาเพื่อช่วยบดบังทั้งตัว
ระหว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ข้างๆเต็นท์ของเขาและเธอ มีผู้ใช้พลังเลเวล E หลายคนเดินผ่านมาพอดี ทั้งสองเลยยังไม่ทำอะไร เฝ้ารออย่างเงียบๆ
จนกระทั่งกลุ่มเลเวล E เดินผ่านไป ฉินเฟิงจึงขอให้ไป๋หลีใช้ท่าเทเลพอร์ต
“ช่วยพาฉันไปตรงขอบเกาะทางทิศตะวันออกทีสิ”
ที่จริงแล้วที่ตั้งค่ายในปัจจุบันของพวกเขาไม่ได้อยู่ใจกลางเกาะ ใจกลางเกาะน่ะจะอยู่ในอีกจุดหนึ่งที่ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป ทว่าหากต้องการไปถึงใจกลางเกาะจริงๆ วิธีการที่ดีที่สุดคือต้องเริ่มเดินเข้าไปจากทางขอบเกาะ!
ด้วยอบิลิตี้มิติของไป๋หลี ทั้งสองเลยสามารถมาถึงฝั่งตะวันออกของเกาะได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งตรงจุดนี้เป็นขอบเกาะที่แตกต่างจากชายหาดในตอนแรกที่พวกเขาเข้ามา มันมีหน้าผายื่นออกมาจากตัวเกาะ และภายใต้หน้าผา เต็มไปด้วยทางเข้าถ้ำขนาดน้อยใหญ่ แม้จะมีทางเข้าหลายทาง แต่ภายในคาดว่าน่าจะมีพื้นที่ขนาดใหญ่
“ไปกันเถอะ”
ฉินเฟิงกล่าวอีกครั้ง
วูบบบ!
ทั้งสองหายวับไปจากสถานที่เดียวกัน เมื่อปรากฏขึ้นอีกที ก็เข้ามาในถ้ำแล้ว
ความมืดมิดมิอาจบดบังการรับรู้ของฉินเฟิง ดวงตาของเขาสามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งโดยรอบได้อย่างสมบูรณ์ และค้นพบว่าบนพื้นดิน ยังคงมีร่องรอยของจระเข้มังกรที่คืบคลานไปมา นอกจากนี้ยังมีกลิ่นอุจจาระที่ส่งกลิ่นเหม็นโชยจากมุมหนึ่ง
ฉินเฟิงเริ่มก้าวสำรวจอย่างระมัดระวัง
กรร …!
พลันได้ยินถึงเสียงกรนดังสนั่นของจระเข้มังกร
พลังสมาธิของฉินเฟิงล็อคไปยังทิศทางของเสียงนั้นทันที และพบว่ามีจระเข้มังกรราวๆ 4 – 5ตัวหลับไหลอยู่
“โอบกอดทมิฬ!”
รูนแห่งความมืดคืบคลานหาพวกมันอย่างเงียบๆ ช่วยขับกล่อมให้จระเข้มังกรดิ่งลึกลงสู่ห้วงนิทรายิ่งกว่าเดิม
“ลำแสงแห่งความมืด!”
ในมือของฉินเฟิง ปลดปล่อยเส้นแสงที่น่าหวาดกลัวขึ้นทันใด หากอิงตามลำแสงเปลวเพลิงก่อนหน้านี้ ที่หลังจากฉินเฟิงมาถึงเลเวล E และใช้มันผสานไปกับกรงเล็บเพลิงสีชาดฉบับปรับแต่งใหม่ เส้นแสงจะมีขนาดเท่ากับแขนเล็กๆ
ทว่ายามเมื่ออบิลิตี้มืดถูกใช้ออก มันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอุปกรณ์รูนใดๆ ก็สามารถยิงอำนาจดั่งปืนใหญ่เลเซอร์ ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าครึ่งเมตรออกมาได้
ลำแสงแห่งความมืดตกลงบนร่างของจระเข้มังกรตัวหนึ่ง อีกฝ่ายเริ่มซีดเซียว และอ่อนแอลงด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า
กระทั่งเนื้อหนังก็เริ่มกลายเป็นชราภาพ เหี่ยวย่นจนเห็นถึงกระดูกสีขาวที่คอยห่อหุ้ม หากไม่ใช่เพราะผิวหนังหนาที่คล้ายกับเกล็ดและเปี่ยมไปด้วยพลังงานฟ้าดินแล้วล่ะก็ เวลานี้ทั้งร่างของมันคงสลายจนไม่เหลืออะไรแล้ว
ท่ามกลางความมืดมิด จระเข้ตัวอื่นๆเริ่มกระสับกระส่าย คล้ายตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกมันรู้สึกหวาดกลัว
ที่พวกมันยังไม่อาละวาด เพราะภายใต้โอบกอดทมิฬ ส่งผลให้การประสาทการรับรู้ลดลงเป็นอย่างมาก
“อำนาจของอบิลิตี้มืดช่างน่าหวาดกลัวจริงๆ”
ฉินเฟิงเองก็ไม่คาดคิดว่าผลลัพธ์มันจะเป็นแบบนี้
อย่างไรก็ตาม เรื่องตรงหน้าเป็นสิ่งที่สามารถทำความเข้าใจได้ –เนื่องจากศิลานรกยังคงปลดปล่อยรูนมืดออกมาอย่างต่อเนื่อง ป้อนให้ดาวเคราะห์เพชรของฉินเฟิงกลืนกินไม่หยุดยั้ง จนปัจจุบัน ปริมาณรูนมืดที่เขาครอบครองทะยานถึงจำนวนที่มิอาจคาดคะเนได้แล้ว
ในขณะที่ฉินเฟิงแทบจะไม่ได้ใช้มันเลย
อบิลิตี้มืดแทบจะถูกเก็บซ่อนเอาไว้ตลอดเวลา ทว่าช่วงเวลานี้มันได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระอย่างแท้จริง!
“ไหนขอฉันดูหน่อยเถอะ ว่าอบิลิตี้มืดตอนนี้จะทรงพลังสักแค่ไหน!”
พลังสมาธิของฉินเฟิงถูกเร่งเร้า
ภายใต้การควบคุมของเขา รูนมืดจากลำแสงแห่งความตาย เวลานี้กลับสามารถควบคุมมันได้ตามต้องการ แปรเปลี่ยนจากเส้นตรงดิ่ง กระจายออกเป็นประกายแห่งความมืดอันเจิดจรัส
เทคนิคนี้ ฉินเฟิงได้เรียนรู้มันมาจากเติ้งเหนียนระหว่างการตามล่าชุดคลุมดำกระหายเลือด
“ประกายแสงแห่งความตาย!”
‘ลำแสงแห่งความมืด’ เดิมสามารถโจมตีได้ทีละเป้าหมาย ทว่าด้วย ‘ประกายแสงแห่งความมืด’ ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ของเขา มันสามารถโจมตีแบบกระจายไปทั้งบริเวณ!
จระเข้อีกสี่ตัวที่เหลือถูกกลืนหายเข้าไปในความมืดโดยไม่ทันรู้ตัว กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วในพริบตา
“นี่สินะความรู้สึกของการได้ถือกำเนิดใหม่” ในการรับรู้โดยพลังสมาธิของฉินเฟิง เขาพบว่าระหว่างใช้อบิลิตี้มืด พลังชีวิตของจระเข้มังกรกำลังถูกดูดซับออกมาอย่างรวดเร็ว —พลังพิเศษดูดกลืนของเขาถูกหลอมรวมเข้ากับประกายแสงแห่งความตาย ดึงเอาพลังงานจากอีกฝ่ายให้แก่ฉินเฟิงโดยตรง!
ช่วงเวลานี้ ฉินเฟิงเริ่มเข้าใจได้อย่างแท้จริง ถึงวิธีการใช้ประโยชน์จากพลังพิเศษดูดกลืน
มันมิใช่การดูดซับพลังงานจากฝ่ายตรงข้ามหลังจากที่ตายไปแล้ว แต่แก่นแท้ของพลังพิเศษนี้ คือสามารถ ‘ดูดกลืนได้ตลอดเวลา’ โดยมีเงื่อนไขแค่ต้องใช้มันผ่านอบิลิตี้มืดก็เท่านั้นเอง
จระเข้มังกรจบชีวิตลงอย่างเงียบๆ โดยไม่อาจเปล่งเสียงใดๆ แท้จริงแล้วฉากนี้ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่ต้องผ่านการต่อสู้ใดๆ ง่ายดายอย่างน่าเหลือเชื่อ
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนถึงกล่าวว่าผู้ใช้อบิลิตี้น่ะคือนักฆ่าพลังสมาธิ พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง มันน่าทึ่งอย่างที่ว่าจริงๆ!”
หลังจากกระตุ้นพลังสมาธิแล้วก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆอีก ไม่ต้องพุ่งโจมตี , ไม่ต้องเคลื่อนไหว ตราบใดที่สามารถควบคุมรูนที่ลอยล่อง แปรเปลี่ยนมันเป็นเทคนิคต่างๆ ศัตรูก็จะถูกสังหารลงไปเอง
ฉินเฟิงรู้สึกว่านี่ช่างเป็นกลยุทธ์สังหารที่ไม่ยุติธรรมต่อศัตรูเอาซะเลย
“ไปกันต่อเถอะ”
ฉินเฟิงกล่าว ไป๋หลีเดินตามหลังเขาอย่างใกล้ชิด
ยิ่งเดินลึกเข้ามาในถ้ำ เส้นทางก็ยิ่งโค้งวกวนไปมา แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ภายในมันเต็มไปด้วยจระเข้มังกร
อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พลังงานฟ้าดิน ในถ้ำแห่งนี้ แข็งแกร่งยิ่งกว่าภายนอกเกาะ บางทีอาจจะสัก 2 เท่า
หรือกล่าวอีกนัยนึง คือมากกว่าโลกภายนอกถึง 6 เท่า!
หากสถานการณ์ที่นี่ปลอดภัย และใครก็ตามที่มาฝึกฝนในถ้ำนี้เป็นเวลา 1 ปี จะเทียบเท่าได้กับฝึกบนโลกภายนอกเป็นเวลา 6 ปี!
สถานที่ๆเปรียบดั่งขุมทอง ทั้งยังมีฮวงจุ้ยที่ดีแบบนี้ ใครเล่าจะไม่อยากมา?
“บางที เอาไว้หลังจากนี้ฉันน่าจะลองคิดหาวิธียึดเกาะนี้เป็นของตัวเองดูดีกว่า!”
พิกัดมิติของมันถูกไป๋หลีจดจำเอาไว้แล้ว แต่เกาะนี้ดันเป็นของกลุ่มเล่ยถังเนี่ยสิ
หากฉินเฟิงลอบเข้ามาตามอำเภอใจ และดันถูกค้นพบโดยกลุ่มเล่ยถังแล้วล่ะก็ คงไม่พ้นเกิดความขัดแย้งขึ้นแน่ๆ
ด้วยความแข็งแกร่งของฉินเฟิง ในไม่ช้าคงต้องพึ่งพาพลังฟ้าดินจากเกาะแห่งนี้ แต่สิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุดก็คือ อยากจะให้คนอื่นๆในสถานชุมชนเฟิงหลีเข้ามาฝึกฝนที่นี่
แต่ปัจจุบันมันยังเร็วเกินไป
ในสายตาของฉินเฟิง ในที่สุดก็ค้นพบถึงบางอย่างที่แตกต่างออกไป
นั่นคือคน!
อนิจจา สมควรกล่าวว่าเป็นโครงกระดูกคนซะมากกว่า
ฉินเฟิงก้าวเข้าไปหามันอย่างรวดเร็ว…