โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 5
Ch.5 – ชุดต่อสู้ T3
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.5 – ชุดต่อสู้ T3
พ่อแม่ของโจวฮ่าวยังคงมีชีวิตอยู่ อีกฝ่ายมีกระทั่งพี่น้องแท้ๆ ถึงแม้ว่าในชุมชนครอบครัวของพวกเขาจะถูกมองว่าเป็นคนธรรมดา แต่ทั้งหมดก็มีงานที่ดีทำ
ฉินเฟิงย้อนคิดอย่างรอบคอบ และนึกขึ้นได้ว่า ในช่วงเวลานี้ ดูเหมือนว่าเขาจะลาออกจากงานก่อนล่วงหน้าแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าหลังจากฉีดยากระตุ้น เขาจะได้มีเวลาฝึกฝน ออกกำลังกายทันที
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่โจวฮ่าว
ในบรรดาสามสหาย ฉินเฟิงนับว่าตกทุกข์ได้ยากที่สุด แม้ทั้งเขาและเฉินหมิงจะเป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน แต่มันก็ยังแตกต่างออกไป เพราะพ่อแม่ของเฉินหมิงเสียชีวิตจากการยกทัพบุกชุมชนของสัตว์ร้าย ดังนั้นในแต่ละเดือน เฉินหมิงในฐานะเด็กกำพร้าที่สูญเสียพ่อแม่จากเหตุการณ์ดังกล่าว เลยได้รับเงินอุดหนุน เดือนละ 500 เหรียญตลอดมา
ส่วนฉินเฟิง เขาไม่ทราบกระทั่งว่าพ่อแม่ของตนเป็นใคร รู้เพียงว่าตนเพียงถูกทอดทิ้งอยู่หน้าประตูของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเท่านั้น
เนื่องจากเด็กเกิดใหม่ถือเป็นกำลังสำคัญในอนาคต ที่จะได้รับยาปลุกพลังเมื่ออายุครบสิบหกปี ทำให้การเลี้ยงดูเด็กกำพรัาเป็นสิ่งที่สำคัญในประเทศพันธมิตรในปัจจุบัน
แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเด็กกำพร้า ที่จะได้รับเงินมากพอ ซื้อตัวยาเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเองได้
ด้วยเหตุนี้เอง ฉินเฟิงจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหางานพิเศษทำ เพื่อเพิ่มรายได้แก่ตนเอง
เพราะมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน เขาเลยไม่ต้องการที่จะบอกเรื่องนี้กับโจวฮ่าว
“นั่นสินะ ฉันคงต้องไปอธิบายให้ผู้จัดการฟังซะก่อน แต่นายวางใจเถอะ ฉันจะไม่ยอมให้การปลุกพลังพิเศษต้องล่าช้าออกไปแน่นอน ขอตัวก่อนนะ” ฉินเฟิงกล่าวพลางโบกมือลา หันหน้าเดินจากไปในอีกทิศทางหนึ่ง
โจวฮ่าวเฝ้ามองแผ่นหลังของฉินเฟิง บังเกิดความรู้สึกว่าสหายของเขาในตอนนี้ ช่างแลดูเยือกเย็น ราวกับว่าจู่ๆก็กลายเป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะขึ้นมาอย่างกระทันหัน
แต่ก็คงไม่แปลกหรอกมั้ง ก็เพราะสุดท้ายแล้ว ในวันนี้ หลังจากที่พึ่งจะฉีดยากระตุ้นไป มันยังเกิดเหตุการณ์รอยแยกมิติขึ้น ไหนจะเรื่องถูกเขี้ยวทารกโจมตีอีก แบบนี้คนทั้งคนจะไม่เติบโตขึ้นได้อย่างไร?
ฉินเฟิงไม่รู้ถึงความคิดในจิตใจของโจวฮ่าว หากเขารู้ เขาคงจะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น -เพราะนี่มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงตนเพียงวันเดียว แต่เกิดจากประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 10 ปี
พอแน่ใจว่าโจวฮ่าวไม่ได้ตามมา ฉินเฟิงก็เริ่มก้าวช้าลง ช้าลงเรื่อยๆ
สถานที่ชุมชนของเมืองเฉิงหยาง คือเขตใหม่ซึ่งเป็นสถานที่เกิดของเขา ที่นี่มิใช่เมืองเฉิงหยางจริงๆ หากแต่เป็นชานเมือง ที่แม้พื้นที่รอบด้านจะเต็มไปด้วยป่าคอนกรีต แต่มันก็ไม่สามารถปิดบังสภาพสังคมอันเลวร้ายได้
สถานที่แห่งนี้ ไม่มีที่ดินเพียงพอ รอบนอกชุมชนมีกลุ่มสัตว์ป่าคอยเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา ไหนจะเรื่องที่มันอยู่ห่างไกลจากเขตเมืองหลักอย่างเฉิงหยางอีก ความสามารถในการป้องกันตนก็เปราะบาง ผู้ใช้พลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีเลเวลอยู่แค่ E เท่านั้น
รวมไปถึงอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติ ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาหลายปี
ในชีวิตก่อนหน้า หลังจากที่ฉินเฟิงถูกลักพาตัวไป เขาก็ไม่ได้กลับมาที่ชานเมืองเฉิงหยางอีกเลย ดังนั้นความทรงจำในสถานที่แห่งนี้ จึงกล่าวได้ว่าค่อนข้างคลุมเครือ
หลังจากเดินมาผ่านมาได้สามถนน ในที่สุดฉินเฟิงก็พบกับร้านค้าที่เขาต้องการ
-มันคือร้านขายอุปกรณ์ป้องกันสำหรับการต่อสู้ภาคสนาม
นี่เป็นร้านค้าขนาดใหญ่มาก อย่างน้อยในพื้นที่ชุมชนแห่งนี้ มันก็ยังนับว่ามีขนาดใหญ่จริงๆ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร้านแห่งนี้เป็นอุตสาหกรรมในสายงานของกลุ่ม หวันซ่ง
ในร้านขายอุปกรณ์ป้องกัน ผู้หญิงที่มีอายุราวๆ 30 ปี ซึ่งนั่งอยู่ภายในร้าน กวาดสายตามองฉินเฟิงขึ้นๆลงๆ เมื่อเห็นสภาพน่าสังเวชของฉินเฟิง เธอก็เริ่มขมวดคิ้ว
“ซุนน้อย รีบออกไปต้อนรับลูกค้าเร็วเข้า! แต่หลังจากเขาออกไปแล้ว อย่าลืมถูพื้นด้วยล่ะ!”
“อ๊ะ รับทราบผู้จัดการ”
พนักงานขายที่ถูกเรียกว่าซุนน้อยเดินออกมาพบกับฉินเฟิง พร้อมกันกับไม้ถูพื้นในมือ เห็นได้ชัดว่าผู้จัดการมองฉินเฟิงเป็นสิ่งปนเปื้อนที่ทำให้ร้านค้าแห่งนี้สกปรก
ฉินเฟิงมองอีกฝ่ายด้วยความเย็นชา ในชีวิตก่อนหน้า ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันกี่ปีมาแล้ว ที่ไม่มีใครกล้าปฏิบัติตัวต่อเขาด้วยทัศนคติไม่ดีเช่นนี้
แต่ฉินเฟิงก็คร้านเกินกว่าที่จะใส่ใจ เพราะนับจากกลับมาเริ่มต้นเกิดใหม่อีกครั้ง มันยังมีอีกหลายสิ่งที่เขาจะต้องทำ
ก็แค่บังเอิญพบเจอกับคนที่มีสายตาตื้นเขิน ไม่ควรเก็บมาเป็นอารมณ์ใดๆ
“สุภาพบุรุษท่านนี้ ไม่ทราบว่าตั้งใจจะซื้อหรือขายสินค้า?” แม้เมื่อเห็นสภาพอีกฝ่าย ซุนน้อยจะเกิดความระแวงขึ้นในจิตใจก็ตาม แต่ก็ยังก้าวเข้ามาเอ่ยถามอย่างสุภาพ
ฉินเฟิงตอนนี้มีร่องรอยของบาดแผล ดังนั้นมีแนวโน้มเป็นไปได้มากว่าพึ่งจะกลับมาจากการต่อสู้ แต่ในมือของเขาว่างเปล่า ไม่ได้ถือวัสดุใดๆที่ได้จากการสู้มาเลย
ในกรณีนี้ จึงกล่าวได้ว่าอาจไม่ใช่การมาขายวัสดุ แต่อาจจะเป็นผู้มีพลังพิเศษที่มาซื้อสินค้าก็ได้
แต่ว่านะ! คนที่ไม่กระทั่งสวมใส่โลโก้ของผู้ใช้พลังพิเศษ จะมีเงินมากพอจะซื้อสินค้าจากร้านค้านี้ได้อย่างไร!?
เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้ว การที่ผู้จัดการร้านหญิงจะมองเหยียดเขา มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ร้านคุณรับซื้อเจ้าสิ่งนี้รึเปล่า”
ฉินเฟิงหยิบยาเสริมความแข็งแกร่งเกรด G ทั้งสี่หลอดออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา
ยาเสริมแกร่งเกรด G ตัวยาจะเป็นสีแดงอ่อน ตัวหลอดไม่หนามากนัก มันมีขนาดเท่ากับนิ้วเล็กๆ อีกอย่าง ด้านบนของมันยังมีโลโก้ของทางการติดอยู่ ฉะนั้นขอเพียงตรวจสอบเล็กๆน้อยๆ ก็จะทราบได้ทันทีว่ามันเป็นของจริงหรือไม่!
แม้ว่านี่จะเป็นร้านขายอุปกรณ์ป้องกัน มิได้ขายยาใดๆ แต่ยาเสริมแกร่ง เกรด G เป็นสิ่งมีค่า ดังนั้นเพียงปราดมอง ก็สามารถล่วงรู้ได้อย่างรวดเร็วว่ามันเป็นของจริง
‘ไม่คาดคิดเลย ว่าจู่ๆก็จะได้ทำการแลกเปลี่ยนธุรกิจใหญ่กันแบบนี้!’
ซุนน้อยสั่นสะท้าน สักพักได้สติกลับคืน
“รับสิ! พวกเราต้องรับมันอยู่แล้ว!”
ซุนน้อยรับเอายาเสริมแกร่งเกรด G มา แต่ก็ยังไม่วายส่องดูมันเล็กๆน้อยๆอย่างระมัดระวัง สุดท้ายเอ่ยปาก “ทางร้านเรารับซื้อโดยต่ำกว่าราคาตลาด 20% ดังนั้นรวมทั้งสิ้นเป็น 32000 เหรียญ!”
ซุนน้อยอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น เพราะหลังจากเสร็จสิ้นการซื้อขายนี้แล้ว ตนก็จะสามารถหัก%จากการซื้อขาย ได้ค่าคอมมิชชั่นมากว่า 300 เหรียญในคราวเดียว นี่นับว่าเป็นโชคลาภที่คาดไม่ถึงจริงๆ
ฉินเฟิงพยักหน้า เริ่มกวาดสายตามองอุปกรณ์ต่างๆภายในร้าน
“ได้มา32000 ใช่ไหม งั้นฉันขอใช้เงินนั่นซื้อชุดต่อสู้ T3 , มีดสั้น , หน้าไม้ พร้อมกับลูกศร 30 ดอก , กระเป๋าเป้สะพายหลังสำหรับต่อสู้ และชุดอุปกรณ์กลางแจ้ง!”
ในสถานที่ชุมชน คนที่แข็งแกร่งมีอยู่น้อยเกินไป ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนธรรมดา
ดังนั้น คนเหล่านี้ย่อมไม่มีทางเลือกซื้อชุดต่อสู้ T3 ซึ่งมีคุณภาพสูง
อย่างไรก็ตาม หากความแข็งแกร่งของมนุษย์เองก็ถูกจัดเป็น S ตามต่อด้วย A-G ดังนั้น ทางฝั่งอุปกรณ์ป้องกันเอง ก็มีการจัดอันดับไว้เช่นกัน
ซึ่งตัวอักษร T คืออักษรเริ่มต้นของชุดเกราะสังเคราะห์ทั่วไป มันไม่อาจเทียบเปรียบกับอุปกรณ์อักษรรูนได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถใช้ในการป้องกันจากการต่อสู้ -มีย่อมดีกว่าไม่มี ก็แล้วจะให้ไปสู้ในสภาพเปลือยเปล่าไร้การป้องกันรึยังไง!?
“รับทราบคุณลูกค้า ทางเราจะจัดการตามที่คุณต้องการทันที!”
“ … ส่วนสูงขนาดราวๆ 170 … ” ซุนน้อยบ่นพึมพำ เริ่มมองหาชุดที่พอเหมาะกับร่างกายฉินเฟิง
ฉินเฟิงก้มลงมองร่างกายผ่ายผอมของตน และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น
เวลานี้ เขาสมควรที่จะสูงราวๆ 173 ซม. แต่สภาพร่างกายกลับผอมกะหร่อง ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งในชีวิตก่อนหน้ากับการเกิดใหม่นี้ จะมีช่องว่างใหญ่เกินไป
ดังนั้น หลังจากที่เสร็จสิ้นเรื่องนี้ เขาคงต้องรีบปรับปรุงสมรรถภาพร่างกายโดยเร็วที่สุดซะแล้ว
“โอเค! ” หลังจากที่วุ่นอยู่พักหนึ่ง ซุนน้อยก็นำชุดต่อสู้ T3 มาให้กับฉินเฟิง ทาบลงบนตัวเพื่อเช็กขนาดที่เหมาะสม จากนั้นก็ไปหยิบอุปกรณ์บางอย่างถูกสั่งซื้อมา
ฉินเฟิงมีประสบการณ์ในการเลือกซื้อของเป็นอย่างยิ่ง ที่เขากล่าวมา ล้วนเป็นสิ่งของที่จำเป็น และมันครบถ้วน ดังนั้นซุนซ้อยจึงไม่มีโอกาสได้เสนอขายอะไรเพิ่มเติมอีก
แต่ในที่สุด เขาก็ได้ใช้เงินไปกว่า 30000 เหรียญ เพื่อซื้อของทุกอย่าง สุดท้ายเหลือแค่เพียง 2000 เหรียญในกระเป๋าเท่านั้น
“คุณลูกค้า คุณถูกยอมรับว่าเป็นลูกค้าเก่าแก่ของทางเราแล้ว ฉะนั้น ถ้าคุณมาซื้อสินค้าอีกในครั้งต่อไป โดยราคาซื้อขายเกิน 10000 เหรียญ ทางเราจะลดราคาให้อีก นี่คือหมายเลขสื่อสารของฉัน คุณสามารถเพิ่มมันได้” ซุนน้อยกล่าวอย่างรวดเร็ว
ฉินเฟิงพยักหน้า และไม่ปฏิเสธมัน เพราะการเป็นคนรู้จักกัน เวลาจัดการซื้อขายอะไรมันจะสะดวกกว่า
เมื่อเอ่ยถามถึงชื่อจริงของอีกฝ่าย ฉินเฟิงก็ได้เพิ่มรายชื่อพนักงานขาย ‘ซุนเชี่ยน’ ลงในช่องทางสื่อสารของเขา
ทุกวันนี้ ฉินเฟิงเมมหมายเลขสื่อสารสำหรับตัวเองไว้น้อยมาก เพียง 20 – 30 เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเพื่อนร่วมชั้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเบอร์ติดต่อ แต่ในช่องโทรออก … มันว่างเปล่า
หลังจากที่ฉินเฟิงบันทึกหมายเลขแล้ว เขาก็ปิดเครื่องมือสื่อสาร แล้วสวมใส่ชุดต่อสู้ T3 เก็บมีดสั้น หน้าไม้ และลูกศรเดินออกจากร้านขายของไป
ฉินเฟิงเดินไปตามถนน เห็นได้ชัดว่าชุดนี้ของเขาดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย
นั่นเพราะชุดต่อสู้จะแตกต่างจากเสื้อผ้าทั่วๆไป ช่วงเวลานี้คือเดือนมิถุนายนที่ร้อนอบอ้าว ทว่าวัสดุที่ใช้ทำชุดต่อสู้นั้นมีคุณสมบัติกันน้ำและไฟ ดังนั้นความร้อนจึงไม่ล่วงล้ำ แม้ว่าทั้งร่างจะสวมชุดต่อสู้หนาก็ตามที
ชุดต่อสู้ของเขาเป็นสีเขียวเทาลายพราง มันเหมาะสมในการซ่อนตัวในป่าใหญ่ เลยยิ่งทำให้ฉินเฟิงดูโดดเด่นจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังคงดูอ่อนวัย แต่การแสดงออกกลับแลดูสงบ ดวงตาก็คมชัด
หน้าไม้ตรงเอว มีดสั้นเสียบตรงรองเท้า และลูกศรที่เก็บซ่อนอยู่ในขอบกระเป๋าสะพาย เป็นตัวแทนบ่งบอกถึงอำนาจการต่อสู้
นอกจากนี้ ในทำนองเดียวกัน มันยังเป็นตัวแทนที่บ่งบอกถึงสัญลักษณ์ของเงินตราที่มี
ฉินเฟิงไม่ใส่ใจสายตาของคนอื่นๆ เขาเลือกที่จะโบกรถ เมื่อรถจอดก็เปิดประตูเอ่ยปากกล่าว “ไปทางออกสู่ทุ่งล่า”
คนขับเหลือบตาผ่านกระจก มองฉินเฟิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เนื่องจากฉินเฟิงปิดปากเงียบ ไม่คิดกล่าวคำใดเพิ่มเติม จึงสุดที่เขาจะเอ่ยถาม และเริ่มออกรถมุ่งหน้าสู่จุดรวมพลทุ่งล่า
เนื่องจากเกิดรอยแยกมิติขึ้น ส่งผลให้พื้นที่รอบนอกชุมชน ได้กลายเป็นสถานที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งที่เรียกกันว่าทุ่งล่า ทว่าแม้จะเสี่ยง แต่ก็ยังมีคนคิดออกไปสู้แสวงโชคอยู่เสมอๆ
เมื่อมาถึงที่นี่ ชุดต่อสู้ของฉินเฟิงก็ไม่เด่นสะดุดตาอีกต่อไป